4.ร้องไห้ไม่น่าอาย

2325 คำ
ในพิธีพระราชทานเพลิงของหม่อมจรรยา มัลลิกายังคงแอบร้องไห้หลบมุมเหมือนเดิม หนูน้อยมองคุณหญิงจริญญาที่ร้องไห้โฮในอ้อมกอดบิดาแล้วก็เหมือนเห็นภาพซ้อนในวันที่เผามารดาของตน ที่ช่อพิกุลกับมัลลิกากอดกันกลมร้องไห้มีน้าช้องนางคอยปลอบ ทว่าเวลานี้น้าสาวคอยปลอบคุณหญิงอยู่ใกล้ท่านชายตลอดเวลา กลับมาถึงวังคุณารักษ์ก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง คนงานผู้ใหญ่ต่างก็นั่งร้องไห้เช็ดน้ำตาหน้าเศร้า มัลลิกาเดินเลี่ยงทุกคนไปด้านหลังวังนั่งที่ชิงช้า ในทุกครั้งที่รู้สึกเหงาหนูน้อยจะมาที่นี่ น้ำตายังไหลออกจากดวงตาไม่หยุด มือน้อยปาดลวกๆ บนแก้มตัวเองซ้ำๆ จนช้ำ ยิ่งนึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนกับมือบางนุ่มๆ ที่ลูบศีรษะตนของหม่อมจรรยามัลลิกาก็ยิ่งสะอื้น แม้ไม่เจ็บปวดแสนสาหัสราวหายใจไม่ออกเหมือนเช่นตอนสูญเสียมารดา หากความเศร้าเสียใจก็มีมาก “ฉันนั่งด้วยคนได้ไหม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้มัลลิกาสะดุ้งหันมอง ร่างสูงโปร่งก้าวเดินมาใกล้ชิงช้าทำให้ร่างเล็กกระโดดลงก้มหน้าจะเดินหนี ทว่าไหล่เล็กถูกแตะรั้งให้หยุด “กลับมานั่งเถิด” “ก็คุณชายจะนั่ง” มัลลิกาพึมพำเสียงอยู่เพียงในลำคอ “ฉันนั่งได้ เธอตัวเล็กนิดเดียว ฉันเคยนั่งกับหญิงเล็กบ่อยๆ” หนูน้อยยังยืนเฉยแต่กลับถูกคุณชายหฤษฎ์โอบเอวยกให้กลับขึ้นไปนั่งบนชิงช้าที่เจ้าตัวต้องเขย่งเท้าเวลาขึ้นนั่ง มัลลิกาตกใจรีบคว้าจับเชือกด้านชิดตัวเองด้วยสองมือเมื่อร่างสูงโปร่งนั่งลงเบียดบนชิงช้าด้วย ทว่าก็รู้สึกได้ถึงแขนอีกฝ่ายที่โอบอ้อมหลังตนมาจับเชือกใกล้ๆ ขณะชิงช้าเริ่มเคลื่อนไหวตามแรงเหวี่ยงของขายาวที่ขยับ “ร้องไห้ คิดถึงแม่หรือ” “คิดถึงหม่อมด้วยค่ะ” เจ้าตัวตอบเสียงเบาทำให้ใบหน้าคมคายที่มีดวงตาคู่คมกริบหันมามอง “ขอบใจ” มัลลิกาเหลือบมองคนตัวโตกว่าแวบหนึ่ง เห็นว่าดวงตาคุณชายแดงก่ำทว่าไม่มีน้ำตา ขณะที่ตัวเองน้ำตาไหลอีกแล้วจนต้องรีบเช็ด “ไม่ต้องรีบเช็ดก็ได้ ร้องเถิด ฉันไม่ได้หวง ห้ามร้องไห้คิดถึงหม่อมแม่สักหน่อย” คุณชายหฤษฎ์บอกคนตัวเล็ก ท่าทางอีกฝ่ายดูแล้วน่าสงสารและมอมแมมดูไม่จืดทีเดียว “คุณชายกลางไม่เห็นร้องเลย” คนโตกว่าชะงักไปกับคำพูดไร้เดียงสา ก่อนมือหนาจะวางลงบนศีรษะเล็กพร้อมใบหน้าคมคายหมองลง ดวงตาก็เศร้าลึก “ร้องสิ แต่ร้องตอนที่อยู่คนเดียวน่ะ” “ทำไมคะ” “ไม่รู้สิ ไม่อยากให้คนอื่นเห็นมั้ง” คุณชายตอบง่ายๆ อาจเพราะเป็นผู้ชายจึงไม่ได้มีน้ำตาหรือร้องไห้โยเยเช่นน้องสาวตลอดเวลา