เสียงเคาะประตูดังถี่รัวเหมือนจะพังบ้านไม้เก่าๆ ลงได้ในไม่กี่อึดใจ พิมสะดุ้งสุดตัว หันไปมองหลานสาววัยสิบแปดที่นั่งตัวสั่นอยู่มุมห้อง ลินรีบลุกขึ้นมาหาน้าพิม “น้าคะ ใครมาเคาะประตูเสียงดังขนาดนี้?” เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
พิมสูดลมหายใจลึก มือจับไหล่หลานสาวเบาๆ “ลิน เข้าไปอยู่ในห้องก่อน อย่าออกมาจนกว่าน้าจะเรียก เข้าใจไหมลูก?” สายตาของพิมจริงจังและเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่น
ลินพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ทำตามที่น้าสั่ง เธอรีบก้าวถอยเข้าไปในห้องเล็กๆ ปิดประตูเบาๆ แต่แง้มไว้เล็กน้อยเพื่อแอบมองดูเหตุการณ์
พิมเดินไปที่ประตูด้วยหัวใจที่เต้นรัว ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เธอรู้ดีว่าใครอยู่ข้างนอก และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอสูดหายใจลึกก่อนจะเปิดประตูออก
“ช้าไปหน่อยนะพิม! หรือคิดว่าจะหนีหนี้ได้?” เสียงเย็นเยียบของผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งดังขึ้น เขามาพร้อมกับลูกน้องอีกสองคนที่ยืนพิงกำแพงบ้านด้วยท่าทางคุกคาม
“ฉัน…ฉันยังไม่มีเงินตอนนี้ แต่ขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมคะ?” พิมพูดเสียงสั่น น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งอ่อนน้อมและหวาดกลัว
ชายร่างใหญ่หัวเราะเสียงเยาะ “อีกหน่อยเหรอ? เธอพูดแบบนี้มากี่ปีแล้วพิม? ดอกเบี้ยมันเพิ่มขึ้นทุกวัน เธอจะหนีไปจนตายหรือไง?”
พิมยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง เธอไม่มีคำตอบ เธอรู้ดีว่าเจ้าหนี้พูดถูก
“หรือไม่อย่างนั้น…” ชายร่างใหญ่เหลือบตามองไปที่มุมหนึ่งของบ้าน สายตาเขาเหมือนจงใจจะมองทะลุผ่านกำแพง “เด็กสาวที่ฉันเห็นแวบๆ วันนั้น… หลานของเธอใช่ไหม? เธอสวยใช่เล่นนะ… ถ้าส่งเธอมาแทนหนี้ ฉันอาจจะใจดีกับเธอหน่อย”
คำพูดนั้นทำให้พิมรู้สึกเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า เธอรีบยกมือขึ้นห้าม “ไม่! อย่ายุ่งกับหลานฉัน! ฉันจะหาวิธีจ่ายหนี้ให้ได้… แต่ได้โปรด… อย่าแตะต้องเธอ”
ชายร่างใหญ่ยิ้มอย่างมีชัย “ก็แล้วแต่เธอ ถ้าไม่มีเงินอีกคราวหน้า บ้านหลังนี้ก็ไม่เหลือแล้ว และฉันจะพาเธอกับเด็กไปด้วย จำไว้ให้ดี”
เขาหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคำขู่ที่เหมือนตะปูตอกลงในหัวใจของพิม
พิมปิดประตูบ้านก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น เธอรู้สึกเหมือนลมหายใจถูกดึงออกจากร่างกาย น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
ลินเปิดประตูห้องออกมาอย่างรวดเร็ว เธอรีบวิ่งเข้ามากอดน้าพิม “น้าคะ ใครคะ? พวกเขาจะเอาอะไรจากเรา?”
พิมกอดหลานสาวแน่น เธอพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว “ไม่ต้องกลัวลูก น้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายลินได้… น้าสัญญา”
“แต่พวกเขาจะทำอะไรเราเหรอคะ?” ลินถาม น้ำเสียงสั่นเครือขณะซบหน้าลงกับไหล่น้าพิม
พิมลูบผมหลานสาวอย่างอ่อนโยน แต่น้ำตาเธอกลับไหลลงมาไม่หยุด “ลิน…ลูกต้องสัญญากับน้าว่า จะไม่ทำอะไรให้คนพวกนั้นสนใจลูก… อย่าให้ใครเห็นความสวยของลินเด็ดขาด มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเดือดร้อนมากกว่านี้”
ลินนิ่งเงียบ รู้สึกได้ถึงความกดดันและความกลัวที่สะท้อนออกมาจากน้ำเสียงของน้าพิม แม้เธอจะยังไม่เข้าใจทุกอย่าง แต่เธอก็พยักหน้าช้าๆ “ค่ะ น้าพิม ลินจะทำตามที่น้าบอก”
พิมกอดหลานสาวแน่นขึ้น ราวกับกลัวว่าจะสูญเสียเธอไป “น้าจะปกป้องลินให้ถึงที่สุด แม้จะต้องแลกด้วยทุกอย่างก็ตาม”
ในใจของพิม เธอรู้ว่าหนี้สินที่ทับถมมานานเหมือนน้ำที่ไม่มีวันลดลง และสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือการที่มันจะพาลูกสาวของพิไลไปจากเธอ เหมือนจะพรากทุกอย่างที่เหลืออยู่ในชีวิตของเธอ
………………………………..
ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านบ้านไม้เก่าที่ดูเหมือนจะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พิมนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้เล็กๆ ในห้องครัว มือของเธอจับแก้วกาแฟไว้แน่นขณะสายตาจับจ้องไปยังหน้าต่างที่มองเห็นท้องฟ้าสลัวๆ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ไม่ใช่เพราะความสุข แต่เพราะความโล่งใจที่เธอวางแผนไว้สำเร็จ
“ลิน” พิมเรียกหลานสาวที่กำลังซ่อมกระเป๋าเดินทางเก่าๆ ในมุมห้อง ลินในวัยยี่สิบสามปีเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าที่เคยซุกซนกลายเป็นสาวงามที่ยากจะมองข้าม ดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา บัดนี้เปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น เธอเงยหน้าขึ้นมองน้าพิม “คะ น้าพิม?”
“น้ามีเรื่องจะบอก” พิมพูดเสียงแผ่วก่อนจะดื่มกาแฟอีกอึกใหญ่เหมือนต้องการปลอบประโลมตัวเอง “เรือลำที่น้าพูดถึงเมื่อคราวก่อน… เรือสำราญที่เดินทางรอบโลก มันจะมาเทียบท่าที่นี่ในอีกไม่กี่วัน”
ลินนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “แล้ว…เราจะทำยังไงคะ?”
พิมวางแก้วกาแฟลง หันมามองหลานสาวตรงๆ “เราจะหนีขึ้นเรือไปอเมริกา ลิน ที่นั่นเราจะเริ่มต้นใหม่ และ…ถ้าพระเจ้าช่วย น้าหวังว่าเราจะเจอพ่อของลิน”
ดวงตาของลินเบิกกว้าง ความตื่นเต้นปะปนกับความกลัวที่พุ่งเข้ามาในใจ “แต่เราจะทำยังไงคะ? เราไม่มีเงินซื้อตั๋ว ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร เขาจะให้เราขึ้นเรือเหรอ?”
พิมพยักหน้า เธอคาดไว้อยู่แล้วว่าลินจะถามคำถามนี้ “น้าไปดูลู่ทางมาแล้ว มีทางที่เราจะแอบขึ้นเรือได้ มันเสี่ยงก็จริง แต่ดีกว่ารอให้พวกเจ้าหนี้ตามเรามาเจออีก”
“น้าคิดดีแล้วเหรอคะ?” ลินถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ถ้าเกิดอะไรขึ้น… ถ้าเราถูกจับได้…”
พิมจับมือหลานสาวแน่น “ลิน น้ารู้ว่ามันน่ากลัว แต่น้าสัญญา น้าจะไม่ให้ใครแตะต้องลินได้ น้าทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลินมาแล้วสิบกว่าปี น้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาพรากลินไปจากน้า” น้ำเสียงของพิมหนักแน่น แต่ในดวงตาของเธอกลับเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ
ลินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ลินเชื่อในน้าค่ะ ถ้าน้าบอกว่าต้องทำ… ลินจะทำตาม”
………………………..
เสียงเครื่องยนต์เรือสำราญลำใหญ่ดังก้องกังวานในอากาศ เสียงพูดคุยของผู้คนที่มารวมตัวกันที่ท่าเรือสร้างบรรยากาศวุ่นวายที่ดูเหมือนจะช่วยบดบังสองร่างที่กำลังลอบหลบอยู่หลังกล่องสินค้าขนาดใหญ่ พิมก้มตัวต่ำขณะที่มือหนึ่งจับกระเป๋าเล็กๆ แน่น อีกมือจับไหล่หลานสาววัยยี่สิบสามที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆ
“ลิน เงียบๆ ไว้นะลูก” พิมกระซิบเบาๆ แต่หนักแน่น ดวงตาเธอเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อหาเส้นทางที่จะพาหลานสาวขึ้นเรือโดยไม่ถูกจับได้ ลินกลืนน้ำลายเอื๊อก พยักหน้าเบาๆ แต่ดวงตากลมโตฉายแววหวาดกลัว
ท่าเรือเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ พนักงาน และผู้โดยสาร แต่ที่ทำให้พิมต้องหยุดหายใจคือเงาของกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำที่เดินปะปนอยู่ในฝูงชน พวกเขาคือเจ้าหนี้ที่ตามล่าพิมมาหลายปี ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ราวกับสุนัขล่าที่ได้กลิ่นเหยื่อ
“พวกนั้นมาแล้ว…” พิมพึมพำเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล เธอหันไปหาลิน “ฟังน้านะ ลูกต้องวิ่งไปตามทางที่เราวางแผนไว้ จำได้ไหม? ทางบันไดเล็กที่อยู่หลังโกดังสินค้า ถ้าลินขึ้นเรือได้แล้ว ให้รออยู่ใกล้ห้องเครื่องยนต์ น้าจะตามไป”
ลินส่ายหน้าทันที น้ำตาคลอเบ้า “ไม่ค่ะ น้าพิม เราหนีไปด้วยกัน ลินไม่ไปคนเดียว!”
