เฝิงหลี่จวินขมวดคิ้ว
มือที่จับประคองช่วงไหล่บอบบางรับรู้ถึงแรงสั่นเทา นางหวาดกลัวเขาเข้าแล้วหรือ? พอรู้ว่าเฝิงหลี่จวินเป็นใครถึงได้หวาดกลัวเข้าแล้ว มือที่จับหัวไหล่กัวฝูเชี่ยนราวกับจับของร้อนแต่เฝิงหลี่จวินมีหรือจะกลัวของร้อน
“แม่นางไม่ต้องกลัว”
“ที่แท้ท่านคือแม่ทัพเฝิง ผู้น้อยขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” ดวงหน้างดงามหลุบสายตามองฝ่ามือแข็งแรงที่ยังไม่ยอมปล่อยนาง “..ท่าน...ปล่อยข้าก่อน”
“อ้อ”
เฝิงหลี่จวินห้ามความร้อนแรงในดวงตาตนเองไม่ได้ แต่เขายังมีสติพอยังรู้ว่าคนงามตรงหน้าเป็นภรรยาผู้อื่น บรรยากาศในห้องพักอึดอัดขึ้นมาทันที พลันเยี่ยซีลั่วส่งเสียงร้องออกมา กัวฝูเชี่ยนหยาดน้ำตาไหลรินออกมาอีก
“ลั่วเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เด็กดีของแม่เจ็บมากหรือไม่”
“..ท่านแม่..ปลอดภัยหรือไม่เจ้าคะ”
“เด็กโง่ เจ็บตรงไหนรีบบอกแม่เร็วเข้า”
“ข้าห่วงท่านแม่”
กัวฝูเชี่ยนกัดเรียวปากตนเองจนเลือดซึม นึกแค้นใจหวงฉงหม่ายิ่งนัก นางปฏิเสธเขาไปหลายครั้งแล้วทั้งยังพูดต่อหน้าพี่สะใภ้ ไม่คิดว่าสบโอกาสออกนอกบ้านวันนี้ดันเจอหวงฉงหม่า ยามเช้านางก้าวเท้าผิดข้าง [1] ออกจากบ้านหรืออย่างไร ยิ่งคิดกัวฝูเชี่ยนยิ่งโทษตนเอง จอกชาอันหนึ่งยื่นมาใกล้เรียวปากกัวฝูเชี่ยน เป็นเฝิงหลี่จวินรินน้ำชามาให้
“อย่ากัดเลย คนที่ต้องเจ็บตัวคือเจ้าคุ้มแล้วหรือ”
“..เอ่อ...”
“รีบดื่ม”
กัวฝูเชี่ยนรับจอกชามาจากมือแม่ทัพเฝิง พอน้ำชาสัมผัสเรียวปากนางรู้สึกเจ็บแปลบ วาจาเขาไม่มีที่ใดไม่ถูก ไม่มีเหตุผลที่กัวฝูเชี่ยนต้องโทษตนเอง คนเลวคือหวงฉงหม่าต่างหาก
“ข้าให้คนจับเขาไว้ แม่นางอยากให้ทำอย่างไร”
“ไม่ปิดบังท่านแม่ทัพ ข้าเป็นหญิงหม้ายหากจับหวงฉงหม่าส่งทางการคนอับอายคือข้าอยู่ดี ลำพังข้าตัวคนเดียวไม่หวาดกลัว แต่ลั่วเอ๋อร์ยังเด็กนักข้าไม่อยากให้ชื่อเสียงนางเสื่อมเสีย”
วาจายืดยาวของกัวฝูเชี่ยนนั้นเฝิงหลี่จวินได้ยินเพียงคำว่าหญิงหม้าย นางแต่งงานแล้วและเป็นหม้ายแล้ว สวรรค์! คราวนี้สวรรค์เข้าข้างเฝิงหลี่จวิน เสียงหัวใจแม่ทัพใหญ่เต้นโครมครามแทบจะลอยออกจากอก
“เช่นนั้นให้ข้าจัดการคนผู้นั้นแทนเจ้าดีหรือไม่ รับรองคนของข้าจัดการได้หมดจด ชื่อเสียงพวกเจ้าสองแม่ลูกไม่มีทางเสื่อมเสีย”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้ามากันอย่างไร” เฝิงหลี่จวินถามต่อ
“ข้าเช่ารถม้าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะติดรถไปส่งพวกเจ้าด้วย” สายตากัวฝูเชี่ยนคล้ายไม่เต็มใจ “คนนั้นไม่ผิด แต่ผิดที่ครอบครองหยกงาม แม่นางเคยได้ยินหรือไม่”
เฝิงหลี่จวินดื่มชาหมดจอก คว่ำจอกชากลับเข้าที่เสร็จเรียบร้อยเงาร่างสูงใหญ่เดินออกจากห้องพักไป ก่อนไปเขาหันมากำชับกัวฝูเชี่ยนดูแลบุตรสาวให้ดี นางดีขึ้นแล้วค่อยกลับด้วยกัน กัวฝูเชี่ยนเข้าใจคำพูดท่านแม่ทัพ ขนาดเขายังเอ่ยปากว่านางครอบครองหยกงาม บุรุษอื่นล้วนไม่ได้ตาบอดมีหรือจะมองไม่เห็นหยกงามเดินได้ผู้นี้ กัวฝูเชี่ยนไม่วางใจสายตาเฝิงหลี่จวิน แต่นางเกรงกลัวจะมีหวงฉงหม่าคนที่สองโผล่มามากกว่า อย่างน้อยแม่ทัพเฝิงคงไม่ถึงกับฉุดคร่านางเหมือนหวงฉงหม่า