วันแรกๆ น้ำตาก็ไหลบ่อยครั้งด้วยไม่อาจสะกดความเสียใจได้ ทว่าเวลาผ่านไปจะเป็นตอนอยู่เงียบๆ คนเดียว “อายหรือคะ ร้องไห้เพราะไม่มีแม่แล้วไม่เห็นน่าอาย” ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มอ่อนแต่กลับต้องขยับเม้มเพราะน้ำตาเริ่มเอ่อคลอจนต้องกะพริบถี่กลบลงไป “ถูกของเธอ ไม่น่าอายเลยสักนิด เราเสียใจคิดถึงแม่ก็ต้องร้องไห้สิ” พลางพึมพำคุณชายก็หันมองออกไปไกลและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่แสนสดใสต่างกับใจแสนหม่นเศร้าของตน มัลลิกามองตามอีกฝ่ายแล้วก็ได้เห็นน้ำตาที่ไหลรินลงบนแก้มสอบจรดลงปลายคาง มือเล็กยื่นขึ้นไปเช็ดให้อย่างไม่ทันคิดอะไรทำให้ใบหน้าคมคายหันมามอง ดวงตาคู่คมกริบจ้องนิ่งที่ดวงหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ขณะที่ดวงตาคู่เรียวงามที่มองมานั้นแสนใสซื่อบริสุทธิ์ “ขอบใจ” คุณชายหฤษฎ์ยิ้มบางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยความรู้สึกอ่อนโยน ขอบใจที่แม่หนูน้อยอยากปลอบตนจากใจจริง หลังเสร็จสิ้นงานศพของหม่อมจรรยาคุณชายหิรัญยังอยู่ต่อทว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับ นับแต่ช่วยช่อพิกุลอุ้มมัลลิกาไปส่งยังเรือนคนใช้ คุณชายใหญ่ก็ไม่ได้หาเวลาอยู่ตามลำพังกับอีกฝ่าย อาจเพราะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ช่อพิกุลเองก็ไม่ได้เข้าใกล้คุณชาย ทั้งสองต่างอยู่ในที่ทางของตนและพูดคุยในบางครั้ง ทว่าเมื่อมองไปยังอีกฝ่ายก็มักประสานสายตากันและกันเสมอ ใจสาวน้อยเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งที่บังเอิญสบตากับคุณชายใหญ่ แม้รู้ว่าไม่ควรทว่าช่อพิกุลเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะเสียใจมากจึงแอบลอบมองอย่างห่วงใย แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นเพียงน้ำตาที่เอ่อคลอจนกระทั่งวันสุดท้ายของงาน ในเช้าตรู่วันที่คุณชายใหญ่จะบินกลับอังกฤษช่อพิกุลใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากก็รีบไปเรือนครัวเพื่อช่วยหั่นผักเตรียมอาหารเช่นทุกเช้า ทว่ากลับมีคนมาฉุดให้หลบไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ทันทีที่ลงมาจากเรือนคนใช้ และเมื่อเห็นคนตรงหน้าชัดเจนเสียงหวานก็พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณชาย” “ฉันกระวนกระวายใจ ถ้าจะกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับเธอ” คุณชายหิรัญจ้องหน้าเธอพลางจับมือข้างหนึ่งกุมไว้ “งานหม่อมแม่ที่ผ่านมา ฉันพยายามเก็บความรู้สึกนึกคิดตัวเองที่วนเวียนอยู่กับเธอมาตลอด บอกตัวเองว่ายังไม่ใช่เวลา ยังไงเธอก็อยู่ที่วังนี้ ไม่ไปไหน แต่พอต้องไปจริงๆ ฉันกลับไปเฉยๆ ไม่ได้ มันกังวลไปหมดเพราะฉันต้องไปเรียนอย่างน้อยก็เป็นปี หรือมากกว่านั้น” ช่อพิกุลหัวใจเต้นแรง ใจเธอเองก็วนเวียนอยู่กับคุณชายใหญ่เช่นกัน “เธอสัญญาว่าจะรอฉันได้ไหมพิกุล” คุณชายหิรัญเข้าเรื่องทันที “อย่าเพิ่งสนใจใคร หรือปลงใจไปกับใคร รอฉันกลับมา ถึงตอนนั้นฉันคงพูดเรื่องของเธอกับท่านพ่อได้เต็มปากมากกว่าตอนนี้” “เอ่อ...” “รอฉันนะ” คุณชายย้ำมาอีกราวไม่ต้องการให้ช่อพิกุลปฏิเสธ หัวใจของสาวน้อยที่เพิ่งอายุเต็มสิบเก้าปีมาสองเดือนยังไร้เดียงสา และแน่นอนว่าความรู้สึกดีประทับใจที่ตัวเองมีต่อคุณชายใหญ่ทำให้ช่อพิกุลตอบรับ “ค่ะ” เพียงเท่านั้นร่างบอบบางก็ถูกคว้าไปกอดแนบอกแกร่ง อ้อมแขนกำยำกับอกอุ่นทำให้หัวใจเล็กๆ เต้นโครมคราม ช่อพิกุลคิดว่านี่คือความรัก หนึ่งปีผ่านไป มัลลิกาไปโรงเรียนกับคุณหญิงอย่างมีความสุขตามประสาเด็ก เวลาเยียวความหมองเศร้าทว่าไม่ได้ลบความทรงจำ ยังจดจำความเมตตาของหม่อมจรรยาได้เสมอ ไม่ต่างจากยังคิดถึงมารดาของตนจนบางครั้งก็นอนร้องไห้เงียบๆ กลางดึกโดยที่พี่สาวซึ่งหลับสนิทไม่รับรู้ สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือน้าช้องนางย้ายขึ้นไปอยู่บนตึกใหญ่ สำหรับมัลลิกาที่ยังเป็นเด็กนั้นไม่ได้รู้เรื่องราวใดมากมายนัก และยังเรียกน้าสาวของตนว่า ‘น้าช้อง’ เช่นเดิม ในขณะที่คนงานในวังคุณารักษ์ต่างเรียก ‘หม่อมช้อง’ แต่ถึงอย่างนั้นน้าช้องนางก็ยังเป็นพี่เลี้ยงของคุณหญิงจริญญาเพราะแม้คุณสร้อยหาคนใหม่มาให้คุณหญิงก็เรียกหาแต่พี่เลี้ยงคนสนิท “เร็วๆ น้าช้อง ลุงสมเอารถมารอแล้ว” เสียงคุณหญิงดังมาจากในตึกใหญ่ ขณะที่มัลลิกาเองก็มายืนรอหน้าตึกพร้อมกระเป๋าใบโตของตน เมื่อร่างเล็กของคุณหญิงจริญญาในชุดนักเรียนกระโปรงเอี้ยมสีน้ำเงินน่ารักออกมาลุงสมก็เปิดประตูรถรอ คุณหญิงลงบันไดไปหยุดยืนรอใกล้รถ หันมองช้องนางที่ตามมาพร้อมกระเป๋าแล้วก็หน้างอ “น้าช้องช้าจังเลย” “ขอโทษค่ะคุณหญิง” “ผมช่วยครับหม่อม” ลุงสมเข้าไปช่วยถือกระเป๋านักเรียนจากคนที่ใบหน้าค่อนข้างซีดเซียวเข้าไปใส่ในรถให้ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณสร้อยเดินมายังประตู “เสียงดังไปถึงข้างบนแน่ะค่ะคุณหญิง ต้องพูดเบาๆ สิคะ” แม้จะเอ่ยราวเอ็ดหากก็น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู “ค่ะป้าสร้อย” คุณหญิงพูดเสียงเบาลงแต่ใบหน้ากลับยิ้มร่าไม่ได้สลดเมื่อถูกดุ จากนั้นก็รีบยกมือไหว้พลางย่อตัวเร็วๆ “สวัสดีค่ะป้าสร้อย น้าช้อง...