ตอนนี้ได้แคนดิเดตทั้งชายหญิงเป็นยี่สิบกว่าคนเลย บรรยากาศแย่งกันเสนอชื่อเริ่มสงบลงแล้ว พี่ๆ ปีสองก็เลือกรุ่นน้องคนที่เหลือ แล้วก็มีชื่อฉันจนได้
“ขอน้องใบชาอีกคนได้ไหมครับ น้องใบชาเอกวอยซ์” หัวใจฉันหล่นวูบ แม้จะประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ แต่จะให้ไปประกวดเฟรชชี่อะไรแบบนั้นมันคนละสายกันจริงๆ แต่ก็จำต้องลุกจากที่ไปยืนข้างหน้าด้วย
“โอเค นี่คือโฉมหน้าตัวแทนเฟรชชี่ของคณะเรานะคะ” แล้วพี่ๆ ก็ปรึกษากัน ขณะที่เพื่อนๆ บางคนก็เดินไปกระซิบขอถอนตัว แน่นอนฉันกับฟาร์มก็เอาด้วย ซึ่งพี่ๆ ก็ไม่ได้บังคับ ให้คนที่เขาสนใจจริงๆ เป็นตัวแทน
เราสองคนกลับมานั่งที่เดิม รู้สึกโล่งมากเลย
“ใบชา แกถอนตัวทำไมวะ” นิดหน่อยถามทันที ทำเป็นเสียดาย
“ไม่กล้าไปประกวดหรอก”
“ไม่กล้ายังไง ประกวดร้องเพลงมากี่เวทีแล้ว ถ้วยเต็มบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ” ประกวดมาตั้งแต่เด็กๆ เวทีเล็กเวทีใหญ่เอาหมด ทำให้ได้ทุนเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี...ถึงมันจะไม่ฟรีทั้งหมด และเรียนสาขานี้ค่าใช้จ่ายก็เยอะด้วย แต่มันก็ภาคภูมิใจ
“มันไม่เหมือนกันนี่”
“ฉันอุตส่าห์รอกรี๊ด ฟาร์มด้วยอีกคน”
“เนียนนะแก ทำเป็นบ่นเพื่อนที่แท้ก็อยากแซวฟาร์ม” มิ้งดักคอเพื่อนอย่างรู้ทัน นิดหน่อยทำหน้าเซ็งๆ ทำให้เพื่อนๆ มีรอยยิ้มขำขันกัน
“คนที่เสนอชื่อใบชาชื่อพี่อะไรนะ” จู่ๆ เอสก็ถามขึ้น
“พี่กวิน พี่รหัสฉันเอง” อรตอบ
“ฉันว่าพี่เขาต้องจีบใบชาแน่ๆ” เอสทำเป็นสงสัย
“ไม่ใช่หรอก” ฉันรีบปฏิเสธ ตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละที่ถูกแซวบ้าง ตอนเรียนมัธยมไม่ค่อยมีโมเมนต์แบบนี้ แม้ว่าจะเป็นนักร้องนำวงดนตรีโรงเรียนตอนมอหกก็ตาม...คนไม่รู้จักกันจริงๆ ก็มองว่าฉันหยิ่งเลยแหละ
การที่ชอบร้องเพลง ประกวดร้องเพลงบ่อยทำให้เป็นที่รู้จักของคนในโรงเรียนในระดับหนึ่ง มีคนปลื้มบ้าง แต่ฉันเป็นพวกพลังงานน้อยนิด พูดไม่เก่ง คนที่ไม่รู้จักเลยคิดว่าหยิ่ง แต่ถ้าเพื่อนๆ ที่สนิทหรือทำงานด้วยกันถึงจะรู้นิสัยใจคอ
“เออ จะจีบได้ไง พี่เขามีแฟนแล้วนะ” อรเสริม
“ก็ดูใส่ใจดีเป็นพิเศษ ดีกว่าน้องรหัสแท้ๆ อย่างเธอไม่ใช่เหรออร”
“จริงเหรอ” อรทำหน้าสงสัย
“แกก็ช่างสังเกตขนาดนั้น”
“อ้าว สาวที่สนใจมันก็ต้องพิเศษหน่อย” ทำยิ้มตาหวานด้วย จนฉันเริ่มสงสัย ว่าถ้าเอสสนใจฉันอย่างที่โม้จริง ฟาร์มจะไม่สนใจฉันสักนิดเหรอ
“ไม่จริง มึงสนใจทุกคนอย่างเท่าเทียม” กัปตันแซวเอส ทั้งกัปตันเกมและต้นกล้าก็หัวเราะชอบใจ รวมถึงเพื่อนๆ ฉันที่ยิ้มขำกับหน้าเซ็งๆ ของเอส ที่ก็ดูจะยอมรับข้อกล่าวหานั้น
“โอเคนะคะ หลังจากให้เพื่อนๆ แนะนำตัวกันแล้วเราจะขอให้น้องๆ โหวต เดี๋ยวพี่ๆ แจกกระดาษให้เขียนชื่อ สีฟ้าเป็นฝ่ายชาย สีขาวเป็นฝ่ายหญิง”
“ระบบแมนนวล น่ารักกุ๊กกิ๊ก” พี่อีกคนแซวระบบโหวตตัวเอง
“ใช่จ้ะ ระบบแมนนวลไปก่อน เอาไว้ประกวดจริงเราค่อยไปช่วยกันโหวตให้ตัวแทนคณะเรากัน” พี่อีกคนอธิบายเพิ่ม
“แกว่าที่เราโหวตไปนี่จะได้เป็นตัวแทนจริงไหม” อรกระซิบ
“ก็คงดูประกอบกันแหละ พี่ๆ เขาคงมีคนที่เล็งๆ ไว้แล้ว แต่คงดูอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งคณะคนเยอะเกินให้โหวตไม่ไหวหรอก ถ้าแค่สาขาเราสิบกว่าคนมันก็พอโหวตพอตกลงกันได้”
ฉันพอเข้าใจที่มิ้งอธิบาย พี่ๆ เขาคงมีคนที่อยากให้เป็นตัวแทนแล้ว แต่อาจจะยังจิ้มไม่ได้ แล้วก็อยากให้พวกเรามีส่วนร่วมด้วย แต่ถ้าให้โหวตแบบจริงจังมันก็อาจจะดูซ้ำซ้อน
“รบกวนเวลาพวกเราแค่นี้ค่ะ ใครเขียนแล้วหย่อนลงในกล่องได้เลยนะคะ”
พอได้คำอนุญาตนั้นทุกคนก็ลุกแล้วก็แยกย้าย กลุ่มฉันกับกลุ่มฟาร์มก็เดินออกมาจากอาคารพร้อมกันไปโดยปริยาย
“มืดแล้วเหรอเนี่ย ไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านไหม” ตอนเดินออกมาฟ้าก็เริ่มสลัวๆ แล้ว เอสเลยถามเพื่อนๆ
“กูกลับเลย คืนนี้มีเล่นสองทุ่ม” เพิ่งได้ยินเสียงฟาร์มตอนนี้นี่แหละ
“เราก็ขอตัวนะ”
“อะไร หมดพลังอีกแล้วเหรอ” มิ้งแซวฉัน มันเริ่มเป็นคำที่เพื่อนๆ ชอบเอามาล้อ ฉันพยักหน้าด้วยสีหน้าอ่อยๆ แบบคนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เออ กลับดีๆ ฟาร์มไปส่งมันขึ้นรถไฟฟ้าหน่อยได้ไหม กลัวมันไม่มีแรงเดินไปถึง” มิ้งยังแซวไม่เลิก พอมิ้งบอกแบบนั้นฉันก็หันหน้าไปมองเขาโดยอัตโนมัติ เห็นฟาร์มพยักหน้า
“อ้าว ไรวะ ทำไมจู่ๆ ไอ้ฟาร์มได้ไปส่งใบชาเฉย” เอสทำเป็นผิดหวังสุดๆ เพื่อนๆ หัวเราะ ก่อนที่เกมจะเป็นคนกอดไหล่เอสเดินออกไป ไม่วายแซวเพื่อนตัวเอง
“ช่วยไม่ได้ คราวหน้าจะเปิดก็ดูหน้าดูหลังดีๆ” ก็เอสเป็นคนชวนเพื่อนไปหาอะไรกินเอง
เพื่อนๆ เดินไปอีกทาง ส่วนฉันก็เดินตามฟาร์มไปเงียบๆ จนไปถึงรถมอเตอร์ไซค์ของเขา ฟาร์มหยิบหมวกกันน็อกใบเดิม แม้วันนี้ฉันไม่ได้หอบของพะรุงพะรังแต่เขาก็ยังใส่ให้...ทำใจสั่นไปเบาๆ
แต่ก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม เขาสวมหมวกให้ตัวเองบ้าง ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ สตาร์ตรถ ฉันก็ขึ้นไปนั่งซ้อนอย่างรู้หน้าที่...และวันนี้ขอจับเสื้อเขาทั้งสองมือเลยแล้วกัน
ฟาร์มไม่ได้มาส่งฉันแค่สถานีรถไฟฟ้า เขาขับรถมาส่งคอนโดเลย เพียงแต่วันนี้ไม่ได้ขับเข้ามาข้างใน เข้าใจว่าคงรีบ ฉันลงจากรถพยายามถอดหมวกกันน็อกให้ไวที่สุด ฟาร์มรับมันไปเก็บ เปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น
“วันนี้รีบ” พูดแค่นั้นแล้วก็มองหน้าฉัน ในขณะที่ในหัวฉันพยายามทำความเข้าใจ... หมายถึงว่าถ้าเขาไม่รีบก็จะขึ้นไปกินมาม่าเหมือนวันนั้นหรือเปล่า หัวใจฉันสั่นอีกแล้ว รู้สึกว่ามันคือความใส่ใจตามแบบฉบับคนพูดน้อยแบบฟาร์ม
“อืม” ฉันพยักหน้ารับรู้ แล้วฟาร์มก็ปิดกระจกลงก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ออกไป...ฉันน่าจะพูดอะไรยาวกว่านั้นหรือเปล่า...เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าเราสองคนใครพูดน้อยกว่ากัน
ฉันขึ้นห้องด้วยหัวใจที่ฟูๆ แต่พอได้นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ถ้าตัดความน้อยใจออกไปฉันก็เข้าใจนั่นแหละว่าจะให้ฟาร์มมาโบกมือทักทายดีใจที่ได้เจอกันมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าอาการพูดน้อยของเขาตลอดเวลาเกือบเดือนนี้มันปกติหรือเปล่า แต่ความรู้สึกของฉันมันเฟลไปมากแล้ว
ยิ่งพอได้อยู่กันตามลำพังสองครั้งยิ่งคิดเปรียบเทียบ...บรรยากาศวันวานเก่าๆ อบอวล
แต่ตอนเจอกันที่มหาวิทยาลัยเขาเฉยเมยเกินปกติจริงๆ ในความรู้สึก วันนี้ยิ่งรู้สึกชัด ไม่อยากให้เพื่อนๆ รู้เหรอว่ารู้จักกัน...เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะ เพื่อนที่รู้สึกพิเศษ...จูบลาเพียงแผ่วผ่านในวันนั้นยังฝังลึกในหัวใจ หรือมีแค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียวจริงๆ