“ชายใหญ่หลงแหม่มตาน้ำข้าวหัวปักหัวปำ ฉันไม่ชอบใจเลย”
เสียงท่านชายบวรภพดังลั่นในเย็นวันหนึ่ง
คุณหญิงจริญญากับมัลลิกาทำการบ้านด้วยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยมีช่อพิกุลคอยแนะนำเพราะเรียนมาก่อน และช้องนางนั่งอยู่ด้วย ส่วนท่านชายกับคุณสร้อยรวมถึงคุณชายกลางนั้นคุยกันอยู่ในห้องหนังสือ
มือของช่อพิกุลที่ถือหนังสืออยู่เผลอปล่อยลงบนโต๊ะพร้อมหัวใจที่หล่นวูบ ขอบตาร้อนผ่าว แต่เพราะคุณหญิงจริญญากับมัลลิกาหันมองหน้ากันอย่างงุนงง ช้องนางเองก็เหลือบมองไปทางห้องหนังสืออย่างกังวลจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
“ชายกลางไปเรียนแล้วก็อย่าเป็นไปอีกคนล่ะ”
เพราะคุณชายหฤษฎ์จะไปเรียนต่อต่างประเทศในไม่กี่เดือนข้างหน้าหลังจากจบมัธยมกลาง กำลังเริ่มดูที่เรียน รวมถึงจัดการเตรียมความพร้อม ท่านชายบวรภพจึงอดตรัสถึงเรื่องที่กำลังขัดพระทัยอยู่ไม่ได้
“มันบอกว่ารักกันมาก จะพากลับมาด้วย ถ้าฉันไม่อนุญาตก็จะแต่งงานอยู่ที่โน่นไม่กลับมาอีก ดูมันขู่ฉันสิ หึ...ฉันไม่อยากคุยด้วยแล้ว สร้อยบอกชายใหญ่ไปเลยนะ ถ้าคิดจะตบแต่งเมียแหม่มก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบวังคุณารักษ์อีก”
ยิ่งพูดก็เหมือนท่านชายยิ่งขุ่นพระทัยนัก
คุณหญิงจริญญาหน้าเสียเมื่อได้ยินว่าพี่ชายใหญ่จะไม่ได้กลับบ้าน
ทว่าคนที่เม้มริมฝีปากและกัดจนเจ็บเพราะสะกดความเสียใจกลับกลั้นน้ำตาตัวเองไว้เต็มที่คือช่อพิกุล
ร่างบอบบางนอนน้ำตาไหลร้องไห้ในยามค่ำคืนอันมืดมิด พยายามร้องเบาที่สุดเพราะกลัวน้องสาวจะรู้สึกตัว หากก็ยิ่งแน่นในอกจนปวดหนึบแทบหายใจไม่ออก
‘รอหรือ บอกให้รอแต่ไปรักกับแหม่มตาน้ำข้าว คนโกหก คุณชายก็แค่ปากหวานกับนังพิกุลไปอย่างนั้นเองสินะ นังพิกุลมันก็แค่คนใช้ในวัง คุณชายใหญ่คุณารักษ์หรือจะมาจริงจังด้วย โง่จริงๆ นังพิกุล’
ช่อพิกุลอดก่นด่าตัวเองไม่ได้ที่โง่เง่าฝันสูงเกินตัว แม้จะพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไว้เต็มที่หากก็หลุดออกมาจนได้
“ไปเชื่อลมปากพวกคนที่ไม่เคยเห็นหัวคนต่ำต้อยอย่างตัวเองได้ยังไงพิกุล”
สุดท้ายก็พึมพำเสียงเครือและสะอื้นถี่จนตัวโยน แต่แล้วก็ต้องหยุดเพราะมีมือเล็กยื่นมาแตะแขน
“พี่พิกุลร้องไห้”
เสียงงัวเงียของมัลลิกาพึมพำ
“คิดถึงแม่หรือจ๊ะ”
“อืม”
คนที่นอนตะแคงหันหลังให้น้องสาวตอบรับ ก่อนจะบอกต่อ
“มะลิหลับต่อเถิด พี่ไม่ร้องแล้ว”
“พี่พิกุลไม่ต้องอายหรอก มะลิเองก็คิดถึงแม่ นอนร้องไห้ตอนกลางคืนบ่อยๆ เหมือนกัน”
หนูน้อยเอ่ยเสียงเครือสั่น ช่อพิกุลจึงหันกลับมาดึงร่างเล็กมากอดแนบอก
“อืม ถ้างั้นเราก็มาร้องด้วยกันนะ”
หลังจากบอกอย่างนั้นช่อพิกุลก็ร้องออกมาอย่างเต็มเสียง ขณะที่มัลลิกาเองก็กอดพี่สาวและน้ำตาไหลตามไปด้วย
‘ร้องเถิด ร้องให้เต็มที่แค่วันนี้ แล้วลืมไปเสียว่าเคยได้ยินคำพูดหลอกลวงของคุณชายหลายใจ’
