bc

เพลิงภูหมอก

book_age16+
141
ติดตาม
1.1K
อ่าน
จบสุข
คลุมถุงชน
มั่นใจ
ผู้สืบทอด
ดราม่า
ชายจีบหญิง
addiction
like
intro-logo
คำนิยม

ดอกฟ้าบอบบางหอมหวาน แบ่งบานล่อแมลงดอมดม

สีสันงามล้ำชวนชม กลับถูกฉุดลงตมด้วยคนพาล

‘เพลิงภูหมอก’ มีความหมายตามชื่อเรื่อง คือเพลิงร้อนในใจของพระเอกเจ้าของภูหมอก ซึ่งก็คือ ‘เปรมินทร์’ นั่นเอง ชายหนุ่มสนใจนางรำสาวสวยคนหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเธอคือน้องสาวของเพื่อน และแอบเก็บเธอมาฝันถึงคนเดียวอยู่นาน แต่สุดท้ายเขาก็ได้นางฟ้าในดวงใจมาไว้ในอ้อมกอด ทว่าของขวัญของเขาไม่ได้มาพร้อมความหอมหวานอย่างที่คิด ฉะนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างก็คือนางฟ้าของเขา ‘กัญญานัน’

=====

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2558

ห้ามมิให้คัดลอกเนื้อหา ดัดแปลง แก้ไข ทำซ้ำ

หรือเผยแพร่ในสื่อดิจิทัลและรูปแบบอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
1.ชะตาลูกหมาตัวน้อย
อากาศเมืองเหนือที่มีฝนโปรยปรายเช้าจรดเย็นทั้งชื้นและหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ แม้แต่คนตัวโตยังต้องหาความอบอุ่นให้ร่างกาย หากร่างน้อยร่างหนึ่งกลับไม่อาจทำได้ แม้มันจะพยายามซุกตัวเข้าไปในกองขยะที่สุมรวมกันอยู่มุมหนึ่งของถนนอย่างเต็มความสามารถ ขณะแทะเล็มเศษกระดูกอย่างพอใจกับรสและกลิ่น ทว่าเสียงฝีเท้ากับกลิ่นกระดูกไก่ย่างหอมๆ ที่ลอยมาใหม่ ทำให้เจ้าตัวน้อยมุดตัวโผล่ออกจากกองขยะด้วยความสนใจอย่างไม่แคร์ฝนฟ้าซึ่งเริ่มกระหน่ำมากขึ้น คนที่กำลังเพิ่งทิ้งขยะลงถังและพยายามจะเก็บชิ้นอื่นๆ ที่หล่นบนพื้นผงะเล็กน้อย เพราะบางอย่างขยุกขยิกก่อนจะมีเจ้าตัวเล็กกระจ้อยสีเทาขมุกขมัว เลอะทั้งโคลนทั้งเศษอาหารโผล่มาตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทแป๋วแหววคู่เล็กจ้องมองมาพร้อมหน้าแหลมแหงนเงยเต็มที่ ใบหน้าสวยหวานราวนางฟ้าซ่อนอยู่ในฮูดกันฝนมองมันนิ่งชั่วครู่ แล้วมือเรียวบางจึงค่อยๆ ยื่นไปหามันพร้อมระบายยิ้มละไมบนริมฝีปากอิ่มสีเรื่อ เจ้าตัวเล็กเอียงคอมองมือนั้นอย่างไม่แน่ใจ แต่เพียงอึดใจเดียวมันก็เลียแผล็บที่นิ้วเรียว ดมฟุดฟิด ก่อนจะเลียซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ระหว่างนั้นมือบางอีกข้างก็ค่อยๆ หยิบขยะรอบๆ เจ้าตัวเล็กใส่ถังจนหมด ร่างเล็กมอมของมันเปียกโชกเพราะฝนและกำลังสั่นเทา ขนสั้นๆ มอมแมมไม่ช่วยอะไร หญิงสาวรู้ว่าเจ้าตัวเล็กที่มีแค่หนังหุ้มกระดูกนี่อาจไม่รอดแน่ ถ้ามันยังต้องอยู่แบบนี้ “ก้อย รถที่บ้านมาแล้ว เร็วๆ เข้า” เสียงหนึ่งเรียกมาจากด้วนหลัง ทำให้คนร่างบางหันกลับไปพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมรวบเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแนบอก และมันก็ร้องลั่นขึ้นทันที “เงียบน่า