บทที่ 1 “คืนที่เธอหนี…คือวันที่ฉันตายทั้งเป็น”
🔥 คำเตือนเนื้อหา (Content Warning)
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาเหมาะสำหรับผู้มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
มีฉากรุนแรงทางอารมณ์ การควบคุมตัว การลักพาตัว และพฤติกรรมของตัวละครที่อาจไม่เหมาะสมหรือไม่ใช่แบบอย่างในชีวิตจริง (Toxic Relationship)
ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ไม่สนับสนุนให้เลียนแบบ หรือกระทำตามเนื้อหาในชีวิตจริง
แสงไฟบนท้องถนนไหลผ่านบานกระจกของรถแท็กซี่เก่าอย่างเนิบช้า แต่ในอกของเมลิน มันร้อนรุ่ม ราวกับระเบิดที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เด็กชายวัยสี่ขวบหลับสนิทอยู่บนตัก เธอกอดเขาไว้แน่นขึ้นเมื่อรถเลี้ยวเข้าเส้นทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ใบหน้าเรียบเฉยของเธอปิดบังคลื่นอารมณ์ข้างในที่กำลังโหมกระหน่ำ
“อีกนิดเดียวนะครับลูก...เราใกล้จะไปจากที่นี่แล้ว”
เสียงเธอเบาราวกระซิบ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งใดเตือนว่า เธอ...กำลังหลบหนีจากใครบางคนที่เธอเคยรักหมดหัวใจ
เธอเคยเชื่อว่าเขาจะเป็นที่พักใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นกลับเปลี่ยนทุกอย่างตลอดกาล...
เมื่อรถจอดสนิท เธอคว้ากระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ลงจากเบาะหลัง มืออีกข้างอุ้มลูกน้อยขึ้นแนบอก เร่งก้าวไปยังประตูขาออกที่มีเจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋ารออยู่
เธอมองซ้าย มองขวา ระแวดระวังเหมือนคนกำลังถูกล่า แต่ก็ไม่มีใคร ไม่มีเงาที่เธอหวาดกลัว...อย่างน้อยก็ยังไม่มี
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ มือเย็นเฉียบเหงื่อซึม แม้รอบตัวจะมีผู้โดยสารมากมาย แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในสนามรบ
คิวเคลื่อนไปช้าๆ ทีละคน…ทีละก้าว เธอพยายามไม่หันหลังกลับ แต่สายตาแทบจับจ้องไปยังทุกความเคลื่อนไหวรอบข้าง เสียงประกาศเที่ยวบินในสนามบินดังก้อง แต่เธอแทบไม่ได้ยินอะไรเลย
และทันใดนั้น…
เสียงล้อรถยนต์หรูที่จอดกระแทกเบรกดังสนั่นจนคนทั้งแถวหันไปมอง
รถ SUV สีดำสองคันหยุดตรงหน้าประตูขาออก ประตูถูกเปิดพร้อมกัน และชายชุดดำเกินห้าคนเดินลงมาจากรถท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน พวกเขาเดินเรียงแถวเหมือนฝูงหมาป่า—แม้จะไม่ได้เอะอะโวยวาย แต่พลังคุกคามกระจายไปรอบทิศ
เมลินเบิกตากว้าง หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“ไม่นะ...” เธอพึมพำ ริมฝีปากสั่นระริก หันกลับอย่างรวดเร็ว พยายามรีบดันกระเป๋าเข้าเครื่องตรวจกระเป๋า แล้วหันไปคว้าอุ้มลูกกลับขึ้นมาเพื่อจะพาเข้าไปด้านใน
แต่มันก็ช้าไปหนึ่งวินาที…
และหนึ่งวินาทีนั้น…เปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล
เด็กชายหายไป
อ้อมแขนของเธอว่างเปล่า ร่างเล็กที่ควรอยู่ตรงหน้ากลับไม่มีอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
“ไม่นะ!! ลูกแม่!!” เธอกรีดร้องออกมา เสียงดังจนเจ้าหน้าที่หันกลับมามอง แต่สายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ชายชุดดำคนหนึ่งที่อุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินกลับไปยังรถคันหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยเขา! อย่าพาเขาไป!!” เธอวิ่งพุ่งไปข้างหน้า หัวใจแทบหลุดจากอก แต่กลับถูกแรงกระชากจากใครบางคนฉุดไว้จากด้านหลัง
“อย่าทำให้มันดูน่าสมเพชไปกว่านี้ เมลิน”
เสียงนั้น...เสียงทุ้มเย็นเยียบที่เคยกระซิบข้างหูเธอในยามค่ำคืน—บัดนี้กลับกลายเป็นสายฟ้าที่ผ่าใจกลางวันแสกๆ
“คีรินทร์...”
