“พ่อไม่อยากเห็น พ่อบอกคำไหนคำนั้น ในเมื่อชายใหญ่มันเลือกของมันเอง พ่อก็ตัดหางปล่อยวัด”
“ถึงท่านพ่อไม่โปรดสะใภ้แหม่ม แต่อย่างไรหลานๆ ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขนะหม่อม”
คุณชายหฤษฎ์พยายามทูลให้ท่านชายเห็นแก่หลาน ทว่าท่านชายเมินหน้าหนี
“พ่อไม่นับเป็นหลาน”
“ท่านพ่อ”
“ออกไปได้แล้วชายกลาง พ่อไม่อยากฟังเรื่องชายใหญ่อีก”
ท่านชายบวรภพตัดบท
คุณชายหฤษฎ์จำต้องออกจากห้องบรรทมกลับไปยังห้องของตน ตั้งใจจะเขียนจดหมายตอบพี่ชายใหญ่กลับไปว่าท่านพ่อยังไม่พระทัยอ่อนแต่ตนจะพยายามพูดถึงหลานบ่อยๆ ครั้งต่อไปให้พี่ชายแนบรูปหลานๆ มาด้วย
จากนั้นไม่นานนักช้องนางกับช่อพิกุลก็เดินขึ้นมายังชั้นบน ขณะที่ผู้เป็นหลานก้มหน้าก้าวช้าๆ ทั้งสองไปหยุดหน้าห้องบรรทมของท่านชาย ช้องนางจับมือหลานสาวมากุมเบาๆ ลูบให้กำลังใจก่อนเคาะประตู
“ช้องหรือ เข้ามาสิ”
ท่านชายบวรภพรับสั่งช้องนางก็เปิดประตูเข้าไปตามด้วยร่างบอบบาง
ช่อพิกุลใจเต้นแรงหากก็ปวดหนึบไปพร้อมกัน ทว่าตนตัดสินใจบอกกับคุณสร้อยและน้าช้องนางว่ายินดีทำหน้าที่ปรนนิบัติท่านชายแล้ว
คุณชายใหญ่ยังลืมเธอและมีลูกได้ เธอเองก็จะลืมสัญญาลวงๆ นั่นให้จงได้เช่นกัน
“อ้าว นั่นพิกุลด้วยหรือ มีอะไรหรือช้องถึงพาหลานมาด้วย”
ท่านชายตรัสถามเมื่อเห็นว่าช้องนางเข้ามานั่งลงข้างเตียงกับช่อพิกุลที่อยู่ด้านหลัง
“ช้องพาพิกุลมาฝากตัวกับท่านชายเพคะ”
ช้องนางเอ่ยพลางยิ้มอ่อนโยน ขณะที่ท่านชายทอดพระเนตรสองน้าหลานด้วยความลำบากพระทัย ยิ่งเห็นหน้าซีดๆ เล็กๆ ของคนเป็นหลานแล้วก็ถอนพระทัย
“ฉันแก่ปูนนี้แล้ว ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้วล่ะ บอกสร้อยไปแล้วก็ยังไม่เชื่อกันอีก”
คุณสร้อยทูลท่านชายก่อนหน้านี้แล้วว่าจะหาคนมาช่วยช้องนางที่ป่วยบ่อยขึ้นปรนนิบัติท่านชาย และก็รับสั่งแล้วว่าไม่ต้อง ทว่าอีกฝ่ายก็ยังหามาจนได้
“ช้องไม่อาจปรนนิบัติท่านชายได้เต็มที่ ช้องไม่ดีเองเพคะ คุณสร้อยเพียงจัดการในสิ่งที่สมควรเพคะ”
“เฮ้อ เห็นฉันเป็นคนแก่ตัณหากลับไปได้”
“มิได้เพคะท่านชาย”
“พิกุลเต็มใจเพคะ พิกุลอยากตอบแทนบุญคุณท่านชายกับหม่อมเพคะ”
ช่อพิกุลเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าน้าของตนกำลังลำบากใจ แล้วก็เป็นท่านชายที่ถอนพระทัยอีกครั้ง
“เอาเถิด ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำกัน ฉันเบื่อจะแย้งพวกหล่อนแล้ว”