ฉันไม่จับไปขายหรอก หมาพันธุ์ทาง ไม่ได้ราคา” นิ้วเรียวสวยตีจมูกแหลมๆ ที่เงยขึ้นมาร้องใส่เธอราวกับประท้วงเบาๆ ขณะเอ่ยเสียงขำขัน จากนั้นร่างบางอ้อนแอ้นก็วิ่งกลับไปหาเพื่อนอีกสองคนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก ทั้งสองสาวรูปร่างใกล้เคียงกับคนแรก ทั้งความสูงและขนาดตัว แถมยังผมยาวสลวยเกือบจะถึงบั้นเอวเหมือนกันหมด หากแต่ใบหน้าสวยงามไปคนละแบบ “อะไรน่ะก้อย ทำไมมันสกปรกอย่างนี้” คนที่เอ่ยถามเป็นสาวผิวขาวกระจ่างใส ตากลมโตน่ารักราวกับนางเอกในการ์ตูนตาหวาน ส่วนอีกคนที่รออยู่เป็นสาวสวยตาคมเฉี่ยว ผิวขาวเหลืองนวลลออ ใบหน้างดงามราวกับนางในวรรณคดี ทางด้านคนร่างบางที่กลับมาพร้อมเจ้าตัวน้อยแสนมอมในมือนั้นผิวขาวผ่องอมชมพู “ก็มันอยู่กับกองขยะนี่นา ก้อยสงสารเลยพามาด้วย” คนที่อุ้มเจ้าตัวน้อยแนบอกบอกเสียงอ่อย ขณะที่เพื่อนสองคนได้แต่ทำหน้าแหย ไม่ได้รังเกียจมันหรอก แต่ก็ไม่คิดว่าเพื่อนจะกล้าอุ้มเจ้าตัวสกปรกเลอะเทอะนั่นด้วยมือเปล่า “แต่ว่าพามันมาด้วยแบบนี้แล้วจะเอาไงดีล่ะคะ เราต้องไปบ้านสอง งานเสร็จก็ต้องบินกลับพรุ่งนี้แต่เช้า เอามันไปด้วยไม่ได้อยู่ดีนี่คะคุณก้อย” พิมพ์ปรางถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ เพราะก้อยสำหรับเพื่อนสนิท หรือที่คนอื่นๆ ต่างเรียกว่า กัญญา นั้น คือหม่อมหลวงกัญญานัน อรรถพันธ์พงศ์ เป็นบุตรสาวของหม่อมราชวงศ์พงศกร อรรถพันธ์พงศ์ ซึ่งคุณยายของเธอเป็นแม่นมของคุณชาย และเธอก็อยู่ที่วังของอรรถพันธ์พงศ์มาตั้งแต่เล็ก จนเป็นเพื่อนสนิทสนมกับคุณก้อยและเรียกติดปากเสมอมา คนที่พาเจ้าตัวเล็กมาส่ายหน้ายิ้มแหยให้ มาธาวีสาวตาโตแวววาวราวการ์ตูนจึงหัวเราะขึ้นมาพร้อมพูด “เอาอีกแล้วนะ นิสัยชอบช่วยชาวบ้านแบบไม่คิดหน้าคิดหลังก่อนนี่เมื่อไรจะเลิกสักทีนะก้อย” “ไม่รู้ล่ะ ก้อยทิ้งมันไม่ได้ จะเอาไงค่อยว่ากันอีกที” กัญญานันทำหน้างอ พอดีกับที่รถจากบ้านพ่อเลี้ยงศรา คุณพ่อของ มาธาวีมาจอดพอดี เพราะสาวๆ เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่หลังลงเครื่องก่อน แล้วนัดเวลากับจุดที่ให้มารับเอาไว้ เมื่อช็อปปิ้งกันจนพอใจแล้วจึงมารอเพื่อจะได้เดินทางไปยังบ้านพ่อเลี้ยงที่อยู่นอกตัวเมืองท่ามกลางธรรมชาติของขุนเขา ซึ่งขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตจังหวัดเชียงราย รถตู้คันใหญ่แล่นมาจอดก่อนที่ชายวัยกลางคนจะลงมา ทั้งสามสาวยกมือไหว้ขณะที่อีกฝ่ายก้มหัวให้แล้วช่วยพวกเธอเอาของไปเก็บในรถ เมื่อทั้งหมดขึ้นไปบนรถก็ทำจมูกฟุดฟิดเพราะกลิ่นแปลกๆ ทุกสายตามองมาทางกัญญานัน หญิงสาวยิ้มแหยๆ ให้พร้อมกับกอดเจ้าตัวน้อยที่ยอมซุกตัวหาความอบอุ่นแนบอก สองสาวที่เหลือต่างก็ส่ายหน้า ส่วนลุงคนขับทำหน้าฉงนแต่ก็ยิ้มให้แล้วหันไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยไม่ได้ซักถามเรื่องของผู้เป็นนาย