ในที่สุดวันแรกของการเปิดเทอมที่รอคอยมาเนิ่นนานก็มาถึง ข้าวสวยตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ ทันทีที่เท้าเหยียบเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยหัวใจดวงน้อยก็เต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมาจากหน้าอก ความฝันที่วาดฝันไว้ตั้งแต่เยาว์วัยได้เป็นจริงเสียที
ดวงตากลมโตหลุกหลิกไปมา สอดส่องสายตาไปรอบตัวด้วยความตื่นเต้นเคล้าดีใจ มีรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าไม่จางหาย ทำเอาคนที่เดินสวนไปสวนมาต้องเหลียวมองด้วยแววตาชื่นชมและให้ความสนใจ
“ไงจ๊ะเฟรชชี มีอะไรถามพี่จูเนียร์คนนี้ได้น้าา”
เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมแขนที่พาดบนไหล่ ทำให้คนที่กำลังหลงใหลไปกับสิ่งแวดล้อมใหม่ชะงัก ก่อนที่จะหันไปหรี่ตาถามเสียงเย้าแหย่
“พี่จูเนียร์คงไม่เปิดไพ่ตอบคำถามน้องเนอะ”
“ร้ายกาจ” คนโดยเย้าแหย่ย่นจมูกพลางทำหน้ามุ่ยใส่ เก็บมือที่พาดไหล่กลับไปแล้วเปลี่ยนเป็นกอดอกเชิดหน้าแทน เห็นดังนั้นข้าวสวยก็หลุดยิ้มขำออกมาอย่างชอบใจ
“หึ ๆๆ”
“แกสวยขึ้นป่ะ ผมสีใหม่ ผิวขาวขึ้น แถมยังทำเล็บด้วย” แอร์เอ่ยทักใบหน้าเหลอหลาเมื่อเห็นเพื่อนสนิทดูแปลกตาไปจากเดิม
“เขาจ่ายให้”
“แหม่ ๆๆ ถึงว่า ป๋าไม่เบาเลยนะ”
ข้าวสวยไม่ได้ตอบอะไร เพียงอมยิ้มและยืนฟังเพื่อนแซวแบบนิ่ง ๆ ไม่ได้แสดงอาการเคอะเขินอะไรมากนัก ทั้ง ๆ ที่ความจริงหัวใจพลันเต้นรัวแรง เพียงนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของมาเฟียหนุ่มผู้ออกค่าใช้จ่ายให้เธอเสริมสวย
“เย็นนี้ไปร้านนมด้วยกันป่ะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” แอร์ว่าพลางตบปุ ๆ ที่หน้าอกตัวเอง
“ต้องขอเขาก่อน”
เขาที่เธอหมายถึงคือมาเฟียหนุ่ม
“ได้เห็นหน้าคุณรอยวันนั้นก็ชักอยากเห็นหน้าป๋าของแกแล้วสิ อยากรู้ว่าจะหล่อสักขนาดไหน” พูดไปดวงตาก็แวววับไปด้วย เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาสุดกร้าวใจของรอย ทำเอาเคลิบเคลิ้มจนเกือบเก็บไปฝันหวาน
“เดี๋ยวให้คำตอบตอนบ่าย ไปเข้าปฐมนิเทศก่อน”
“เออ ๆ โชคดีนะเฟรชชี”
สองสาวยิ้มแย้มให้กันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปคนละทาง เนื่องจากห้องปฐมนิเทศอยู่คนละอาคารกับอาคารเรียนหลัก
ในระหว่างที่การปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกิจกรรมรับน้องใหม่ ข้าวสวยก็ตั้งใจและพยายามทำตัวลีบเล็กในฝูงชน พยายามไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ทว่าความสวยของเธอก็โดดเด่นจนเป็นที่หมายปองของเพื่อนรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่หนุ่มหลายคน รวมทั้งเป็นที่หมายตาของแมวมองที่กำลังมองหาตัวแทนไปร่วมประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยด้วย
