เช่ารถม้าเก่าโทรมหนึ่งคัน
นางหมดเงินไปอีกห้าสิบอีแปะ รวมกับบะหมี่น้ำสองชามเมื่อเช้า ถุงเงินกัวฝูเชี่ยนเบาลงไปแล้วเกือบหนึ่งตำลึง ไม่อาจให้ลั่วเอ๋อร์สังเหตุเห็นความไม่สบายใจของนาง รอยยิ้มหวานยังคงประดับบนใบหน้ามารดาเหมือนเคย
“ไปอารามฝ่านเถียน”
“ขอรับ”
ล้อรถม้าเคลื่อนออกไปได้พักใหญ่ เยี่ยซีลั่วถอดหมวกแพรแสนอึดอัดออกไป นางรู้ว่ามารดาเป็นเหมือนก้อนขนมหอมนุ่มมีบุรุษจ้องฉกเอาไปครอบครองมากมาย วันนี้มารดาพานางออกจากบ้านทั้งที แค่หมวกม่านแพรจะนับเป็นอะไร แต่นั่งในรถม้านั้นไม่เหมือนกัน ไม่ต้องสวมไว้ก็ไม่นับเป็นอะไรเช่นกัน
“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ วันนี้ท้องฟ้างดงามนักจะต้องมีเรื่องดีแน่เจ้าค่ะ”
“นั่นสิท้องฟ้างดงามจริงด้วย ลั่วเอ๋อร์พูดถูกต้องแล้ว”
“วันนี้ข้าจะตั้งใจขอพรให้ท่านแม่เจ้าค่ะ”
กัวฝูเชี่ยนยิ้มบาง “เหตุใดลั่วเอ๋อร์ไม่ขอพรให้ตัวเองด้วยเล่า เจ้าขอให้แม่คนเดียวจะดีหรือ”
“ท่านแม่ของข้าดีที่สุดเจ้าค่ะ ข้าต้องตอบแทนท่านแม่ให้ดีให้ท่านได้รับสิ่งดีที่สุด”
วาจาหวานหยดของบุตรสาวดั่งลูกกวาดเคลือบน้ำผึ้ง ฟังแล้วหวานล้ำเข้าไปในดวงใจทีเดียว กัวฝูเชี่ยนหยาดน้ำตาชื้นขอบตาขึ้นมา
“วันนี้ตื่นเช้าลั่วเอ๋อร์นอนพักก่อนดีหรือไม่ อีกเดี๋ยวใกล้ถึงมารดาค่อยปลุกเจ้าตื่น”
“เจ้าค่ะ”
ประคองศีรษะน้อยนอนหนุนตักให้นางหลับตาเรียบร้อยแล้ว กัวฝูเชี่ยนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า ทิวทัศน์แถวนี้มีสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ อารามฝ่านเถียนอยู่นอกเมืองก็จริงแต่นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใกล้ที่สุด ไปกลับได้ในวันเดียวไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่แน่ตอนนี้หวงซื่อคงกำลังโวยวายหน้าบ้านสกุลเยี่ย กัวฝูเชี่ยนคิดแผนรับมือหวงซื่อเงียบเชียบ หากกลับไปแล้วไม่พบคนนางจะเตรียมเก็บข้าวของจำเป็นพาบุตรสาวออกจากเจิ้งโจว กลับกันหากหวงซื่อกล้าอยู่รอจนเย็น นางก็มีข้ออ้างไปเอาเงินจากบ้านสวนนอกเมืองอีกทาง
กัวฝูเชี่ยนมองออกไปด้านนอก อีกไม่นานใกล้ถึงประตูอารามฝ่านเถียน เส้นทางสายนี้ผู้คนสัญจรน้อยมาก แต่โฉมหน้างดงามล่มเมืองล่มแคว้นของกัวฝูเชี่ยนตกอยู่ในสายตาใครบางคนอยู่ดี