กัวฝูเชี่ยนตัดสินใจได้แล้ว นางดูแลบุตรสาวอีกหนึ่งเค่อก็เปิดประตูห้องพักออกมา เฝิงหลี่จวินกับผู้ติดตามยืนสนทนากันอยู่ นางไม่กล้ารบกวนเขาแต่ฝ่ามือใหญ่ยื้อบานประตูไว้เสียก่อน
“พร้อมแล้วก็ไปเถอะ”
รถม้าเก่าโทรมคันเดิม
วิ่งออกจากอารามฝ่านเถียนมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง ในรถม้ามีเงาร่างบุรุษสูงใหญ่เพิ่มมาอีกคน กัวฝูเชี่ยนไม่กล้าถามว่าผู้ติดตามของเฝิงหลี่จวินหายไปไหน ราวกับรู้ว่าดวงตาฉ่ำวาวคู่นั้นซ่อนความสงสัยอะไร เฝิงหลี่จวินบอกเพียงสมควรรีบจัดการให้เรียบร้อย กัวฝูเชี่ยนผ่อนลมหายใจโล่งอก
ตลอดทางสองแม่ลูกไม่พูดคุยกัน ส่วนเฝิงหลี่จวินนั่งกอดอกหลับตา เยี่ยซีลั่วดวงตากลมวาวใสแป๋วลอบมองท่านอาตัวใหญ่ บิดาตายจากนางไปหลายปี ใบหน้าอ่อนโยนในความทรงจำนั้นเลือนรางไปแล้ว แต่ท่านอาตัวสูงใหญ่ที่นั่งในรถม้ากับพวกนางนั้นน่ามองทีเดียว โครงหน้าชัดเจน คิ้วกระบี่เรียวยาว เยี่ยซีลั่วจำดวงตาพราวระยับยามเขามองมารดาได้ ดวงตาคู่นั้นราวกับมีดวงดาวส่องประกาย
เฝิงหลี่จวินรู้ว่ามีดวงตาอยากรู้อยากเห็นคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ ท่านแม่ทัพใหญ่แต่งงานนานแล้ว น่าเสียดายภรรยาเอกจากไปเร็วนัก เฝิงจื่อคุนบุตรชายคนเดียวปีนี้อายุสิบสาม แม่นางน้อยหนักหลายสิบจินผู้นี้คงอายุน้อยกว่าบุตรชายเขา รอรถม้าวิ่งผ่านประตูเมืองเฝิงหลี่จวินถึงลืมตา เยี่ยซีลั่วยังคงจ้องมองเขาอยู่
“ข้าชื่อเยี่ยซีลั่ว ท่านอาชื่ออะไรเจ้าคะ”
“ลั่วเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท”
เฝิงหลี่จวินยิ้มบาง “ไม่ต้องดุนางหรอกนางไม่ได้ทำผิดอะไร แม่นางน้อยเยี่ยอัธยาศัยดี ข้าผู้นี้แซ่เฝิงนามว่าหลี่จวิน”
“ท่านอาเฝิง”
กัวฝูเชี่ยนจิ้มแก้มบุตรสาว “ลั่วเอ๋อร์เขาไม่ใช่ท่านอา ต้องเรียกท่านแม่ทัพ”
“ท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ”
“ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ทัพเป็นทหารสู้รบปกป้องบ้านเมือง ปกป้องราษฎร วันนี้ท่านแม่ทัพช่วยพวกเราไว้ลั่วเอ๋อร์ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพให้มาก”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มกว้างของแม่นางน้อยเยี่ยน่ารักน่าเอ็นดู สองแก้มนางยังซีดเซียวแต่ดวงตากลมวาวใสแป๋วไร้แววหวาดกลัวแล้ว ดวงตาคู่นี้ถอดแบบมารดาไม่มีผิด งดงามฉ่ำวาว หากเติบโตขึ้นสมควรเป็นสาวงามไม่ต่างจากมารดา
ล้อรถม้าหยุดเคลื่อนที่แล้ว เฝิงหลี่จวินพยักหน้าให้สองแม่ลูกลงจากรถ ส่วนเขาโดยสารรถม้าเก่าโทรมคันเดิมจากไป ตั้งแต่พบหน้ากันสตรีแซ่กัวไม่ยอมบอกชื่อของนางให้เขารู้ แต่บุตรสาวนางกลับบอกชื่อแซ่ตนเองหมดสิ้น ช่างเป็นแม่นางน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง เฝิงหลี่จวินจดจำไว้แล้ว สตรีแซ่กัวบ้านสกุลเยี่ย
[1] สำนวน หมายถึงดวงไม่ดี โชคร้าย