ข้าวสวยได้รู้จักเพื่อนใหม่จากกิจกรรมรับน้องสองคน หนึ่งในนั้นดูเนิร์ดเพราะใส่แว่นกรอบหนา ใบหน้าละอ่อนใสและขาวเนียนเหมือนลูกผู้ดี ส่วนอีกคนนิสัยเฟรนด์ลีเข้าถึงง่าย สดใสราวกับดอกทานตะวัน
หลังจบกิจกรรมทั้งหมดในวันแรก สามสาวก็แยกย้ายกันกลับ ก่อนจะแยกได้แลกคอนแทกซ์เพื่อเอาไว้ติดต่อกันเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเรียนสาขาเดียวกัน
ใบหน้าสวยก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ขึ้นโชว์การโทรออกด้วยใจลุ้นระทึก ช่วงกลางวันเธอได้โทรไปหามาเฟียหนุ่มรอบหนึ่งเพื่อที่จะขออนุญาตไปร้านนมกับแอร์แล้ว ทว่าโทรไปเลขาส่วนตัวกลับเป็นคนรับสายแทนเนื่องจากเจ้านายติดเจรจาธุรกิจกับผู้ร่วมหุ้นลงทุน เธอจึงต้องรอมาจนถึงตอนนี้
ทว่ารอจนสายตัดไปมาเฟียหนุ่มก็ไม่ยอมรับสาย คนที่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดีจึงเคว้งคว้างไม่น้อย ไม่กล้าโทรไปซ้ำเพราะกลัวเขาจะไม่พอใจ
Rrrrrrrrrr...
ในขณะที่กำลังคิดไม่ตกเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ก้มมองก็เห็นว่าเป็นแอร์ที่โทรมา
“แอร์ คือเขายังไม่ว่างรับสายฉันเลย”
[ไม่เป็นไรแก วันนี้ฉันมีนัดด่วนพอดี]
“อ้าว หนุ่มเหรอ?”
[หนุ่มก็ดีดิ ลูกดวงใหม่ไฟแรงจ้า]
“ยินดีด้วย” จีบปากจีบคอกระแหนะกระแหนไปหนึ่งที เห็นน้ำเสียงผิดหวังเคล้าดีใจในประโยคก็อดหยอกเย้าไม่ได้
[เจอกันพรุ่งนี้ ฉันวางสายล่ะนะ]
“อืม”
หลังจากวางสายแอร์เสร็จข้าวสวยก็เงยหน้าขึ้นหมายจะไปรอขึ้นรถของลูกน้องที่มาเฟียหนุ่มสั่งให้คอยรับส่งเธอเพื่อกลับเพนท์เฮ้าส์ ทว่าก็ต้องผงะเมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างสูงใบหน้าหล่อตี๋เข้ามาขวางหน้า แล้วเอ่ยถามเธอขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้ามาดมั่น
“ขอไลน์ได้ป่ะ”
“เราให้เฉพาะคนสนิท”
“ต้องสนิทก่อนถึงให้?” หรี่ตาถามพลางกดยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ชอบกล
“......” ข้าวสวยไม่ตอบ เพียงแค่มองสบตาด้วยนัยน์ตาเฉยชาและใบหน้าเรียบนิ่ง หาแต่ท่าทีของเธอกลับยิ่งเพิ่มความสนใจให้เขาได้เป็นอย่างมาก
“งั้นคืนนี้ไปหาที่ห้องได้ป่ะจะได้สนิทกันไว ๆ”
“ทะลึ่ง!” ตวาดเสียงขุ่นเคืองใส่ พยายามจะเดินหนีแต่คนตัวสูงก็ไม่เลิกตอแย ยังเดินตามมาดักหน้าไว้
“ฉันแค่จะไปนั่งคุยด้วย เธออ่ะคิดไปถึงไหน”
“หน้าตาไม่น่าไว้วางใจแบบนี้ใครจะไปเชื่อลง”
“แรงนะเธอ”
“พูดกับคนไม่รู้เรื่องไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วย หลีกหน่อย!” ขึงตาดุใส่แล้วส่งสายตาให้คนตอแยขยับตัวหลีกทางให้ เขาจึงยอมขยับเท้าหลีกให้แต่โดยดี แล้วพูดตามหลังด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่าสนใจ?”