คุณสร้อยฝากฝังช่อพิกุลให้เข้าไปทำงานเอกสารให้กับทนายเดช ทนายประจำตระกูลคุณารักษ์ และยังเป็นผู้ช่วยของท่านชายบวรภพเพราะท่านชายทรงงานในกระทรวงยุติธรรม จึงค่อนข้างมีงานล้นมือต้องการคนช่วยจัดการเอกสารในสำนักงานส่วนตัว โดยไปเริ่มงานได้หนึ่งเดือนแล้ว
กลับจากทำงานช่อพิกุลก็มาช่วยดูคุณหญิงจริญญากับมัลลิกาทำการบ้านเช่นเคย เวลานี้คุณหญิงอายุแปดปี มัลลิกาเก้าปีทั้งสองสามารถดูแลตัวเองได้มากและเรียนรู้หลายอย่างมาจากโรงเรียนจึงไม่จำเป็นต้องมีคนคอยทำนั่นนี่ให้ ช้องนางเองก็คอยสั่งให้คนจัดเตรียมเรื่องน้ำกับขนมและคอยดูแลคุณหญิงอยู่ห่างๆ
เมื่อคุณหญิงเข้านอนแล้ว ส่วนมัลลิกาเองก็ไปเตรียมอาบน้ำนอน ช่อพิกุลมาพบคุณสร้อยกับน้าสาวตามที่ช้องนางบอกเอาไว้เมื่อช่วงเย็น
“คุณทนายชมบอกว่าพิกุลทำงานได้ดี เรียนรู้ได้เร็ว จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีทีเดียว ช่วยงานเลขาของคุณทนายได้คล่องแคล่วเลย งานยุ่งมากหรือไม่ล่ะ”
“ไม่ยุ่งค่ะ พิกุลชอบค่ะ สนุกดีค่ะคุณสร้อย”
“อืม ชอบก็ดีแล้ว”
ระหว่างที่คุณสร้อยพูดคุยถามไถ่เรื่องงานกับช่อพิกุล ช้องนางก็เม้มริมฝีปากพลางลอบถอนหายใจบ่อยครั้ง
“ที่เรียกมาคุยกันวันนี้ นอกจากเรื่องงานที่สำนักทนายของคุณทนายเดชแล้ว ฉันอยากให้พิกุลช่วยงานอีกอย่าง แต่ก็ต้องถามความสมัครใจของหล่อนด้วย”
“หากพิกุลพอจะทำงานที่เป็นประโยชน์ได้ พิกุลยินดีทำค่ะ”
ช่อพิกุลบอกอย่างเต็มใจแม้ยังไม่รู้ว่าเป็นงานอะไร ด้วยตนมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะหม่อมจรรยารับเข้ามาอยู่ในวังคุณารักษ์ หากคุณสร้อยอยากให้ช่วยงานตนก็พร้อมทำทุกอย่าง หญิงสาวยอมรับว่ามีความสุขกับงานที่ตนได้ทำมากๆ ในตอนนี้
เธอไม่ใช่เพียงดอกพิกุลก้นครัวอีกแล้ว
“เอาเถิด ฟังเสียก่อน...”
คุณสร้อยพยักหน้าพลางพูดต่อ
“ตั้งแต่แท้งครั้งก่อน หม่อมช้องก็ไม่ค่อยแข็งแรง ดูแลปรนนิบัติท่านชายได้ไม่เต็มที่นัก ฉันถามหม่อมช้องแล้วว่าหล่อนอายุเท่าไรแล้ว ปีนี้ก็จะยี่สิบเอ็ดแล้วใช่ไหม”
ช่อพิกุลเย็นวาบไปทั้งตัว แม้คุณสร้อยยังเอ่ยไม่จบก็พอรู้ว่างานที่ต้องการให้ตนทำนั้นหมายถึงสิ่งใด
“ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าขึ้นอยู่กับหล่อน ฉันเองก็เห็นใจหม่อมช้อง รวมทั้งหล่อนเองด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าฉัน หม่อมช้อง หล่อนหรือน้องของหล่อนก็อยู่ในวังคุณารักษ์นี้ได้อย่างสบายภายใต้บารมีของท่านชาย”
แน่นอนว่าเป็นการบอกกลายๆ ว่าตนควรคิดถึงบุญคุณของท่านชายกับหม่อมจรรยา ช่อพิกุลเม้มริมฝีปาก ขอบตารื้นด้วยน้ำตาก่อนจะกะพริบถี่ แม้จะบอกว่าไม่ได้บังคับแต่หากเธอปฏิเสธก็เหมือนเนรคุณ
ช้องนางยื่นมือมาจับมือหลานสาวที่ก้มหน้าลงครุ่นคิด ไม่ได้กดดัน ทว่าตนก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน สุขภาพของตนไม่ดีจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ และก็ไม่อาจบอกปัดคำแนะนำของคุณสร้อยได้อย่างเต็มปาก เพราะบุญคุณหม่อมจรรยากับท่านชายที่มีให้ตนกับหลานสาวสองคนทำให้น้ำท่วมปาก