พิมจับหน้าหลานสาวทั้งสองมือ สบตาเธอด้วยสายตาแน่วแน่ “ลิน ฟังน้า! ถ้าลูกรออยู่ที่นี่ เราจะไม่มีใครหนีได้ ลินต้องไปก่อน แล้วน้าจะตามไป น้าสัญญา!” เธอยัดแหวนวงเล็กและรูปถ่ายที่ซีดจางของชายคนหนึ่งใส่มือหลานสาว “นี่คือตัวช่วยเดียวที่จะทำให้ลูกเจอพ่อ เก็บไว้ให้ดี”
ลินพยักหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไปตามเส้นทางที่พิมชี้ทาง เสียงฝีเท้าของเธอเบาจนกลมกลืนไปกับความวุ่นวาย แต่ในใจกลับดังก้องด้วยความหวาดหวั่น
พิมมองตามหลานสาวจนลับสายตา เธอสูดหายใจลึก ก่อนจะเดินออกจากที่หลบซ่อน ร่างเล็กของเธอแทรกผ่านฝูงชนไปอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เธอจะก้าวถึงทางแยก เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อีพิม หยุดอยู่ตรงนั้นนะโว้ย” เสียงของชายร่างใหญ่ในชุดดำดังลั่น พิมหันกลับไปมอง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นพวกมันพุ่งตรงมาทางเธอ เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจวิ่งสุดแรง
ฝีเท้าหนักๆ ของเจ้าหนี้วิ่งตามหลังเธออย่างไม่ลดละ พิมวิ่งผ่านกลุ่มผู้โดยสารที่หันมามองด้วยความสงสัย เสียงหัวใจเธอเต้นรัวเร็วราวกับจะทะลุออกจากอก แต่เธอไม่หยุด
“หยุดเดี๋ยวนี้! มึงคิดว่าหนีรอดเหรอ?” เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง และเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พิมเหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นทางแยกที่มุ่งตรงไปยังโกดังสินค้า เธอรีบเลี้ยวไปทางนั้น แต่เงาของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
“มึงหมดทางหนีแล้วอีพิม” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พิมถอยหลังไปจนชนกับผนังโกดัง
“ได้โปรด… ปล่อยฉันไป” พิมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ถ้าไม่มีเงิน ก็ต้องชดใช้ด้วยอย่างอื่น” ชายคนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
ในขณะที่เธอคิดว่าตัวเองจะไม่มีทางรอด เสียงประกาศจากเรือสำราญก็ดังขึ้น “เรือกำลังจะออกจากท่าในอีก 10 นาที” พิมกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจครั้งสุดท้าย
เธอรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักชายคนนั้นจนเซ ก่อนจะวิ่งออกไปทางด้านหลังโกดัง แม้จะรู้ว่าพวกมันจะตามมา แต่เธอก็ไม่หยุด เธอรู้ว่าต้องถ่วงเวลาเพื่อให้ลินหนีขึ้นเรือสำเร็จ
เมื่อเธอวิ่งไปถึงริมท่าเรือ เธอหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะมองเห็นลินที่กำลังปีนขึ้นไปบนบันไดลับ เธอส่งเสียงเรียกเบาๆ “ลิน… รีบขึ้นไป!”
ลินหันมามองด้วยน้ำตาในดวงตา เธออยากจะวิ่งกลับไปช่วยน้าพิม แต่คำพูดสุดท้ายที่พิมตะโกนมา “ไปซะ! น้ารักลิน!” ทำให้เธอต้องกัดฟันปีนขึ้นเรือทั้งน้ำตา
พิมมองตามหลานสาวจนหายลับไปบนเรือ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ที่ตามมาทัน เธอยืนนิ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ “ฉันจะไม่ให้แกแตะต้องหลานของฉันเด็ดขาด”
เสียงเรือสำราญที่เริ่มออกจากท่าดังก้องในอากาศ พร้อมกับเสียงตะโกนด่าทอของเจ้าหนี้ที่ดังก้องตามหลังพิม แต่เธอไม่สนใจอีกต่อไป ในใจเธอมีเพียงความหวังว่าลินจะปลอดภัย และหนทางข้างหน้าของหลานสาวจะสว่างไสว แม้ตัวเธอจะต้องเจอกับอะไรต่อจากนี้ก็ตาม