ห้องเรียน
ฉันวิ่ง4×100ลงมาจากดาดฟ้าทันที และตอนนี้นักศึกษาก็ทยอยเข้ามานั่งประจำที่รออาจารย์มาสอนในวิชาต่อไป ปึง เสียงอาจารย์ว่างหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธ เด็กทุกคนต่างนั่งเงียบไม่มีใครกล้าส่งเสียงเพราะดูจากสีหน้าของอาจารย์ตอนนี้ดูโกรธมากๆ
“ปาร์ค ซอลโฮ ลุกขึ้น”
อาจารย์เรียกชื่อคนที่นั่งข้างฉันเสียงดัง เขาลุกขึ้นยืนตามที่อาจารย์สั่ง
“เธอไปทำอะไรมา มีอะไรจะพูดไหม” อาจารย์พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ
“ไม่รู้ครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ได้ในเมื่อเธอไม่ยอมรับ นั้นอาจารย์จะบอกให้”
และอาจารย์ก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา
“นี้เป็นรูปที่เพื่อนของเธอบางคนส่งมาให้อาจารย์”
เป็นรูปที่เขากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่บนดาดฟ้าเมื่อตอนเที่ยง แต่ในรูปเห็นแค่เขาคนเดียวไม่ติดเพื่อนเขาอีกสองคน
“เธอโตแล้วไม่ใช่เด็ก ม.ปลายอาจารย์รู้ แต่ที่นี่ในรั้วมหาลัยแห่งนี้นายต้องปฏิบัติตามกฎที่มหาลัยตั้งไว้ นายคิดว่าตัวเองเป็นลูกชาย ผอ.เป็นลูกเจ้าของมหาลัยแล้วจะไม่สนใจกฎที่พ่อนายเป็นคนตั้งขึ้นมาได้ใช่ไหม”
อาจารย์จัดหนักหมอนี่เป็นชุดเลย แต่ดูเหมือนเขาไม่สะทกสะท้านสักนิด ก็แหงแหละเขาเป็นลูกเจ้าของมหาลัยนี่หนา
“อาจารย์จะลงโทษเธอ ไปทำความสะอาดยิมนักกีฬาทั้งหมดทำความสะอาดสระว่ายน้ำ และทำรายงานเกี่ยวกับสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งมา1เล่ม และเขียนคำสำนึกผิดมา1,000คำ”
หลังจากที่อาจารย์บอกบทลงโทษของเขาจบก็เดินออกจากห้องไป
“ใครเป็นคนส่งไป”
เขาตะโกนเสียงดังถามเพื่อนในห้อง ไม่มีใครกล้าสบตาเขาเอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบกริบกันทุกคน
“กูถามไม่ได้ยินกันหรือไงฮะ กูถามว่าใครเป็นคนทำ”
เขาตะโกนขึ้นมาอีกครั้งเพื่อหาคนผิดแต่ทุกคนก็ยังคงนิ่งเงียบไม่มีใครสบตาเขา
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ ซอลโฮ อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้นะ”
ยัยฮเยเข้ามากอดแขนหมอนั่นแล้วบอกให้เขาใจเย็น และยัยนั่นก็มองมาทางฉันอย่างมีเลศนัย
“นายลองนึกดูดีๆ ก่อนว่าตอนนั้นมีใครอยู่กับนายหรือเห็นนายบ้าง” พอยัยฮเยพูดแบบนั้น
“อ่อฉันนึกออกแล้ว เด็กใหม่มีเธอคนเดียวที่อยู่ที่นั่นตอนนั้น”
หนุ่มหน้าใสเพื่อนของเขาพูดแล้วชี้มาที่ฉัน พร้อมกับสายตาคนทั้งห้องที่มองฉันด้วยสายตาที่เหมือนกำลังด่าฉันในใจ
“ฉันไม่ได้เป็นคนทำนะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไปทันที ต้องเป็นฝีมือยัยฮเยแน่ๆ ที่คิดจะใส่ร้ายฉัน
“เด็กใหม่มาวันแรกก็สร้างเรื่องซะละ”
“เป็นคนขี้ฟ้องนี้เอง”
“สงสัยอยากจะประจบอาจารย์”
“อยากได้เกรดดีๆ ละสิ” นั่นเป็นเสียงด่าทอฉันจากเพื่อนในห้อง