วันนี้หวงฉงหม่ารับจ้างแบกกระสอบธัญพืชขึ้นมาส่งให้คนในอาราม ขากลับเห็นรถม้าเก่าโทรมวิ่งผ่านไป ไม่คิดว่าใบหน้าโฉมงามที่เฝ้าคิดคำนึงอยู่ทุกคืนโดยสารอยู่ในนั้น ปลายเท้าหวงฉงหม่าเปลี่ยนเส้นทางตามกัวฝูเชี่ยนไปทันที แววตาหื่นกระหายของหวงฉงหม่าแสดงออกไม่ปิดบัง ไม่คาดคิดว่าสายตาผู้อื่นในที่ลับมองเห็นการกระทำบุรุษหื่นกามชัดเจน
“นายท่านจะกลับไปอีกหรือขอรับ”
“ข้าลืมพูดธุระสำคัญกับใต้ซือถูเซียว กลับไปอีกสักรอบก็แล้วกัน”
หงเทาสีหน้างงงวยเดินไปปลดเชือกบังเ**ยนม้ายื่นส่งให้ผู้เป็นนาย ท่านแม่ทัพมาอารามฝ่านเถียนตั้งแต่เช้า สนทนากับใต้ซือถูเซียวสองชั่วยามเต็มยังมีเรื่องคั่งค้างอีกหรือ
เพิ่งจะพักม้าได้เค่อเดียว เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังขึ้นอีกแล้ว หงเทารีบควบม้าอีกตัวติดตามไป ระยะทางกลับอารามดูท่านแม่ทัพรีบร้อน หงเทาไม่ติดใจสงสัย ผู้เป็นนายคงมีธุระยังพูดไม่เสร็จจริง
“นายท่านให้ผู้น้อยรอข้างนอกหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้อง เจ้ามาด้วย”
“ทราบแล้วขอรับ”
ปลายเท้าเฝิงหลี่จวินเดินลัดเลาะไปหยุดอยู่หลังพุ่มไม้ด้านหลังประตูอารามหลัก เมื่อครู่ตอนหยุดพักม้าสายตาเขาทันเห็นแม่นางผู้หนึ่งโดยสารรถม้ามาที่นี่ สิ่งที่ติดตาแม่ทัพใหญ่เฝิงนอกจากทรงผมแบบหญิงออกเรือน ยังมีสายตาหื่นกระหายบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์อีกคน
เฝิงหลี่จวินไม่ชอบใจสายตาหื่นกามคนผู้นั้น วันนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีแต่อยากทำความดี อย่างน้อยเฝิงหลี่จวินไม่รีบร้อน เช่นนั้นช่วยฮูหยินผู้นั้นกำจัดภัยนับเป็นกุศล
เสียงร้องแปลกหูดังมาจากอีกทาง เฝิงหลี่จวินพุ่งตรงไปด้านนั้นฝ่ามือใหญ่ทุบเข้าท้ายทอยบุรุษสารเลวสลบไปทันที สายตาเฝิงหลี่จวินสบเข้ากับดวงตาใสกระจ่าง ฉ่ำวาวหยาดน้ำตาพร่าเลือนดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก อีกอย่างคือผิวเนื้อขาวดุจกระเบื้องเคลือบตรงหัวไหล่ เฝิงหลี่จวินทั้งร่างราวกับมีเปลวไฟลามเลีย
“ผู้มีพระคุณ ผู้น้อยแซ่กัวขอบพระคุณผู้มีพระคุณเจ้าค่ะ”
เฝิงหลี่จวินได้สติคืนมา “...เจ้า....เจ้าคือ”
ไม่ทันที่ท่านแม่ทัพเฝิงจะพูดจบ ดวงหน้าฉ่ำวาวหยาดเยิ้มนั้นผละออกไปจากตรงหน้า กัวฝูเชี่ยนแทบจะพุ่งไปหาร่างแน่นิ่งของบุตรสาว ตอนท่านแม่ทัพช่วยสาวงาม หงเทาเดินเข้ามาดูแม่หนูน้อยนานแล้ว นางโดนคนฟาดหัวสลบไปเท่านั้น
ทันทีที่เห็นใบหน้ากัวฝูเชี่ยน หงเทานิ่งไปทันที สนมในวังยังเทียบเส้นผมแม่นางผู้นี้ไม่ได้ เฝิงหลี่จวินเดินตรงมา เสื้อคลุมผืนใหญ่คลี่คลุมปิดรอยขาดตรงหัวไหล่ให้นาง
“ลั่วเอ๋อร์! ลั่วเอ๋อร์”
“เจ้าใจเย็นก่อน” สายตาเฝิงหลี่จวินมองมาทางหงเทา “เจ้าตรวจดูแม่หนูน้อยแล้วหรือไม่”
“นางโดนฟาดสลบไปขอรับ น่าจะไม่เป็นอะไรมาก”
“ฟาดที่ใด” เฝิงหลี่จวินถามออกมา
หงเทาชี้ไปที่ท้ายทอยตนเอง กัวฝูเชี่ยนได้ยินว่าบุตรสาวไม่เป็นอะไรแต่สองมือนางยังคงลูบคลำไปทั่วตัวบุตรสาว หยาดน้ำไหลร่วงราวกับมุกมณี
“ใต้ซือถูเซียวรู้วิชาแพทย์ พานางไปให้ใต้ซือดูสักหน่อย”
เฝิงหลี่จวินพูดออกไปแล้ว พอเห็นกัวฝูเชี่ยนเงยหน้ามองทั้งที่ดวงตายังเจือหยาดน้ำพร่าเลือน ดอกฝูหรงงดงามต้องหยาดฝนจนชุ่มเสียแล้ว [1] ชั่วขณะนั้นเฝิงหลี่จวินอยากเอื้อมมือไปเกลี่ยหยาดน้ำออกให้นาง ปัดเป่าความทุกข์ในใจให้นาง
“จริงหรือเจ้าคะ ใต้ซือถูเซียวช่วยได้จริงหรือ”
กัวฝูเชี่ยนรีบช้อนร่างบุตรสาวแต่จนใจที่นางอุ้มไม่ไหว ลั่วเอ๋อร์ของนางเลี้ยงดูอย่างดีกินครบสามมื้อ ของว่างอีกสามไม่ขาดไม่เกิน เฝิงหลี่จวินกระแอมไอ
“ให้ข้าอุ้มนางเถอะ เจ้าตามมาก็แล้วกัน”
“แต่ว่า”
“เจ้าอุ้มนางไหวหรือ”
ดวงตาหวาดกลัวของกัวฝูเชี่ยนแปรเปลี่ยนหลากหลาย เฝิงหลี่จวินมองจนใจลอย เหตุใดถึงมีสตรีที่แค่เพียงกลอกตาก็คว้าดวงใจบุรุษไว้ได้ หงเทาสะกิดเตือนผู้เป็นนาย
“ชายผู้นี้นายท่านให้จัดการอย่างไรขอรับ”
“จับเป็นไว้ก่อน”
พูดจบเฝิงหลี่จวินอุ้มร่างเด็กหญิงขึ้นมา คราวนี้กัวฝูเชี่ยนไม่อิดออดแล้วนางเป็นห่วงอาการบุตรสาวมากกว่า ส่วนท่านแม่ทัพเฝิงหัวคิ้วขมวดเล็กน้อย แม่หนูน้อยหนักหลายสิบจิน [2] ทีเดียว มิน่ามารดาถึงอุ้มไม่ไหว เฝิงหลี่จวินหันมามองเชือกผูกเสื้อคลุมที่ยังไม่เรียบร้อยบนร่างโฉมงาม
“ผูกให้เข้าที่”
“หา?”