ท่านชายบอกปัดเพราะยังขุ่นพระทัยกับเรื่องที่เพิ่งตรัสกับบุตรชายอยู่
“กราบถวายตัวกับท่านชายสิพิกุล”
ช้องนางยิ้มบางแล้วบอกหลานสาว
ช่อพิกุลขยับไปใกล้แล้วกราบลงข้างต้นขาของท่านชายบวรภพ รู้สึกได้ถึงมืออุ่นที่วางลงบนศีรษะของตน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววพระเนตรเมตตาอ่อนแสง กับพระพักตร์ที่คล้ายคลึงคุณชายใหญ่
และเป็นอีกครั้งที่ช่อพิกุลปวดร้าวในหัวใจ เธอจะลืมคุณชายใหญ่ได้จริงหรือ
ฤดูหนาววนเวียนกลับมา บ่อยครั้งมัลลิกาต้องนอนขดตัวใต้ผ้าห่มเพียงลำพังเพราะพี่สาวต้องขึ้นไปบนตึกใหญ่ จากวันเป็นเดือนกระทั่งเข้าฤดูร้อน เด็กสาวนอนคนเดียวจนกลายเป็นความเคยชิน
ช่อพิกุลบอกน้องสาวว่ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มบนตึกไม่ได้เล่าอย่างละเอียด คนเป็นน้องจึงพยายามตั้งใจเรียน ไม่ให้พี่สาวต้องคอยมาจ้ำจี้จ้ำไชให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น ซึ่งการเรียนของมัลลิกาดีขึ้นเรื่อยๆ จากปีแรกที่เข้าเรียน เมื่อขึ้นชั้นเรียนใหม่ตามลำดับจนตอนนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ได้รับคำชมจากทั้งคุณครู รวมถึงคุณสร้อย น้าสาวและพี่สาว
“พี่ชายกลางรีบกลับมาเร็วๆ นะคะ”
ปิดภาคเรียนปีนี้คุณชายหฤษฎ์ต้องบินไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ มัลลิกามาเกาะต้นไม้แอบมองคุณหญิงจริญญากับคุณสร้อย รวมถึงน้าช้องนางของตนส่งคุณชายที่หน้าตึก เพราะตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ให้ต้องเอ่ยลา ทว่าก็อดอยากมาส่งคุณชายกลางด้วยไม่ได้
คนเคยเห็นหน้ากันทุกวัน อยู่ๆ จะไปอยู่ไกล ไม่ได้เห็นแล้ว จะไม่สนใจได้อย่างไร
คุณหญิงกอดคอพลางหอมแก้มพี่ชายที่ย่อตัวลงมาหา ก่อนคุณชายกลางจะยืนขึ้นแล้วยกมือไหว้ลาคุณสร้อยกับน้าช้องนางแล้วขึ้นรถไปพร้อมท่านชาย
มัลลิกามองตามท้ายรถจนออกไปจากประตูรั้วด้วยความรู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
“อีกไม่กี่ปี คุณหญิงก็จะไปเรียนเมืองฝรั่งเหมือนคุณชายใหญ่กับคุณชายกลางใช่ไหมคะ”
มัลลิกาก็ถามขั้น ขณะที่นั่งอ่านหนังสือและกินขนมด้วยกันกับคุณหญิงจริญญาที่ศาลาในสวนช่วงกลางวันหลังจากคุณชายกลางไปต่างประเทศได้ไหม่กี่วัน
“ไม่รู้สิ ท่านพ่อไม่เคยรับสั่ง”
คุณหญิงขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบ
“แต่ถ้าต้องไปคงเหงาแย่ หญิงจะทูลขอท่านพ่อให้มะลิไปด้วย”