“ก็ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำไง” ฉันตะโกนปฏิเสธเสียงแข็ง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
“ถ้าไม่ใช่เธอแล้วมันจะมีหมาตัวไหนอีก”
ฉันได้ยินเสียงตะโกนของหมอนั่นดังขึ้น ฉันจึงหันไปตามเสียงตอนนี้เขาดูน่ากลัวมากเขาจ้องมาที่ฉันจนแทบจะฆ่าฉันได้อยู่แล้ว ฉันไม่กล้าตอบโต้อะไรออกไปเพราะตอนนี้เขาดูน่ากลัวมากจริงๆ
“ฉันถามทำไมไม่ตอบ ถ้าไม่ใช่เธอแล้วหมาตัวไหนมันทำ”
เขาตะคอกใส่ฉันอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมตอบเขา ฉันก็ยังนิ่งไม่กล้าตอบเขาเหมือนเดิม
“เป็นใบ้หรือไง ทีคาบเรื่องฉันไปฟ้องอาจารย์เธอทำได้ แต่พอถูกจับได้ไม่กล้ายอมรับหรือไงฮะ”
หมอนั้นเดินเข้ามากระชากคอเสื้อฉันอย่างแรงจนฉันรู้สึกเจ็บ
“ก็ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำไง”
เพราะโกรธที่เขากระชากคอเสื้อ ฉันเลยลืมตัวเผลอขึ้นเสียงใส่เขาและปัดมือเขาออก
“อาจารย์มาแล้ว”
มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น ทุกคนเลยกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองร่วมถึงฉันกับหมอนั่นด้วย
ซอลโฮ Talk
ตอนนี้ผมกลับมานั่งที่ทั้งอารมณ์ที่เดือดดาล ผมพยายามเปิดปากยัยปากสว่างนั่นแต่อาจารย์ดันมาซะก่อน ผมชื่อ ปาร์ค ซอลโฮ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ สงคราม ใช่ผมเป็นลูกครึ่ง เกาหลี-ไทย แม่ผมเป็นคนไทยแต่แม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กผมเลยมาอยู่เกาหลีกับพ่อตั้งแต่เด็กๆ และใช่ผมฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้ เพราะผมเคยไปอยู่กับตายายที่ประเทศไทยเลยมีโอกาสได้ไปเรียนซัมเมอร์อยู่หลายครั้ง ผมไม่พอใจยัยนี่ตั้งแต่อาจารย์ให้มานั่งข้างผมแล้ว เพราะตรงนั้นมันเป็นที่นอนของผมแต่ยัยนี่กลับมาแย้งไป และผมก็ได้ยินที่ยัยนี่ด่าผมเป็นภาษาไทยชัดเจน ยัยนี่คงคิดไม่ถึงว่าผมจะฟังภาษาไทยรู้เรื่อง และตอนนี้ผมโกรธจนแทบจะฆ่าคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างผมได้อยู่แล้ว ยัยนี่กล้าดียังไงถึงได้เอาเรื่องที่ผมสูบหรี่ไปฟ้องอาจารย์ แถมยังทำให้ผมถูกทำโทษยกใหญ่ แน่นอนถึงผมจะเป็นลูกเจ้าของมหาลัยแต่พ่อผมก็ใช่ว่าจะปล่อยให้ผมแหกกฎได้ตามใจชอบหรอกนะ ยิ่งถ้าพ่อรู้ว่าผมที่เป็นลูกเป็นคนแหกกฎที่พ่อตั้งขึ้นซะเองพ่อคงหักคอผมแน่ ตอนนี้ผมโกรธยัยนี่สุดๆ ผมไม่ปล่อยให้คนที่กล้ามาลองดีกับผมรอดไปง่ายๆ แน่ยัยนี่ต้องได้ชดใช้แน่นอน
บีลีฟ talk
ตอนนี้ฉันนั่งเรียนด้วยความเงียบและนิ่งสนิท เพราะฉันรับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา ในระหว่างที่นั่งเรียนฉันก็ถูกพวกเพื่อนหันมาด่าและนินทาไม่หยุด และมีบางคนใช้กระดาษเคว้งใส่ฉันไม่หยุด ฉันทำอะไรไม่ได้เลยคงต้องนั่งกัดฟันทนจนกว่าจะจบคาสเรียนของอาจารย์สินะ
“ใครทำโจทย์ที่อาจารย์ให้เสร็จแล้วลุกมาส่งอาจารย์ได้เลยนะ”
