ครอบครัวพี่สะใภ้แสนใจร้าย
กัวฝูเชี่ยนลืมตาตื่นกลางดึก
นี่เป็นคืนที่สามแล้วที่นางฝันประหลาด ความฝันน่าหวาดผวานัก พอตื่นลืมตาแผ่นหลังสตรีหม้ายอย่างนางชุ่มเหงื่อไปหมด
สามคืนแล้วที่กัวฝูเชี่ยนฝันเช่นนี้ ฝันครั้งเดียวยังคิดว่ากินอิ่มมากไปจนเหลวไหล แต่นี่นางฝันติดต่อกันสามคืน กัวฝูเชี่ยนรู้จักคำกล่าวที่ว่าสามคนพูดกลายเป็นเสือขึ้นมา [1] นางฝันติดกันสามคืน หมายความว่านั่นคือเรื่องจริงในอีกไม่ช้า
ในฝันกัวฝูเชี่ยนเห็นครอบครัวพี่สะใภ้ใหญ่ติดหนี้พนันหลายพันตำลึง พี่สามีโดนทุบตีจนแขนขาพิการ ในเมื่อหมดทางใช้หนี้หวงซื่อเอานางไปขายเป็นอนุขุนนางท้องถิ่น ครึ่งปีต่อมายังขายบุตรสาวบุตรสาวคนเดียวของนางให้พ่อค้าเมืองหย่งโจว สุดท้ายเจ้าหนี้ทวงหนักเข้าครอบครัวพี่สามีไม่อาจรั้งอยู่เจิ้งโจว พากันหนีตายเอาดาบหน้าทิ้งนางเป็นอนุหลังจวนผู้อื่น
สองปีผ่านไป แม้กัวฝูเชี่ยนอยู่อย่างมีความหวังจะได้พบบุตรสาวอีกครั้ง นางกลับได้รับข่าวร้ายจากหย่งโจวอันห่างไกล สถานที่นั้นถูกข้าศึกบุกทำลาย ทหารแคว้นเหลียวป่าเถื่อนฆ่าเผาทำลายเมืองทั้งเมือง กว่าแม่ทัพเฝิงจะเอาหย่งโจวคืนกลับมาได้ ผู้คนทั้งเมืองล้มตายนับแสน
บุตรสาวนางถูกขายให้พ่อค้าเมืองหย่งโจว หน้าตางดงามนุ่มนิ่มน่ารักราวกับทั้งตัวทำจากน้ำ ลั่วเอ๋อร์ที่น่ารักของนางคงหนีไม่พ้นชะตากรรมเลวร้าย บทสุดท้ายกัวฝูเชี่ยนตัดสินใจใช้ผ้าขาวสามฉื่อจบชีวิตตนเอง
กัวฝูเชี่ยนซับหยาดเหงื่อผุดพราวเต็มกรอบหน้า เยี่ยซีลั่วไร้เงาร่างมารดานอนใกล้ ไม่นานพลันรู้สึกหนาวจนตื่นลืมตา ดวงตางดงามสุกสกาวคู่น้อยจ้องมองสีหน้าไร้ความหวังของมารดามาหลายคืน นางเสียบิดาไปสามปีก่อน มาตอนนี้หากมารดาเป็นอะไรอีกคน
“ท่านแม่”
“แม่ทำลั่วเอ๋อร์ตื่นใช่หรือไม่”
ร่างน้อยหอมนุ่มวัยสิบขวบเข้ามาซุกตัวกอดมารดา “ท่านแม่ฝันร้ายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“แม่ฝันเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ลั่วเอ๋อร์นอนต่อเถอะ”
“ท่านแม่คิดถึงท่านพ่อใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าก็คิดถึงท่านพ่อเจ้าค่ะ”
หยาดน้ำตากัวฝูเชี่ยนหยดลงบนเรือนผมบุตรสาว ลั่วเอ๋อร์ของนางอายุเพิ่งจะสิบขวบ หากนางไม่เข้มแข็งหนักแน่นต่อไปลั่วเอ๋อร์จะมีชีวิตอย่างไร เยี่ยซีลั่วสูญเสียบิดาก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว หากมารดาเป็นอะไรไปอีก