มัลลิกาอึ้งไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น ใจหนึ่งก็รู้สึกดี หากก็ไม่กล้าคาดหวัง
“เอ่อ จะได้หรือคะ”
“หญิงก็ไม่รู้ แต่ถ้ามะลิไม่ได้ไปด้วย หญิงก็ไม่อยากไป”
คำพูดของคุณหญิงทำให้มัลลิกายิ้มออกมา อย่างน้อยความใจดีของคุณหญิงก็ทำให้ตนไม่รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว แอบคิดในใจว่าถึงไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศกับคุณหญิง เธอก็ยังจะรักและผูกพันกับคุณหญิงไม่เสื่อมคลาย
แม้จะไม่เคยนับวันรอ หากวันเวลาก็ผ่านไปเร็วสำหรับเด็กสาวที่เพียงเรียนและใช้ชีวิตสนุกสนานเช่นเด็กทั่วไป ทว่าเมื่อได้รู้ว่าคุณชายกลางกำลังจะกลับมามัลลิกาก็อดตื่นเต้นไปกับคุณหญิงด้วยไม่ได้
“พี่ชายบอกว่าจะซื้อขนมมาฝากเยอะๆ เดี๋ยวหญิงเอามาฝากทุกคนนะ”
คุณหญิงจริญญาประกาศบอกกับเพื่อนนักเรียนในห้องเรียน ขณะขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นกระโดดเฮดีใจ แต่แล้วต่างก็ต้องรีบกลับที่นั่งเมื่อมีเสียงไม้เรียวตีกระทบผนังห้องเรียน
“เป็นสาวเป็นนางส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดลั่นห้อง กระโดดโลดเต้นกันเป็นลิงเป็นค่างอย่างนี้ได้อย่างไร”
เสียงเข้มของครูใหญ่นิภาดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาในห้อง กวาดตามองนักเรียนของตนแล้วส่ายหน้า
“ครูวรรณาของพวกเธอไปไหนเสียล่ะ ถึงปล่อยให้เสียงดังเป็นทะโมนกันอย่างนี้”
“มาแล้วค่ะครูใหญ่”
คุณครูวรรณาครูประจำชั้นรีบเข้ามาในห้องพลางหอบนิดๆ
“พอดีอิฉันไม่ได้หยิบหนังสือประวัติศาสตร์มาจากห้องพักก็เลยกลับไปเอาน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ได้เวลาสอนแล้ว รีบสอนเถิด ครูไม่อยู่เด็กพวกนี้เล่นกันเสียงดังเชียว อย่าลืมทำโทษด้วยล่ะ”
เสียงเด็กสาวต่างก็ร้อง ‘โห’ พร้อมหน้าหงอย ทว่าคุณครูใหญ่นิภาไม่สนใจ จ้องคุณครูวรรณาราวต้องการคำตอบทำให้เจ้าตัวต้องตอบรับ
“ค่ะ”
โรงเรียนนี้สอนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งวิชาภาษาอังกฤษจะมีอาจารย์ต่างชาติเป็นผู้สอน ซึ่งมัลลิกาเรียนวิชาภาษาอังกฤษได้คะแนนดีมากที่สุดในชั้นปีเลยทีเดียว นั่นทำให้แม้ว่าจะฐานะด้อยกว่าทุกคนที่มาเรียนที่นี่ ทว่าเด็กสาวก็ไม่มีใครดูถูก กลับมีแต่เพื่อนๆ เข้าหาให้ช่วยเรื่องการบ้านเสมอ
‘มะลิสอนเข้าใจง่ายกว่าครูแหม่มเยอะเลย โตไปน่าจะเป็นครูนะ’
คุณหญิงจริญญาเองยังออกปากชมเวลาที่ถามมัลลิกาเรื่องภาษาอังกฤษ
======