เมลินแทบไม่เชื่อสายตา ร่างสูงในชุดสูทเข้ารูปสีดำสนิทยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีเข้มคมกริบจ้องเธอด้วยแววเย็นชา แต่เบื้องหลังดวงตานั้น...ยังมีอะไรบางอย่างที่เธอไม่กล้ามองลึกลงไป
“หนี?” เขาถามเสียงเรียบ “แบบนี้เรียกว่ากล้าดี หรือโง่กันแน่?”
“ปล่อยฉันไปเถอะ…ขอร้อง” เธอกระซิบ เสียงสั่นเทาเหมือนคนไม่มีแรง
“ขอร้อง?” เขาหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ “เธอหนีไปทั้งที่ยังมีอะไรติดค้างฉันอยู่ แล้วกล้ามายืนอ้อนวอนต่อหน้าฉัน?”
เธอส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้า “เขาไม่เกี่ยว...อย่าทำอะไรเขาเลย…”
“งั้นก็ควรคิดให้ได้ก่อนที่จะหนีไปจากฉัน” เขาตอกกลับ ถ้อยคำเย็นชาจนเลือดในกายเธอแทบหยุดไหล
“พาเธอขึ้นรถ”
เสียงคำสั่งเปล่งออกมาอย่างไร้เยื่อใย ก่อนชายชุดดำสองคนจะเข้ามาขนาบข้างเธอ คนหนึ่งคว้ากระเป๋า อีกคนจับแขนเธอแน่น เมลินพยายามดิ้นสุดแรง แต่ไร้ผล
“คีรินทร์!! ได้โปรด! เขากลัวคนนอก! เขาไม่—”
“ก็หวังว่าเขาจะชินเร็ว ๆ นี้” เสียงเขาดังตามหลัง ไม่หันกลับมา
เด็กถูกพาไปขึ้นรถอีกคัน ดวงตาน้อย ๆ มองมาทางเธออย่างงุนงงก่อนที่ประตูรถจะปิดลงช้า ๆ เหมือนฝังทั้งหัวใจแม่ไว้กับมัน
เธอถูกโยนเข้าไปในรถอีกคัน
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีโอกาสร้องขอ ไม่มีแม้แต่อ้อมแขนให้กอดลูกเป็นครั้งสุดท้าย
คืนนี้…คือคืนที่เธอหนี
และเขา—คือคนที่ตามเธอกลับมา
พร้อมคำถามที่เธอไม่มีวันตอบได้ง่าย ๆ
ภายในรถยนต์หรูสีดำเงา เงียบสงัดจนน่ากลัว
แสงจากไฟถนนวิ่งผ่านใบหน้าของเขาเป็นระยะ เงาตัดเฉียงที่ทอดลงมาบนดวงหน้าเย็นชานั้น ทำให้เขาดูราวกับปีศาจที่หลุดออกมาจากโลกอีกใบ
คีรินทร์ไม่พูดแม้แต่คำเดียวตั้งแต่พาเธอขึ้นรถมาด้วยกัน เขานั่งพิงเบาะ สองแขนไขว้แน่น สายตาคมจัดเฉือนมาที่เธอด้วยความเย็นเยียบและเคียดแค้น
เมลินนั่งตัวแข็ง มือกำชายกระโปรงแน่นจนสั่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจเธอสั่นระรัวยิ่งกว่าตอนอยู่ในสนามบินเสียอีก
ความเงียบที่เขาสร้างไว้ ไม่ใช่เพียงเพื่อข่มขู่
แต่มันกำลัง...ฆ่าเธอทั้งเป็น
“กลัว?”
เสียงทุ้มต่ำห้าวลอดออกมาโดยไม่หันมามอง
“...” เธอไม่กล้าตอบ
“แล้วลูกล่ะ?” เขาเว้นวรรค ก่อนปรายตามามองเธอตรง ๆ
“เธอกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาไหม?”
เมลินเบิกตากว้าง รีบพยักหน้า น้ำตาซึมขึ้นมาทันที
เขายิ้ม...แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มอ่อนโยน
มันคือรอยยิ้มของใครบางคนที่เจ็บ...และเลือกจะเจ็บให้เลือดสาดกลับคืน
“ถ้าไม่อยากให้ฉันทำอะไรเกินเลย...บอกความจริงซะ ว่าทำไมต้องหนี”
“...”