“แต่ฉันไม่สนใจนาย!” หันไปทำเสียงหงุดหงิดใส่เสร็จก็ย่ำเท้าเดินหนีโดยเร็ว แต่พอเดินมายังจุดนัดรับก็ต้องชะงักพลางหัวคิ้วขมวดชนกันเมื่อเห็นรถคันแสนคุ้นตา
“นายมารับ”
ได้ยินที่ลูกน้องมือซ้ายอย่างรอยพูดบอกหัวใจก็เต้นรัว ไม่รอช้ารีบขึ้นไปหาเขาบนรถทันที
“คุณ” เธอยิ้มหวานทักทาย ทำเอาคนที่กำลังนั่งรออยู่ชะงัก รอยยิ้มของเธอสะกดสายตาจนยากที่จะทอดถอน
“ไม่มีใครมาวอแวเธอใช่ไหม?”
เมื่อเห็นร่างบางประจำบนเบาะนั่งข้างกันแล้วก็หรี่ตาถามคล้ายจับผิด
“ก็...ค่ะ”
“แล้วไอ้หน้าจืดเมื่อกี้ล่ะ”
“เขาแค่มาถามทาง”
“ถามทางจากเด็กใหม่เนี่ยนะ!”
คำตอบฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด แต่เขาก็พยายามใจเย็นฟัง พอโดนเธอสวนกลับมาก็ไปไม่เป็น จำยอมเชื่อไปแต่โดยดี
“เขาก็เด็กใหม่เหมือนกัน”
“......”
“คุณยุ่งแต่ก็มารับหนู ขอบคุณนะคะ” เห็นเขานิ่งเงียบไปก็พูดเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อเขาไม่ได้มีท่าทีติดใจกับประเด็นก่อนหน้านี้แล้ว
“ผ่านมาแถวนี้พอดี”
“งั้นเหรอคะ”
ตั้งใจผ่านมาแต่ทำปากแข็งไม่ยอมรับ ลูกน้องมือซ้ายอย่างรอยที่ได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้มขำ ก่อนที่จะรีบสตาร์ทรถขับออกมาเมื่อได้รับสายตาขุ่นเคืองจากเจ้านายที่ส่งสายตาคาดโทษผ่านกระจกมองหลังมาให้
คล้อยหลังรถสัญชาติยุโรปที่ขับเคลื่อนออกไป ร่างสูงที่กำลังยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางมองตามจนรถคันนั้นหายไปจากครรลองสายตาก็แสยะยิ้มร้ายกาจ ครู่หนึ่งก็มีชายอีกคนเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกัน
“นี่เหรอวะจุดอ่อนของมัน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นโดยที่ภาพใบหน้าสวยหวานและสกิลการต่อปากต่อคำของเธอยังวนเวียนอยู่ในสมอง
“คิดว่าใช่ ช่วงนี้มันกกอยู่แค่กับเธอ”
“เสียดายความสวย”
ซางเฉิน มาเฟียหนุ่มลูกครึ่งไทยฮ่องกงว่าพลางเอามือลูบริมฝีปาก อดที่จะเสียดายไม่ได้ที่เธอเป็นผู้หญิงของศัตรูหมายเลขหนึ่ง
“นายก็แย่งมาสิ เธอต่อปากต่อคำเก่งใช้ได้ ดูน่าสนใจไม่เบา”
ใบหน้าที่ดูพึงพอใจเป็นอย่างมากทำให้อีกคนเดาได้ไม่ยากว่าเจ้านายของตนกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไร
“ใช่ น่าสนใจไม่เบา”
ซางเฉินลงทุนแฝงเข้ามาเรียนคณะเดียวกับผู้หญิงของศัตรูหมายเลขหนึ่ง เพื่อหวังใกล้ชิดกับข้าวสวยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะใช้เธอเป็นเครื่องมือในการจัดการควินตัน ผู้ซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งด้านธุรกิจและเคยมีเรื่องบาดหมางกับเขามาก่อน
“กลับดีกว่า ป๊ารอสาปกูอยู่” พูดจบก็ผิวปากเดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปทางลานจอดรถ โดยมีลูกน้องคนสนิทเดินตามหลังไปติด ๆ
“วิธีสิ้นคิด!”