กัวฝูเชี่ยนช้อนสายตามองก่อนหลุบลงมองตามไป เห็นสาบเสื้อตนเองอ้าออกเล็กน้อย สองแก้มนางร้อนผ่าวทีเดียวโชคดีที่สายตาคมกริบนั้นหันไปมองทางอื่นแล้ว กัวฝูเชี่ยนรีบจัดการผู้เงื่อนทั้งยังเดินตามฝีเท้าก้าวยาวของผู้มีพระคุณ นางเดินไม่มองทางชนเข้ากับแผ่นหลังแข็งแรงตรงหน้าประตูห้องพักใต้ซือถูเซียวนั้นเอง
“เดินระวังหน่อย”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเตือนคนข้างกาย เมื่อครู่ร่างนุ่มนิ่มแนบเข้ามาอย่างจังเฝิงหลี่จวินทั้งร่างขืนเกร็ง นางจะเจ็บหรือไม่? ไม่ใช่ว่าดวงหน้างดงามนั้นช้ำไปหมดแล้ว กัวฝูเชี่ยนใบหน้าเห่อร้อนจนดูไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เฝิงหลี่จวินร้องเรียกใต้ซือถูเซียวสองสามคำ บานประตูห้องพักที่ไม่เปิดต้อนรับผู้อื่นโดยง่ายพลันเปิดออก
“แม่หนูน้อยผู้นี้ถูกคนทำร้ายบาดเจ็บ รบกวนใต้ซือสร้างกุศลสักครั้งตรวจดูนางสักหน่อย”
ผู้ทรงศีลใบหน้าเรียบเฉยกล่าวอามิตาพุทธออกมา ก่อนเรียกเณรน้อยเปิดห้องพักด้านข้าง วิชาแพทย์ใต้ซือถูเซียวสูงส่งนัก วันนี้เยี่ยซีลั่วได้รับการตรวจจากเขานับว่านางสร้างกุศลมาไม่น้อย
“เป็นอย่างไรบ้าง” เฝิงหลี่จวินเอ่ยถาม
“แม่ทัพเฝิงไม่ต้องเป็นห่วง แผลนูนด้านหลังศีรษะไม่รุนแรง ตอนนี้ให้พักสักหน่อยก็ดีขึ้นลงเขาค่อยพาไปหาหมอ”
“ขอบคุณใต้ซือ”
กัวฝูเชี่ยนคำนับลาผู้ทรงศีล ไม่รู้อย่างไรสายตาใต้ซือถูเซียวพิศมองกัวฝูเชี่ยนมากหน่อย เฝิงหลี่จวินสังเกตเห็นเช่นกันเพียงแต่สายตาผู้ทรงศีลไร้ซึ่งกิเลส
“สวรรค์วางเส้นทางสร้างกุศลใหญ่ให้แม่นางแล้ว หากแม่นางไม่คว้าไว้วันหน้าผู้ใดก็ช่วยเจ้าไม่ได้ กล่าวเช่นนี้แม่นางพอเข้าใจหรือไม่”
“กุศลใหญ่หรือเจ้าคะ”
“สรรพชีวิตนับหมื่นนับแสนล้วนมีชะตากรรม หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง ในเมื่อหลีกเลี่ยงไมได้ไยต้องหลีกเลี่ยงอีก แม่นางลองพิจารณาดูเถิดช่วยได้หนึ่งก็เพิ่มกุศลอีกหนึ่ง ช่วยได้แสนก็เพิ่มกุศลนับแสน แม่ทัพเฝิงเห็นด้วยหรือไม่”
ใต้ซือถูเซียวจากไปแล้วกัวฝูเชี่ยนยังนิ่งงันอยู่กับที่ นางจะไปสร้างกุศลกับสรรพชีวิตนับแสนได้อย่างไร หากต้องช่วยปลาแสนตัวนางคงต้องหมดเงินซื้อปลาทั้งตลาดรวมกันไปอีกสิบปี เช่นนั้นมดปลวกแสนตัวนับหรือไม่
ฝ่ามืออบอุ่นแข็งแรงประคองช่วงไหล่กัวฝูเชี่ยนลุกขึ้น แววตามึนงงของนางสะท้อนอยู่ในดวงตาเฝิงหลี่จวินพอดี ได้ยินว่าเมื่อครู่ใต้ซือเรียกผู้มีพระคุณว่าแม่ทัพ
“ใต้ซือเรียกผู้มีพระคุณว่าอะไรนะเจ้าคะ”
“ข้าแซ่เฝิง นามว่าหลี่จวิน”
เฝิงหลี่จวิน! เขาคือแม่ทัพใหญ่เฝิงหลี่จวิน
[1] สำนวน หมายถึงหญิงงามหลั่งน้ำตา สื่อถึงโชคชะตาเลวร้ายที่เลี่ยงไม่ได้
[2] หน่วยวัดน้ำหนักสมัยโบราณ หนึ่งจินประมาณครึ่งกิโลกรัม