ร่างสูงเพรียวกำยำที่ดูแกร่งด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงเดินทอดน่องมองกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่สวยงามภายในเรือนเพาะกล้วยไม้ด้วยความสนใจ โดยมือข้างหนึ่งเกี่ยวเสื้อสูทพาดอยู่บนไหล่ อีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างสบายๆ ทว่าในสมองคิดถึงความเป็นไปได้ของผลกำไรจากการลงทุน หากเขาจะเพาะกล้วยไม้ขึ้นมาบ้าง มันสามารถเป็นอีกตัวเลือกให้กับลูกค้าของเขานอกจากกุหลาบที่ไร่ เขาจะเสนอทำเรือนเพาะกล้วยไม้กับพ่อดูและจะเป็นคนดูแลตรงส่วนนี้เอง แต่อย่างแรกคงต้องขอคำแนะนำจากพ่อเลี้ยงศราเสียก่อน ชายหนุ่มเดินออกมาด้านนอก ฝนที่เพิ่งหยุดไปทำให้สนามหญ้าชุ่มน้ำ ทว่าทางเดินมีหินปูห่างๆ ตามระยะก้าวจึงไม่จำเป็นต้องกังวล ขายาวก้าวช้าๆ เพื่อกลับเข้าไปในส่วนจัดงานเลี้ยง หลังฆ่าเวลารองานเริ่มจนสมควรที่จะกลับแล้ว วันนี้มีงานเลี้ยงใหญ่ฉลองวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของพ่อเลี้ยงศรา และท่านเพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา แม้พ่อเลี้ยงศราจะไม่ต้องการให้มีงานเลี้ยงเอิกเกริกใหญ่โต ทว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่คนในจังหวัดต่างก็นับหน้าถือตามากมายหลายคนต่างต้องการมาร่วมยินดีจึงไม่อาจเลี่ยงได้ ชายหนุ่มเองก็มาพร้อมกับผู้เป็นแม่ ซึ่งก็คือ เจ้าปัทมาดารา ศิริจันทร์ ณ ภูศรีจัน ที่รู้จักนับถือกันมานานกับพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงเป็นอย่างดี แม้เจ้าแม่ของเขาจะอยู่ที่เชียงรายก็ตาม เพราะความสนิทสนมที่มีทำให้เจ้าแม่ของเขาอยากมาช่วยงานเร็วๆ ลูกอย่าง เปรมินทร์ ศิริจันทร์ ณ ภูศรีจัน คลากสัน จึงจำต้องติดตามมาด้วยก่อนงานเริ่ม ส่วนผู้เป็นพ่อคือนาย เฮนรี่ คลากสัน ต้องเคลียร์งานก่อนแล้วจะตามมา เปรมินทร์เดินมาถึงทางเชื่อมไปเรือนครัวซึ่งกำลังวุ่นวาย แล้วก็ได้ยินเสียงที่ดึงความสนใจให้หันมอง “คุณกัญญาเจ้า กำเดียวงานก่อจะเริ่มแล้วน่ะเจ้า ปล่อยหมาน้อยก่อนเต๊อะเจ้า มันมอมขนาด ชุดงามๆ เลอะหมดแล้วน่ะเจ้า” “ไม่เลอะหรอกค่ะ ก้อยระวังอยู่ แต่ก้อยอยากอาบน้ำให้มันหน่อยน่ะค่ะ” “บ่ต้องดอกเจ้า ข้าเจ้าอาบหื้อมันเองดีกว่าเจ้า คุณกัญญาปิ๊กหลังเวทีเต๊อะเจ้า” แววตาคมพานพบกับภาพที่ไม่อาจดึงสายตากลับมาได้ หญิงสาวรวบผมขึ้นสูงไปมวยประดับปิ่นระย้ามากมายเอาไว้เผยดวงหน้ากระจ่างหวาน แม้จะมีเครื่องสำอางแต่งแต้มหากก็ดูออกว่าเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งพามัน เรือนร่างอ้อนแอ้นงามงอนอยู่ในชุดเกาะอกสีทอง มีเสื้อแขนกระบอกโปร่งใสผ่าหน้าคลุมทับอีกชั้น นุ่งซิ่นลายทองเงินสลับตามขวาง เข็มขัดทองคาดทับเอวคอดกิ่วเน้นทรวดทรง เปรมินทร์มองนิ่งและคิดว่าเขาอาจจะตาฝาด นางฟ้าลงมาเดินบนดินหรืออย่างไร