พอได้ยินแบบนั้นฉันจึงรีบทำให้เสร็จจะได้รีบไปส่งแล้วออกจากห้องนี้สักที
“โจทย์5ข้อนี้ถ้าทำไม่เสร็จอาจารย์จะตีข้อละ1ที และก็ไม่ต้องโวยวายเพราะที่นี่มีระบบการสอนที่ไม่เหมือนที่อื่น ถ้าใครรับไม่ได้ที่เรียนมหาลัยแล้วยังถูกตีก็ให้ลาออกไป”
อาจารย์พูดดักนักศึกษาที่กำลังจะคัดค้าน
“โห อาจารย์อ่ะใจร้ายจัง”
มีนักศึกษาคนหนึ่งพูดขึ้น ส่วนฉันที่ทำเสร็จแล้วก็กำลังลุกขึ้นไปส่ง
“นี่ทำอะไรของนายน่ะ เอาของฉันคืนมานะ”
ก็โดนหมอนั่นแย่งกระดาษคำตอบของฉันไป
“ทำไมฉันต้องให้? แผ่นนี้ฉันจะเอา” เขาพูดอย่างหน้าตาเฉย
“แต่นั่นมันของฉัน ฉันไม่ให้เอาคืนมาฉันจะไปส่งอาจารย์”
นอกจากเขาจะไม่ยอมคืนกระดาษคำตอบของฉันแล้วเขายังโยนกระดาษคำตอบที่ว่างเปล่าของตัวเองมาให้ฉันอีก
“ถ้าอยากได้ก็ทำเอาใหม่”
“ไม่ เอาของฉันคืนมา”
ฉันพูดพร้อมเอื้อมมือไปหวังจะแย้งกระดาษคืน
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามายุ่งกับฉัน”
เขาใช้มือหนาของเขาบีบคอฉันเป็นการข่มขู่ ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมให้เขาไป
“หมดเวลาแล้ว อาจารย์จะเดินเก็บทีละคน”
เสียงอาจารย์แจ้งหมดเวลาแต่ฉันดันไม่มีคำตอบสักข้อ
‘ซวยแล้วยัยบีลีฟ’
ฉันอุทานกับตัวเองในใจ
“ไหนคำตอบของเธอบีลีฟ กระดาษคำตอบของเธอยังว่างเปล่าตั้งแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายอยู่เลย”
“555555”
อาจารย์ถามฉันเสียงเข้ม พร้อมกับมีเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ในห้องกำลังเยาะเย้ยฉัน
“ในเมื่อเธอไม่มีคำตอบก็แบมือออกมา”
อาจารย์สั่งให้ฉันแบมือ ฉันทำอะไรไม่ได้ ได้แต่จำใจแบมือยื่นให้อาจารย์
“เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ฮี้วววววว แปะๆๆๆ”
หลังจากที่ฉันถูกตีจนครบ5ทีก็มีเสียงโห่พร้อมเสียงปรบมือดั่งขึ้นทั้งห้องเหมือนเป็นการยินดีที่ฉันถูกตี ฉันไม่พูดอะไรได้แต่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองที่แดงไปหมดทั้งฝ่ามือ ฉันเจ็บจนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้ เจ็บทั้งมือที่ถูกตี เจ็บทั้งใจที่ต้องมาโดนตีทั้งๆ ที่ไม่ได้ผิดแถมยังมีคนคอยซ้ำเติมฉันเต็มไปหมด ฉันได้แต่นั่งถูฝ่ามือที่เพิ่งถูกตีมาอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จากับใคร จนอาจารย์เดินออกไปจากห้องฉันเลยหนีออกมาจากห้องทันที กะจะไปหาที่เงียบๆ นั่งเขียนไดอารี่ระบายสิ่งที่ฉันเจอในวันสักหน่อย ฉันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้บนดาดฟ้าน่าจะไม่มีใครฉันเลยขึ้นมานั่งเขียนไดอารี่อยู่บนดาดฟ้า จนถึงเวลาที่มหาลัยเปิดประตูรั้วให้นักศึกษาที่อยู่ด้านนอกกลับบ้านได้ ความจริงฉันก็เลิกนานแล้วแหละ คนอื่นๆ ก็กลับหอกันไปหมดแล้วแต่ฉันไม่ได้อยู่หอในไงเลยต้องนั่งรอจนกว่ามหาลัยจะเปิดประตู
“เฮ้ออออ หมดไปอีกหนึ่งวันแล้วสินะเป็นวันที่เหนื่อยมากจริงๆ”
ฉันทิ้งตัวลงบนที่นอนรูปหมีภูแสนนุ่มนิ่ม