ไปกันเร็วมะลิ” เมื่อหันมาเรียกมัลลิกาแล้วก็ผลุบเข้าไปนั่งในรถทันที พร้อมกับเสียงเข้มๆ ของคุณสร้อยที่พูดแทบไม่ทันคุณหญิง “ดูสิ ย่อสวยๆ สิคะ จะรีบไปไหน โรงเรียนไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ” มัลลิกาไหว้คุณสร้อยกับน้าช้องนางอย่างเรียบร้อยก่อนจะขึ้นรถด้านหน้าตามไป ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองอย่างเอ็นดู เมื่อรถแล่นออกไปแล้วคุณสร้อยก็บ่นเบาๆ กับช้องนาง “คุณหญิงทำอะไรก็ดูกระโดกกระเดกไปหมด ไม่เหมือนมะลิ รายนั้นเรียบร้อย แล้วอย่างนี้จะให้ฉันเห็นด้วยเรื่องที่ท่านชายทรงดำริว่าจะตามใจคุณหญิงขอไปอยู่ประจำได้ยังไง ปล่อยไปคงได้รวมตัวกับพวกทะโมนหรือไม่ก็คงตั้งตนเป็นหัวหน้าในโรงเรียนเสียกระมัง” ช้องนางยิ้มบางอย่างไม่ออกความเห็น คุณสร้อยเป็นลูกหลานคนเก่าคนแก่ในวังคุณารักษ์ เป็นคนที่แม้แต่ท่านชายกับหม่อมจรรยาก็ยังฟังเสียง นับแต่หม่อมจากไปคุณสร้อยก็เป็นคนดูแลตัดสินใจทุกอย่างรวมถึงค่าใช้จ่ายเงินภายในวังคุณารักษ์ซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าตัวก็ช่วยหม่อมจัดการมาแต่แรก เพียงแต่ตอนนี้สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองทั้งหมด “ว่าแต่หม่อมเป็นยังไงบ้างคะ แพ้มากหรือเปล่า หน้าซีดเชียว” “ไม่เท่าไรค่ะ” “เดินเหินก็ระมัดระวัง พักผ่อนมากๆ ไม่ต้องหยิบจับอะไร เรื่องดูแลคุณหญิงฉันจะให้พิกุลช่วย นี่ก็ใกล้สอบเสร็จแล้วใช่ไหม ปิดภาคเรียนน่าจะมีเวลา ส่วนเรื่องทำงานฉันจะถามคุณทนายว่าจะพอฝากให้ไปช่วยงานเอกสารได้ไหม” “ขอบคุณค่ะ” ช้องนางยกมือไหว้ขอบคุณแทนหลานสาว อดระลึกไปถึงหม่อมจรรยาที่ฝากฝังหลานสาวทั้งสองคนเอาไว้ไม่ได้ ‘พิกุลกับมะลิ ฉันอยากช่วยให้ถึงฝั่ง ถ้าเขาอยากเรียนก็ให้เรียนถึงอุดมศึกษา ถ้าอยากทำงานก็แล้วแต่ความสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องให้ทำงานแค่ในวังนี่หรอก’ ขณะที่ป่วยหนักหม่อมจรรยาบอกเล่าความตั้งใจทั้งกับคุณสร้อยและช้องนางพร้อมกัน เงินที่ใช้ในการส่งเสียให้ช่อพิกุลกับมัลลิกาได้เล่าเรียนนั้นเป็นเงินส่วนตัวของหม่อมเอง ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติฝั่งท่านชายบวรภพ นั่นทำให้ช้องนางยิ่งรู้สึกขอบคุณหม่อมจรรยามากยิ่งนัก เต็มใจปรนนิบัติดูแลท่านชายเมื่อหม่อมเอ่ยขอให้ช่วยเพื่อตอบแทนบุญคุณ ‘ถือว่าเห็นแก่ฉันนะจ๊ะช้อง’ ‘หม่อมมีบุญคุณ รับช้องที่แม่เอามาฝากไว้เพราะเลี้ยงดูไม่ไหวตั้งแต่ยังเด็ก แล้วยังรับอุปการะหลานกำพร้าทั้งสองคน ให้ได้มีที่ซุกหัวนอน ได้กินเต็มอิ่ม ได้เรียนหนังสือ ช้องเต็มใจค่ะ’ ช้องนางได้รับความเมตตาจากท่านชายบวรภพไม่น้อย ไม่ได้เป็นเพียงเมียบ่าว และตอนนี้ก็ตั้งท้องอ่อนๆ ท่านชายดีพระทัยมาก ทั้งคุณสร้อยก็ดูแลอย่างดีหายาบำรุงครรภ์มาให้กินอย่างใส่ใจ “กรี๊ดดด” เช้าวันหนึ่งช้องนางตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกปวดท้องมาก และสิ่งที่เห็นเมื่อพยายามจะขยับตัวลงจากเตียงก็คือเลือดไหลออกมาจากระหว่างขาเต็มไปหมด “ลูก ไม่นะ ลูกแม่...” ช้องนางกรีดร้องอย่างหนัก น้ำตาไหลพราก ตัวสั่นเทา คุณสร้อยที่อยู่ห้องใกล้กันของชั้นหนึ่งภายในตึกใหญ่รีบมาเคาะประตูหลังจากได้ยินเสียงแว่วเพราะกำลังจะลงไปดูแลในเรือนครัวพอดี “หม่อมช้อง มีอะไรหรือคะ” คนที่ยังตกใจร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนักไม่กล้าขยับตัวแม้ได้ยินเสียงเรียก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงท่านชายแล้วก็มีเสียงไขประตูเข้ามา ผ้าปูเตียงที่เต็มไปด้วยเลือดกับผ้าถุงของคนที่นั่งร้องไห้บนเตียงทำให้ท่านชายบวรภพกับคุณสร้อยชะงัก ทว่าก็เป็นท่านชายที่รีบเข้าไปโอบไหล่ที่กำลังสั่นเทาปลอบโยน “ชายท่าน ลูกเพคะ ลูก...ฮือออ” “ไม่เป็นไรนะช้อง ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ สร้อยตามหมอเร็ว” “เพคะ” คุณสร้อยหน้าซีดเผือดหากก็รีบกุลีกุจอออกไปโทรศัพท์หาหมอประจำตระกูลตามรับสั่งชองท่านชาย ช้องนางสูญเสียลูกแม้ว่าหมอจะมาถึงในเวลาไม่นานก็ไม่อาจช่วยได้ ‘สุขภาพหม่อมช้องไม่ค่อยแข็งแรง เลือดลมไม่ปกตินักนับแต่ตั้งท้องฝ่าบาท กระหม่อมเองก็กังวลมาตลอดเพราะอายุหม่อมช้องก็ไม่น้อยแล้ว’ แม้ว่าช้องนางจะอายุยี่สิบเก้าปี หากก็นับว่าเยอะแล้วสำหรับการตั้งครรภ์ ‘อย่าคิดมากเลยนะช้อง รักษาเนื้อรักษาตัวให้สุขภาพแข็งแรงเถิด’ ท่านชายตรัสปลอบใจ แม้จะเสียดายที่ไม่มีลูกน้อยน่ารักๆ ทว่าสงสารหม่อมของพระองค์มากกว่า ไม่อยากให้เจ้าตัวเสียใจจนคิดมาก นับจากนั้นช้องนางก็ดูไม่ค่อยสดใสนัก หากก็ยังปรนนิบัติท่านชายอย่างดี ทว่าท่านชายบวรภพหรือแม้แต่คุณสร้อยก็มองออกว่าหญิงสาวยังเสียใจเรื่องสูญเสียลูกอยู่มาก ไม่มีใครบอกเล่าเรื่องนี้กับมัลลิกาและคุณหญิงจริญญาเพราะยังเด็ก แต่หนูน้อยก็รู้สึกได้ว่าแววตาของน้าสาวเจือความเศร้ากว่าเมื่อก่อน ======
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม