2 ปีก่อน
พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านสามวัน แม่กรก็ไม่สบาย ฉันเลยตัดสินใจหอบชุดนักเรียนลงไปห้องใต้ดินเพื่อรีดเสื้อผ้าเอง
“ฟาร์ม” ฉันเรียกคนที่กำลังนั่งรีดผ้าอยู่หน้าเตารีดพอดี อีกฝ่ายเหลือบมองฉันแล้วก็รีดผ้าต่อ ฉันก้าวลงบันไดอีกสองขั้นสุดท้าย เอาชุดนักเรียนไปวางไว้บนโต๊ะแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
“เหลือเยอะไหมฟาร์ม”
“สามตัว เอาไว้นั่นแหละเดี๋ยวรีดให้”
“รีดให้เหรอ” ถามกลับไปอย่างเผลอๆ ไม่คิดว่าเขาจะอาสารีดให้ หรือเขาคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำแทนแม่หรือเปล่า...ฟาร์มเป็นลูกของแม่กร แม่บ้านของฉัน ฟาร์มเกิดก่อนฉันสองเดือน แม่กรก็เลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่แบเบาะเลยล่ะ ให้ฟาร์มเป็นเพื่อนสนิทที่หนึ่งในชีวิตเลย แม้ไม่รู้ว่าเขาจะอยากสนิทด้วยไหม
“ชารีดเองก็ได้”
“รีดให้มันไหม้ทิ้งน่ะเหรอ” ฟาร์มประชดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ตามสไตล์ ฉันถอนหายใจ ไม่เถียงเขาอีก เพราะก็เคยทำไหม้มาหลายตัว แม้จะมีแม่บ้านแต่แม่ก็มักจะสอนให้ฉันรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง และแม่กรก็ชอบสปอยล์ ไม่ให้ทำเอง
พอฟาร์มรีดเสื้อของเขาเรียบร้อยก็เดินมาหยิบของฉันไปรีด นี่ก็นั่งเป็นเพื่อนเขา แต่ไม่ชวนคุย กลัวเขารำคาญ
“ห้องมันร้อน ขึ้นไปข้างบนไหม” พอรีดเสื้อนักเรียนผ่านไปสองตัวเขาก็ถาม ฟาร์มเองก็ไม่ได้มือฉมังในการรีดผ้า เขาใช้เวลานานพอสมควรในแต่ละตัว
“นั่งอยู่นี่ไม่ได้เหรอ” ก็...อยากอยู่กับเขานี่นา
ฟาร์มไม่ไล่ฉันซ้ำหรอก เขาไม่ชอบพูดซ้ำ ก็เลยนั่งอยู่ในห้องใต้ดินร้อนๆ ที่แม้จะเปิดพัดลมแต่ก็เหงื่อท่วมตัวอยู่ดีในการนั่งรอเขารีดผ้าเป็นชั่วโมง
พอฟาร์มรีดผ้าเสร็จฉันก็หอบเสื้อผ้าตัวเองขึ้นไปไว้บนห้อง ส่วนฟาร์มก็เอาไปไว้ที่ห้องนอนเขากับแม่ ฉันรีบเอาเสื้อผ้าไปเก็บในตู้แล้วลงมาเคาะห้องนอนแม่กร ฟาร์มเป็นคนมาเปิดประตูให้
“แม่กรเป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะหนูใบชา อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว” แม่กรบ่นสภาพอากาศในช่วงนี้ เป็นปลายฤดูฝนที่เริ่มมีลมหนาว แต่บางเวลาก็ร้อนอบอ้าว อากาศเอาใจยากจริงๆ