“ค่อยๆ คิดก็ได้นะพิกุล คุณสร้อยกับน้าไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ”
‘เธอสัญญาว่าจะรอฉันได้ไหมพิกุล’
คำพูดของคุณชายหิรัญผุดขึ้นมาให้ช่อพิกุลปวดใจอีกครั้ง ในเมื่อคุณชายใหญ่เองก็มีรักใหม่กับแหม่มตาน้ำข้าวไปแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องรอใคร เพราะคำสัญญามันไร้ความหมายไปแล้ว
ทว่าเธอเองก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาลงเอยเช่นนี้
ช่อพิกุลลำบากใจ หากพูดได้เต็มปากก็อยากปฏิเสธ ทว่าเธอพูดไม่ออกและไม่กล้าพูด
“เอ่อ พิกุล...แล้วแต่คุณสร้อยกับน้าช้องจะเห็นสมควรค่ะ”
เสียงหวานเบาแทบจะไม่หลุดจากริมฝีปากช้องนางทั้งยังหลุบตาลงต่ำ ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยเต็มใจนัก
คุณสร้อยกับช้องนางมองสบตากันอย่างหนักใจ
“เอาเป็นว่าฉันให้เวลาหล่อนคิดอีกหน่อยก็แล้วกัน”
เป็นอีกครั้งที่ช่อพิกุลต้องนอนน้ำตาไหล รู้สึกน้อยใจในชะตากรรมแสนอาภัพของตน คิดว่ากำลังจะได้ลืมตาอ้าปาก ได้ออกไปทำงานนอกวังคุณารักษ์ มีชีวิตที่อิสระมากขึ้น ได้พบเจอผู้คนมากขึ้น ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหนีพ้นหนี้บุญคุณที่ท่วมหัวไปได้
หญิงสาวยอมจำนนอย่างไม่อาจหาข้อโต้แย้งให้ตนได้ เพราะแม้แต่งานที่ตนทำก็ยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของคุณารักษ์ ทั้งน้องสาวก็ยังเรียนอยู่ อยากหนีไปให้ไกลก็ทำไม่ได้ ชีวิตนี้เธอคงต้องชดใช้ให้กับความสุขสบายที่ได้มาคืนให้กับคุณารักษ์
ความหนาวเหน็บเกาะกินไปทั้งใจและร่างกาย ช่อพิกุลขยับโอบกอดร่างเล็กของน้องสาวราวต้องการพึ่งพิงในเมื่อมีกันเพียงเท่านี้
ได้แต่หวังว่ามัลลิกาจะไม่ต้องมาลงเอยเช่นตน
“พี่ชายกลางอ่านอะไรหรือคะ”
คุณหญิงจริญญาเอ่ยถาม เมื่อร่างสูงโปร่งของคุณชายหฤษฎ์เข้ามาในห้องนั่งเล่นที่คุณหญิงกับมัลลิกาทำการบ้าน และก็มีช่อพิกุลคอยช่วยดูเช่นทุกวัน แล้วเปิดจดหมายที่ถือมาด้วยนั่งอ่าน
“จดหมายพี่ชายใหญ่น่ะ”
คำตอบที่ได้ยินทำให้ช่อพิกุลแอบกำมือแน่น
“หรือคะ พี่ชายใหญ่เขียนมาว่ายังไงบ้างคะ หญิงขออ่านด้วยสิ”
ร่างเล็กของคุณหญิงลุกพรวดไปนั่งข้างพี่ชายและเกาะแขนชะโงกหน้าดูจดหมายอย่างสนอกสนใจ
“บอกว่าพี่กับหญิงเล็กมีหลานแล้ว หน้าตาน่าเอ็นดูเชียว”
ช่อพิกุลต้องข่มใจอย่างที่สุดกับสิ่งที่ได้ยิน
เหตุใดเธอยังต้องปวดใจและคิดถึงคนโกหกไม่รักษาสัญญา เธอควรลืมคุณชายใหญ่เสีย ต้องลืมให้ได้
“หลานหรือคะ หมายถึงเด็กตัวเล็กๆ หรือคะ”
“ใช่ ลูกของพี่ชายใหญ่กับคนรักชาวอังกฤษ เป็นแฝดด้วยนะ เด็กคงตาสีอ่อน ผมสีอ่อนเหมือนตุ๊กตาของหญิงไง”
“ว้าว อยากเห็นจังเลยค่ะ”
คุณหญิงจริญญายิ่งตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าเหมือนตุ๊กตา
“นั่นสิ”
เสียงของคุณชายหฤษฎ์ดูค่อนข้างกังวลเพราะรู้แก่ใจว่าบิดาไม่อนุญาตให้พี่ชายกลับมา แม้แต่จดหมายก็ไม่ทรงอ่าน แต่ก็ไม่แน่ หากได้รู้เรื่องหลานท่านพ่ออาจพระทัยอ่อนก็เป็นได้
======