ทันทีที่กลับมาเผชิญหน้ากับคนเป็นพ่อที่บ้าน คนที่เล่นพิเรนทร์โดยการแฝงตัวเป็นนักศึกษาก็ถูกตวาดใส่หน้าเสียงดังลั่น กระนั้นคนถูกตวาดกลับไม่ได้ยี่หระหรือรู้สึกสลดใด ๆ
“นี่เป็นวิธีการของผมป๊าอย่าเพิ่งดูถูกสิ”
“ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำตัวไม่เอาไหน คราวที่แล้วแกก็พลาดให้มันจับได้”
“ผมกะให้มันจับได้ ให้รู้ว่าผมจับตามองมันอยู่”
“โค่นทั้งพ่อและลูกให้สิ้นซาก เราต้องเป็นจ่าฝูงในวงการนี้จำเอาไว้!” พูดสั่งเสียงแข็งกร้าวอย่างเอาจริงเอาจัง มุมปากหยักจึงกดลงเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างยากที่จะคาดเดาความรู้สึก
“ผมจำได้ขึ้นใจ”
“ทำให้สำเร็จสักทีสิ ทำให้ฉันเห็นว่าแกมีความสามารถ”
“ผมหาจุดอ่อนมันเจอแล้ว อีกไม่นานหรอกป๊ารอดู”
“หึ”
โค้งหัวให้ผู้เป็นพ่อเสร็จก็เดินขึ้นบันไดเข้าห้องนอนไป ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตจนหมดทุกเม็ดแล้วกระชากถอดออก เผยให้เห็นมัดกล้ามแน่น
รินไวน์ราคาแพงลงในแก้วแล้วยกขึ้นจิบเบา ๆ แววตาคมกริบในยามนี้เลื่อนลอยจนยากจะหยั่งถึง จากนั้นก็ถอดปราการที่หลงเหลืออยู่ออกจนหมด แล้วเดินลงไปแช่น้ำอุ่นในอ่างที่ถูกตระเตรียมเอาไว้
เหตุผลที่ซางเฉินไม่ชอบควินตันและกลายเป็นศัตรูกัน เนื่องจากหนึ่งคือพ่อของเขากับพ่อของควินตันเคยจีบผู้หญิงคนเดียวกัน ทว่าพ่อของควินตันกลับได้เป็นผู้ครอบครองหัวใจของเธอ จนทั้งสองได้แต่งงานและมีลูกด้วยกัน ซึ่งก็คือควินตันนั่นเอง หากแต่ได้ไปแล้วกลับไม่ดูแลรักษาให้ดี ปล่อยปละละเลยจนเธอสภาพจิตใจย่ำแย่และจากโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุ นั่นเลยทำให้พ่อของซางเฉินเคียดแค้นเป็นอย่างมาก ความเกลียดชังจึงส่งต่อมายังซางเฉินไปโดยปริยาย
และเหตุผลที่สองคือสมัยเรียนทั้งคู่เคยเป็นคู่แข่งกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน วิชาการ กีฬา หรือแม้แต่ความป๊อปปูล่า ซึ่งในการแข่งขันทุกครั้งควินตันจะทำได้ดีจนเอาชนะได้เสมอ นั่นเลยทำให้ซางเฉินอิจฉาและเจ็บแค้นน้ำใจเป็นอย่างมาก บวกกับถูกกดดันจากผู้เป็นพ่ออย่างหนักหน่วง จึงทำให้เขาเกลียดควินตันจนฝังเข้ากระดูกดำ
ซางเฉินพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นที่หนึ่ง กระนั้นก็ไม่สามารถเอาชนะควินตันได้เลยสักครั้ง นั่นจึงทำให้เขาพึงระลึกได้ว่าในเมื่อสู้ซึ่งหน้าแล้วไม่ได้ผลก็เปลี่ยนเป็นการใช้วิธีสกปรกหรือทำตัวเป็นหมาลอบกัดแทน
“กูต้องเอาชนะมึงให้ได้ไอ้ควินตัน!”