“หิวข้าวกันหรือยังล่ะ เดี๋ยวแม่กรไปทำอะไรให้กิน” ฉันกับแม่เรียกเธอว่าแม่กร เจ้าตัวเลยแทนตัวเองว่าแม่กรเหมือนกันในที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะแม่กร เดี๋ยวสั่งมากินก็ได้ แม่กรให้ชาสั่งเผื่อไหมคะ”
“โอ๊ย ไม่หรอกค่ะ แม่กรทำข้าวต้มร้อนๆ กินเองแล้วกัน”
พยักหน้ารับรู้ นอกจากเรื่องเกรงใจแล้วแม่กรก็คงยังกินอะไรไม่อร่อย ทำกินเองน่าจะถูกปากตัวเอง ข้าวต้มก็ไม่น่าทำยากจนเกินไป
ฉันเห็นฟาร์มหยิบกีตาร์ออกมาจากห้องเลยขอตัวกับแม่กรตามเขาออกมาด้วย เจ้าตัวเดินขึ้นบันไดชั้นสอง แล้วก็เลยไปถึงดาดฟ้า ฉันนั่งลงบนหมอนรองนั่งอีกใบข้างๆ ฟาร์ม
“คืนนี้ฝนจะตกไหมนะ” เปรยๆ คุยกับคนที่กำลังเริ่มเกากีตาร์เป็นเพลงแล้ว
“ถ้าไม่ตกฟาร์มจะขึ้นมากางเต็นท์นอนไหม” ปกติฟาร์มจะนอนกับแม่กร แต่พอเริ่มโตขึ้นเขาก็คงอยากมีความเป็นส่วนตัว ขออนุญาตพ่อกับแม่กางเต็นท์นอนหลังบ้านบ้าง หรือบนดาดฟ้าบ้าง
“น่าจะนอนเป็นเพื่อนแม่”
“ช่วงนี้แม่กรไม่สบายบ่อยเนอะ”
“อืม พ่อเลยอยากให้ไปอยู่ด้วย แต่แม่ก็อยากอยู่ที่นี่ต่อ” พอฟังมาถึงตรงนี้ก็ใจหาย พอรู้มาว่าพ่อของฟาร์มอยากให้เขากับแม่ไปอยู่ด้วยสักพักแล้ว แต่แม่กรที่ทำงานกับแม่ฉันมาตั้งแต่สาวๆ จนผูกพัน ไม่อยากไปไหน เลยขอสามีว่ารอให้ลูกเรียนจบมอปลายก่อน
พ่อของฟาร์มทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นคนขับรถให้เศรษฐีคนหนึ่ง แล้วเหมือนกับว่าเจ้านายก็ดูแลดี จนตอนนี้มีเงินมีฐานะมั่นคงพอสมควร เลยอยากให้เมียกับลูกไปอยู่ด้วยกัน
“แล้วฟาร์มกับแม่จะย้ายไปตอนไหน”
“ตอนแรกก็ว่าจะรอให้จบมอหกก่อน ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ แต่พ่อเปลี่ยนใจ อยากให้ย้ายไปเทอมสองเลย” ฟังมาถึงตรงนี้ยิ่งใจหายเข้าไปใหญ่ เท่ากับแม่กรกับฟาร์มจะอยู่กับฉันไม่เกินเดือนสองเดือน เพราะอีกหนึ่งเดือนก็ปิดเทอมแล้ว
ซึมไปนานทีเดียว แต่จะขอให้ทั้งคู่อยู่ต่อก็ไม่ได้ แม่กรกับฟาร์มไปอยู่กับพ่อเขาคงสบายกว่าอยู่บ้านฉัน
“ฟาร์ม เล่นเพลงนี้หน่อยสิ” ฉันขอเพลงที่เข้ากับความรู้สึกของฉันในตอนนี้ เพลงเศร้าๆ เหงาๆ ที่ปกติก็ไม่เคยร้องด้วยความเหงาขนาดนี้ แบบที่มองดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าก็ยิ่งอยากร้องไห้เข้าไปอีก
ฉันเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ และก็เรียนยาวมาจนถึงตอนนี้เพราะเป็นสิ่งที่ชอบที่สุดจากการที่แม่ให้ลองได้เรียนหลายๆ อย่าง ออ มีกีตาร์ที่ฉันทุ่มเทกับมันอีกอย่าง