“ท่านแม่มีข้าอยู่ทั้งคน ต่อไปข้าจะสวดมนต์ขอพรทุกคืนให้ท่านแม่ไม่ต้องฝันร้าย”
“ลั่วเอ๋อร์เด็กดี” ฝ่ามือเรียวบางลูบเรือนผมบุตรสาวแผ่วเบา “ในเมื่อลั่วเอ๋อร์อยากสวดมนต์ พรุ่งนี้พวกเราไปไหว้พระกันดีหรือไม่”
“จริงหรือเจ้าคะ! ไปได้หรือเจ้าคะ”
“จริงสิ แม่จะโกหกลั่วเอ๋อร์ทำไม”
“ข้าดีใจที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
วาจาของบุตรสาวเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี กัวฝูเชี่ยนลอบด่าตนเองเป็นครั้งที่ร้อย เป็นเพราะหน้าตางามหยาดเยิ้มของนางเป็นเหตุ ตั้งแต่สามีตายจากไปบุรุษมากมายเกี้ยวพากัวฝูเชี่ยนออกนอกหน้านอกตา นางแก้ปัญหาไม่เป็นเลยเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนไม่รับรู้เรื่องภายนอก เยี่ยซีลั่วเลยพลอยฟ้าพลอยฝนเก็บตัวอยู่ในเรือนกับมารดา ยิ่งคิดถึงสงสารบุตรสาวยิ่งนัก อายุเท่านี้กลับต้องมาทนอุดอู้อยู่กับมารดาไม่เอาไหน
ยิ่งคิดฝัยร้ายที่บุตรสาวต้องพบเจอ กลางอกกัวฝูเชี่ยนเจ็บจนจุกแน่นไปหมด ไม่แน่หากฝันของนางเป็นเรื่องจริง ป่านนี้ครอบครัวพี่สามีคงกำลังติดเงินพนันก้อนโต
ไม่ได้การ!
นางต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ ต้องหาทางพาบุตรสาวหนีครอบครัวพี่สามีไปให้ไกล คิดได้ดังนั้นกัวฝูเชี่ยนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เหน็บผ้าห่มให้บุตรสาวตัวน้อยเข้าที่ดีแล้วรีบย่องลงจากเตียงนอน ค้นข้าวของอยู่พักใหญ่หาเงินตำลึงที่มีในมือออกมาได้สามร้อยตำลึง
สามร้อยตำลึง
ที่นี่มีเงินสามร้อยตำลึงจะไปพอหนีไปที่ใดได้ นางแต่งเข้าสกุลเยี่ยสินเดิมที่มีหมดไปกับค่ารักษาอาการป่วยสามีไม่น้อย พอสามีตายหวงซื่อพี่สะใภ้มาเกลี้ยกล่อมให้นางเก็บสิบเดิมไว้กับส่วนกลาง ผู้ใดบ้างเห็นเงินแล้วไม่โลภมาก เช่นนี้เองครอบครัวพี่สามีถึงได้ติดพนันก้อนโต คิดมาถึงตรงนี้กัวฝูเชี่ยนถุยน้ำลายให้กับความโง่งมตนเอง
กัวฝูเชี่ยนอยากพาลั่วเอ๋อร์ของนางหนีไปให้ไกล ในฝันนั้นอีกสองปีเมืองหย่งโจวจะโดนฆ่าศึกบุกทำลาย เช่นนั้นนางต้องพาลั่วเอ๋อร์ขึ้นเหนือ แต่จะไปที่ใดดีเล่า? หากขึ้นเหนือคงมีแต่เมืองหลวงที่ปลอดภัย กัวฝูเชี่ยนก้มมองเงินที่มี หากไปเมืองหลวงเงินสามร้อยตำลึงนี้คงพอแค่ค่าเดินทาง ไหนจะค่าเช่าบ้านค่ากิน ยิ่งคิดยิ่งมืดแปดด้าน
ไม่คาดคิดว่านั่งคิดมาทั้งคืน คั้นสมองจนกลายเป็นน้ำ [2] ยังหาทางออกไม่เจอ กัวฝูเชี่ยนเหม่อมองออกไปด้านนอก ท้องฟ้ากลายเป็นสีพุงปลานานแล้ว อีกไม่นานลั่วเอ๋อร์น้อยจะตื่นนอน กัวฝูเชี่ยนถอนหายใจ นางสัญญากับบุตรสาวแล้วจะพาออกไปไหว้พระ ไม่แน่คราวนี้ตั้งใจทำกุศลมากหน่อย สวรรค์อาจเมตตาประทานทางออกที่ดีมาให้
คิดได้ดังนี้กัวฝูเชี่ยนผ่อนลมหายใจทั้งร่างเบาสบายไปทั้งตัว ในเมื่อสวรรค์ให้นางฝันเห็นเรื่องราวในอีกไม่ช้า เช่นนั้นหมายความว่าขอเพียงนางยอมขยับตัว เมฆหมอกมืดดำอาจสลายหายไปได้ เสียงขยับตัวดังแว่วมาเข้าหู เยี่ยซีลั่วตื่นลืมตามองมารดา
“ท่านแม่”
“ลั่วเอ๋อร์ตื่นแล้วหรือ นอนต่ออีกหน่อยเถอะ แม่กำลังไปต้มน้ำมาให้เจ้า”
“แต่ข้าอยากตื่นแล้วเจ้าค่ะ ข้าช่วยท่านแม่ต้มน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ”
“เด็กดี”
สองแม่ลูกสกุลเยี่ยพากันลุกออกจากเตียงนอนเดินตรงไปยังห้องครัว แต่ก่อนบ้านตระกูลเยี่ยเคยมีสาวใช้ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว เยี่ยซีผิงสามีกัวฝูเชี่ยนเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ [3] หากเขาไม่ป่วยเป็นโรคบุปผาย้อมหมึก [4] ตายไปเสียก่อน ตอนนี้คงพานางกับบุตรสาวเข้าเมืองหลวงเตรียมสอบลำดับสุดท้าย
เยี่ยซีผิงเป็นบัณฑิตน่าเลื่อมใส ติดที่ฐานะไม่อาจฟุ่มเฟือยอาศัยคัดตำราเขียนบทความวาดภาพหาเลี้ยงครอบครัว ที่ผ่านมาเขาแอบใช้แท่งหมึกคุณภาพต่ำจนล้มป่วยตายไป ยามนั้นเยี่ยซีหวังพี่สามีชายหลุดปากโวยวายเรื่องเงินรายเดือนออกมา โชคดีหวงซื่อตะครุบปากสามีไว้ทัน กัวฝูเชี่ยนอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ไม่ทันฉุกคิดถึงได้โดนคำเกลี้ยกล่อมสวยหรูของหวงซื่อหลอกเอา มาวันนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น
“ลั่วเอ๋อร์วันนี้พวกต้มน้ำล้างหน้าล้างตาก็พอ ออกไปกินมื้อเช้าข้างนอกกันเร็วหน่อย จะได้มีเวลาไหว้พระทั้งวัน”
“ดีเจ้าค่ะ”
พูดจบน้ำในเตาไฟเดือดพอดี สองแม่ลูกตักมาผสมให้อุ่นลอยด้วยใบป๋อเหอหอมสดชื่นใช้ล้างหน้าบ้วนปาก อากาศปลายฤดูฝนเริ่มเย็นจะปล่อยให้ตนเองโดนน้ำเย็นไม่ได้ กัวฝูเชี่ยนดูแลครอบครัวเช่นนี้มาตลอด
“ข้าเริ่มหิวแล้ว พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม”
กัวฝูเชี่ยนอ้างพาบุตรสาวออกจากจวนเร็วหน่อยก็เพราะวันนี้ครบกำหนดคนจากบ้านพี่สามีมาทวงเงินรายเดือน หากนางเดาไม่ผิดวันนี้หวงซื่อต้องหาข้ออ้างสารพัดมาเกลี้ยกล่อมนางมอบเงินก้อนให้อีก เงินตนเองเหตุใดต้องแบ่งปันอสรพิษกินดื่ม ไม่สู้พาลั่วเอ๋อร์ออกมาหาของอร่อยกินจะดีกว่า หากเป็นไปได้นางอยากพาลั่วเอ๋อร์หนีไปวันนี้ด้วยซ้ำ
“ท่านแม่ข้าอยากกินบะหมี่น้ำใสเจ้าค่ะ”
“..ได้..เช่นนั้นพวกเรากินบะหมี่น้ำใส”
“ร้านท่านป้าหลิวดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ดี”
กัวฝูเชี่ยนสลัดความคิดมากมายในหัวทิ้งไปก่อน สองเท้ารีบพาบุตรสาวไปร้านขายบะหมี่น้ำใสสกุลหลิว ร้านนี้ดีทุกอย่างเว้นเรื่องบุตรชายคนรองท่านป้าหลิวอย่างเดียว หลิวเต้าผู้นั้นเป็นคนแรกที่ย่ำกรอบประตูจวนสกุลเยี่ยสู่ขอแม้หม้ายอย่างนาง พอกัวฝูเชี่ยนปฏิเสธเขาก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจ
หน้าร้านบะหมี่ยามเช้าคึกคักนัก เยี่ยซีลั่วยิ้มกว้างเดินเข้าไปทักทายคนแรก
“ท่านป้าหลิว”
“ลั่วเอ๋อร์! เป็นพวกเจ้าแม่ลูกนี่เอง มาถึงนี่เชียวไม่ใช่ว่าบ้านเจ้าเกิดเรื่องอะไรหรอกนะ”
เกิดเรื่อง? กัวฝูเชี่ยนคิ้วกระตุก ต้องเป็นเรื่องบ้านพี่สะใภ้ใหญ่แน่
“พวกเราตั้งใจไปไหว้พระ วันนี้ข้าเลยพาลั่วเอ๋อร์มากินบะหมี่เจ้าค่ะ”
“ไม่เห็นพวกเจ้าแม่ลูกนานเพียงนี้เชียว ต่อไปมาบ่อยหน่อยเถอะพวกเจ้าผ่ายผอมไม่น้อยแล้ว”
กัวฝูเชี่ยนทำเพียงส่งยิ้มไม่พูดอะไร ได้ข่าวว่าหลิวเต้าเพิ่งแต่งงานไม่นาน เมื่อครู่นางกับบุตรสาวเดินเข้ามาทั้งยังถอดหมวกม่านแพร สายตาหลายคู่ในร้านจ้องมองเป็นตาเดียว กัวฝูเชี่ยนรู้สึกอึดอัดราวกับนางเป็นนักโทษนั่งในกรงล้อไม้ กำชับบุตรสาวรีบกินรีบไป
“ท่านแม่พวกเราจะไปวัดไหนกันดีเจ้าคะ พวกเราต้องเช่ารถม้าหรือไม่”
...เช่ารถม้า...นั่นเป็นความคิดพื้นฐาน ฐานะของนางวันนี้เช่ารถม้าได้ไม่ลำบาก แต่กัวฝูเชี่ยนนึกถึงก้อนเงินที่หายวับไปแล้วปวดใจนัก นางยังต้องมีเรื่องใช้เงินอีกมาก น้ำเสียงหวานล้ำเอ่ยวาจากับบุตรสาว
“เช่นนั้นวันนี้พวกเราเช่ารถม้าสักคัน ไปอารามฝ่านเถียนดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ”
[1] สำนวน หมายถึงพูดบ่อยเข้าก็เป็นความจริง
[2] สำนวน หมายถึงคิดไม่ออก ถึงทางตัน
[3] หนึ่งในลำดับการสอบคัดเลือกขุนนางสมัยโบราณ จัดเป็นระดับสูงสุดก่อนสอบแข่งขันตำแหน่งจ้วงหยวนในลำดับสุดท้าย
[4] โรคที่ป่วยด้วยสารพิษจากแท่งหมึก