“อย่าทำให้ฉันต้องใช้วิธีอื่น” เขาตัดบทด้วยเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยแรงอาฆาตที่เธอฟังออกชัดเจน
“...” เมลินเม้มปากแน่น ไม่ตอบ และไม่รู้ว่าควรตอบยังไง
เขาเบือนหน้ากลับไปมองนอกรถอีกครั้ง โดยไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียวตลอดทาง
เมื่อรถแล่นเข้าสู่เขตรั้วเหล็กของคฤหาสน์กลางกรุงเทพฯ ประตูเหล็กขนาดใหญ่เปิดออก เผยให้เห็นคฤหาสน์ทรงยุโรปหลังโต โอบล้อมด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมไฟสนาม ดูหรูหรา...แต่กลับเย็นชาจนไร้ชีวิต
เมลินถูกดึงแขนลากเข้าไปในตัวบ้านโดยไม่มีแม้แต่โอกาสได้หายใจ
เมื่อประตูไม้โอ๊คเปิดออก กลิ่นหนังเก่าจากโซฟาหรูในโถงรับแขกปะทะจมูกเธอทันที
“คุณคีรินทร์ครับ เด็กอยู่ที่ห้องรับรองด้านหลัง ให้ส่งไปที่ไหนครับ?” ชายชุดดำคนหนึ่งรายงานเสียงเรียบ
“ไปส่งให้คนดูแล” เขาสั่งทันที โดยไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ
คำว่า ‘ส่งให้คนดูแล’ ทำให้ร่างของเมลินสะท้านเย็น
“ไม่! อย่าพาเขาไป ได้โปรด!! ฉันจะดูแลเขาเอง ฉันขอแค่—”
เธอกรีดร้องลั่น วิ่งพรวดออกจากแขนคนที่จับเธอไว้ พุ่งไปยังประตูที่มีชายสองคนพาเด็กชายไป
“ลูกแม่! อย่าพาเขาไป! ได้โปรด—”
แต่ก่อนที่เธอจะวิ่งไปถึงตัวลูก เสียงฝีเท้าหนักก็ตามมาทัน
“เมลิน!!”
เสียงคำรามต่ำดุดันทำให้เธอหยุดกึก
ไม่ทันตั้งตัว มือแข็งแรงของเขากระชากร่างเธอกลับมาอย่างแรง
ก่อนจะผลักเธอลงบนพื้นไม้แข็งเสียงดัง โครม!
เธอหอบหายใจแรงด้วยความเจ็บ สายตาเต็มไปด้วยน้ำตา เหลือบขึ้นมองเขาอย่างเจ็บช้ำ
“อย่าคิดว่าฉันจะใจอ่อนอีก” เสียงเขาเย็นเฉียบ
“นายไม่มีสิทธิ์พรากเขาไปจากฉัน…เขาคือลูกของฉัน!” เมลินตะโกนกลับ ดวงตาสั่นไหวเจ็บลึก
คิรินทร์ก้มลงมาช้า ๆ มือสองข้างยันกับพนักเก้าอี้ข้างตัวเธอจนเธอถอยหนีไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเธอใกล้ชิด ห่างแค่ลมหายใจ
“แต่มันเป็นลูกใคร เธอกลับไม่เคยพูด”
“...” เธอเงียบ
“ห้าปี...ฉันถามเธอกี่ครั้ง เธอไม่เคยตอบ” น้ำเสียงเขาเริ่มเคลือบด้วยแค้น
“แล้วอยู่ดี ๆ ก็หอบเด็กหนีไป เหมือนคนไม่มีหัวใจ!”
เธอสั่นสะท้าน พูดอะไรไม่ออก
“เธอ...เมลิน วิริยะวาณิชย์…” เขาเรียกชื่อเต็มเธอเหมือนคำพิพากษา
ชื่อของเธอยังคงติดอยู่ในทุกลมหายใจ แต่เขาเลือกจะกดมันไว้ใต้เถ้าความแค้น...
“คนที่ฉันเคยคิดว่าจะปกป้องสุดชีวิต กลายเป็นคนที่ลากฉันลงนรกทั้งเป็น”
เธอกลืนน้ำลาย ไม่กล้ามองตาเขา
“แล้วน้องชายของฉันล่ะ…” เขากระซิบเสียงขื่น
“เขาตาย เพราะเธอ…ใช่ไหม”
เมลินเบิกตากว้าง เธอส่ายหน้า น้ำตาไหลพราก
“ฉันไม่ได้—”
“พอ!” เขาตวาด ดวงตาแดงก่ำวาววับ
เสียงหัวใจของเขาดังขึ้นอีกครั้งหลังความเงียบสงัด ทุกคำพูดคือแผล ทุกประโยคคือความเสียใจที่ไม่มีวันจาง
เขาผละออกมา หันไปสั่งลูกน้องด้วยเสียงเย็นชาจนแทบไม่มีชีวิต
“ขังเธอไว้ในห้องใต้ดิน อย่าให้ใครเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต”
ก่อนที่ลูกน้องจะพาเธอออกไป เสียงเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เป็นคำพูดที่ทำให้เธอหยุดหายใจ
“ถ้าเธอไม่ยอมพูด...ฉันจะสลักความจริงลงบนร่างกายเธอเอง”