เพราะว่าเวลาไปเรียนอะไรฟาร์มก็จะไปเป็นเพื่อน จนเขากลายเป็นคนชอบเล่นกีตาร์จนถึงตอนนี้ ส่วนฉันก็ชอบร้องเพลง เราสองคนดูเข้ากันได้ดีใช่ไหมล่ะ
ฉันเป็นคนมีเพื่อนเยอะนะ แต่ไม่รู้สึกสนิทกับใครเท่าฟาร์ม คนที่เหมือนจะไม่ค่อยพูด แต่เราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ฟาร์มไม่แกล้งฉันหรือทิ้งฉันเลยสักครั้ง ในความที่เหมือนไม่ได้พูดคุยหรือหยอกล้อเล่นกันแบบเพื่อน แต่มองไปรอบๆ ก็มีเขาอยู่ตรงนี้เสมอ
“ฟาร์ม”
“หืม” เขาหันมามองฉันเหมือนสนใจ คงเพราะฉันเรียกเขาแล้วเงียบไป...มันจุกในอกน่ะ
“ถ้าฟาร์มไม่อยู่ ชาคงเหงา ไม่มีเพื่อน”
เขายิ้มมุมปาก แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเล่นกีตาร์ต่อ
“ไม่เหงาหรอก เพื่อนเธอเยอะออก”
“ไม่เหมือนกันนี่ ไม่มีใครเล่นกีตาร์ให้ร้องเพลง” ใครก็ไม่เหมือนเขา ไม่มีทางเหมือน
“ฟาร์มเป็นเพื่อนชามาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ สิบเจ็ดปีเลยอะ” เริ่มจะเข้าโหมดดรามาแล้ว แบบที่รู้ว่าฟาร์มไม่ปลอบหรอก
“ร้องเพลงนี้หน่อย” เห็นไหม เขาเปลี่ยนเรื่องเลย ฉันถอนหายใจ ไม่ดึงดรามาต่อ ร้องเพลงกับเขาดีกว่า...อีกหน่อยก็จะไม่มีคนเล่นกีตาร์ให้แล้ว
ยิ่งใกล้วันที่ฟาร์มจะต้องย้ายโรงเรียน ยิ่งรู้สึกอยากใช้เวลากับเขา และฟาร์มก็ดูใจดีเป็นพิเศษ ไม่ค่อยขัดเวลาฉันชวนไปนู่นไปนี่...หรือฉันคิดไปเองก็ไม่รู้
“ฟาร์ม ชาอยากไปเรียนร้องเพลงกับครูผิงเพิ่มอะ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“จะไปประกวดที่ไหนอีกเหรอ”
“อืม” ฉันประกวดมาเป็นร้อยเวทีแล้วมั้ง มันเลยไม่แปลกที่จะอยากไปเรียนร้องเพลงเพิ่มเพื่อการประกวด แล้วก็ตั้งใจจะสอบเข้าเอกวอยซ์ด้วยตอนเรียนมหาวิทยาลัย
“ไปเรียนตอนไหน หลังเลิกเรียนหรือวันเสาร์”
“ไปวันเสาร์ได้ไหม” ไปเรียนร้องเพลง แล้วก็ไปดูหนังต่อได้แบบที่จะได้กลับบ้านไม่ค่ำมาก
“ก็แล้วแต่ เล่นเกมรอก็ได้”
“ฟาร์มไม่อยากเรียนเพิ่มเหรอ” มีครูสอนกีตาร์ด้วยในสถาบันเดียวกัน
“ไม่ละ” ไปนั่งเล่นเกมเฝ้าฉันเรียนร้องเพลง...ใจดีจัง
“ไปเสาร์นี้เลยนะ จองไว้สี่ครั้ง ไปช้าเดี๋ยวฟาร์มไปกรุงเทพฯ ก่อน” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรใจเสียทุกที
“ก็ตามใจ”
ถึงวันเสาร์ฉันก็ขอแม่ไปเรียนร้องเพลงกับฟาร์มแต่เช้า ซึ่งหลังๆ มาแม่ก็เริ่มปล่อยให้ฉันไปเรียนเอง ไม่ได้ไปเฝ้าเหมือนตอนเด็ก ถ้ามีฟาร์มไปเป็นเพื่อน เรื่องไปโรงเรียนก็ยอมให้ฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเรียนกับฟาร์มด้วยแล้วเหมือนกัน
บ้านของฉันอยู่ไม่ไกลจากอำเภอเมืองเชียงรายมากนัก ขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปสักสิบกิโลก็ถึงตัวเมือง พ่อฉันทำธุรกิจเกี่ยวกับขายเครื่องมือการเกษตร มีหน้าร้านในตัวอำเภอหนึ่งแห่ง แล้วก็ขยายออกมาอยู่บนที่ดินตัวเองอีกหนึ่งสาขา หลังจากที่ทำบ้านใหม่ได้สองปี อยู่ลึกเข้ามาในที่นาตัวเองอีกหน่อย เงียบสงบเป็นส่วนตัวดีเชียวล่ะ ส่วนมากฉันอยู่บ้านกับแม่เป็นหลัก ส่วนพ่อจะนอนที่ร้านข้างในสลับกับบ้าน
“จะพากันกลับกี่โมงล่ะ” แม่ถามก่อนที่ฉันกับฟาร์มจะออกจากบ้าน
“น่าจะไม่ค่ำหรอก”
“จะไปเที่ยวไหนต่อเหรอ” แม่ดักอย่างรู้ทัน
“ก็...น่าจะดูหนังต่อสักเรื่อง” จริงๆ ก็มีที่อื่นที่อยากไปอีก ถ้าไม่ค่ำมากจะชวนฟาร์มไป
“จะไม่พากลับค่ำนะครับคุณพลอย” ฟาร์มเรียกแม่ฉันว่าคุณพลอยตามแม่กร
“จ้ะ ฝากดูด้วยนะฟาร์ม อย่าให้ไปเถลไถลที่ไหน” แม่ทำเป็นเข้มกับฉัน ดูไว้ใจฟาร์มมากกว่าฉันเสียอีก ซึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าไม่ไว้ใจเขา ฉันก็คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนกับเขาสองคนตั้งแต่เริ่มขึ้นมอสี่
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย ขับรถดีๆ นะฟาร์ม”
“ครับ”
ซึ่งฟาร์มก็ทำตามที่รับปากแม่ฉันไว้เป็นอย่างดีทุกครั้ง เขาขับมอเตอร์ไซค์ช้ามาก แบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะหวาดเสียวใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นพอออกจากบ้านมาได้สักพักก็รีบเกาะเอวเขาไว้ให้มั่น...ถ้ามันหนาวหรือมืดกว่านี้สักหน่อยก็จะเนียนกอดแน่นๆ เลย
ใช้เวลาสิบกว่านาทีก็มาถึงห้างสรรพสินค้า ฉันกับฟาร์มตรงไปที่สตูดิโอเลยเพราะอีกไม่นานก็ถึงเวลานัด ด้านในจะมีห้องโถงรับรอง แล้วก็มีห้องเรียนแยกอีกสี่ห้องด้วยกัน
“สวัสดีค่ะครูผิง” ฉันกับฟาร์มยกมือไหว้ครูสอนร้องเพลง แกออกมารับลูกศิษย์เองพอดี
“สวัสดีจ้ะ ฟาร์มมาเรียนกีตาร์ด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ครับครู มาเป็นเพื่อนเขาเฉยๆ”
“งั้นมาเรียนร้องเพลงกับใบชาเลยสิ ให้เรียนฟรีเลย” ครูผิงแซวฟาร์มอย่างอารมณ์ดี ตอนเด็กๆ ฟาร์มก็มาเรียนกับฉันนั่นแหละ แต่เขาดูจะไม่ชอบเท่าไหร่ แบบเด็กหน้านิ่งแสดงออกชัดจนแม่สังเกต เลยให้ลองเรียนกีตาร์ดู ซึ่งฟาร์มดูจะโอเคมากกว่า หลังๆ มาฉันก็เรียนทั้งเปียโน ทั้งกีตาร์เพิ่ม ขณะที่ฟาร์มเขาจะเรียนกีตาร์เป็นหลัก เปียโนก็เรียนเป็นเพื่อนได้ แต่ร้องเพลงนี่เขาขอแม่เลยว่าขอนั่งรอเป็นเพื่อนเฉยๆ
“ไป ใบชา ไปรอครูในห้องกับเพื่อนๆ อีกสิบนาทีครูตามเข้าไป เดี๋ยวเฝ้าหน้าร้านแทนพี่น้ำแป๊บหนึ่ง เขาไปเข้าห้องน้ำ”
“ค่ะครู”
เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วก็มองฟาร์มอยู่เรื่อยๆ คิดว่าเขาอาจจะไปเดินดูอะไรบ้าง แต่เขาก็นั่งเล่นเกมอยู่ตรงนั้นจนฉันเรียนจบคอร์สในเวลาชั่วโมงครึ่ง
ฟาร์มเงยหน้าจากโทรศัพท์มองฉัน ฉันยิ้มสดใสแล้วพยักหน้าชวนเขาออกจากสตูดิโอ
“เสร็จแล้ว”
ฟาร์มยังเล่นเกมค้างอยู่นั่นแหละ แต่เขาก็กดมันทิ้งแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ พาฉันออกจากสตูดิโอ
“นึกว่าฟาร์มจะออกไปเดินเล่นรอ”
“เดินให้เหนื่อยทำไม” ก็จริงอย่างที่เขาตอบนั่นแหละ จะให้เขาไปเดินทำอะไร ให้ช็อปปิ้งนู่นนี่ก็ดูไม่ใช่เขา กิจกรรมอื่นๆ นอกจากกีตาร์แล้วก็ไม่เคยเห็นเขาจะสนใจอะไรเท่าไหร่ ฟาร์มเองก็เป็นพวกพลังงานน้อยเหมือนกัน...ใช่ เหมือนฉัน แต่ฉันแค่มีพลังเยอะหน่อยเวลาอยู่กับฟาร์ม
“ขอคีบตุ๊กตาแป๊บหนึ่งนะ”
“อือ” ตอบแบบที่หน้าก็ก้มจิ้มโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจที่จะอยากเล่นเกมอย่างอื่นแถวๆ นั้นเลย ไม่สนใจว่าฉันจะคีบตุ๊กตาได้หรือไม่ได้ด้วย แต่แน่นอนว่าสุดท้ายก็ต้องขอให้เขาช่วย
“ฟาร์ม หมดไปร้อยแล้วช่วยหน่อยสิ” ทำตาปริบๆ แบบมีความหวัง เพราะฟาร์มก็ช่วยตลอด แต่รอบนี้ผิดคาด เขาส่ายหน้าแล้วก็ปฏิเสธ
“ไม่ได้ก็ไปเถอะ” ฟาร์มเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง เป็นสัญญาณว่าเขาไม่ช่วยจริงๆ ใจมันหล่นวูบแล้วก็เจ็บสุดๆ เดินก้มหน้าก้มตาตามเขาไปด้วยความเลื่อนลอย ห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ได้ก็เก่งแล้ว
“อะ เอาตัวนี้ไหม” เพิ่งจะมีสติมาสนใจสิ่งรอบข้าง เงยหน้ามองฟาร์มที่กำลังยื่นตุ๊กตาสีชมพูขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ให้ฉัน แล้วพอมองเห็นชัดๆ ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ท่ามกลางตุ๊กตาหลายสีหลายแบบหัวใจก็ฟูฟ่อง ยิ้มด้วยความดีใจ