หากแต่การพูดคุยที่เข้าหูอยู่ตลอดนั้นทำให้รู้ว่าเธอเป็นคนมีชีวิตจิตใจเหมือนๆ กับเขา จับต้องได้ ทุกอย่างในตัวเธองามเลิศ ทำเอาเขาหยุดทอดสายตามองเพลิน ทว่ากลับมีบางอย่างขัดตา สุนัขน้อยมอมแมมที่เธออุ้มอยู่ เปรมินทร์อยู่ในมุมที่มีพุ่มไม้จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา แถมคนงานหลายคนต่างก็วุ่นวายกับงานของตนเองเพื่อจะได้ทำทุกอย่างให้ทันเวลา ไม่มีใครสนใจสิ่งรอบข้างมากนัก “ก้อยเกรงใจน่ะค่ะ กำลังยุ่งกันอยู่เลย” “บ่เป็นหยังเจ้า ส่งหมาน้อยมาหื้อข้าเจ้าเต๊อะ คุณกัญญาล้างไม้ล้างมือเต๊อะเจ้า” “จะดีเหรอคะ ก้อยกลัวจะรบกวนน่ะสิคะ” เสียงแสนหวานไพเราะถามอย่างเกรงใจ จนเปรมินทร์อดเหล่มองลูกสุนัขในมือเธอไม่ได้ จะว่าไปแล้วความน่าเกลียดของมันก็น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย เพราะมีสาวสวยจะอาบน้ำให้เองกับมือ “บ่เป็นหยังเจ้า ข้าเจ้ามีหน้าที่คอยช่วยคุณสองกับเพื่อนอยู่แล้วเจ้า” “ขอบคุณนะคะ” สาวสวยบอกพร้อมกับส่งลูกสุนัขมอมแมมแทบจะไม่เห็นสีจริงของมันไปให้อีกฝ่าย “ฟ้อนเสร็จแล้วข้าเจ้าจะเอามันไปหื้อน่ะเจ้า” ใบหน้างดงามสลดลงมาเมื่อได้ยินคำบอก ก่อนจะพึมพำเบาๆ พร้อมมือก็ลูบหัวเจ้าตัวเล็กไปด้วย “ก้อยยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะเอายังไงกับมันดี เอาขึ้นเครื่องกลับด้วยคงไม่ได้ แต่ถึงจะหาทางพามันไปด้วยได้ ที่หอก็ไม่ให้เลี้ยงสัตว์อยู่ดี” “กะเจ้า?” “ค่ะ” เมื่อมาถึงตรงนี้สองสาวต่างก็หน้าเศร้าลง ก่อนจะคนงานสาวจะเสนอขึ้น “บ่ต้องกึ๊ดนักดอกเจ้า บ่ดีคุณสองเปิ้นอาจจะฝากแม่เลี้ยงไว้ก่ะได้เจ้า” “แต่...ก้อยเกรงใจ ก้อย...” “ก้อย มัวทำอะไรอยู่ เร็วเข้า มานี่ เราต้องไปเตรียมตัวแล้ว” พร้อมเสียงใสๆ ร่างบางในชุดสวยงดงามซึ่งต่างจากคนแรกก็ก้าวมาเร็วๆ ทั้งที่ผ้านุ่งทำให้ก้าวได้สั้นเธอก็เดินเร็วราวกับเคยชินเป็นอย่างดี ดวงหน้าใสที่ดูคุ้นตาของคนมาใหม่ทำให้เปรมินทร์พอจะเดาได้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร แม้ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี เธอก็ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากนัก ยังตัวเล็กร่างบางเหมือนเดิม จะต่างไปคงเป็นสัดส่วนที่ดูสมวัยขึ้น “ตายๆ มัวแต่มายุ่งกับหมาหน้ามอมนี่อยู่ได้ ไปล้างมือเลยเร็วเข้า” มือบางของคนมาใหม่ดึงคนที่ตัวเองบ่นหมับแล้วลากไปทันที ไม่รอให้ทักท้วง ขณะที่สาวผู้มีใบหน้างดงามในความรู้สึกของเปรมินทร์ยังอุตส่าห์หันกลับมามองเจ้าลูกสุนัขตัวน้อยด้วยแววตาละห้อย ชายหนุ่มมองตามหญิงสาวแล้วก็หันกลับไปมองหน้าแหลมเล็กๆ ของสุนัขที่ดูสกปรกก่อนจะยิ้มมุมปาก คืนนี้เขาได้เจอนางฟ้าตัวจริงเข้าให้เสียแล้ว แม้บนเวทีจะมีสาวงามถึงสองคนฟ้อนด้วยท่วงท่าลีลาเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวที่ตรึงสายตาของเปรมินทร์ให้มองตามทุกการร่ายรำของเธอ คนที่เขาเห็นเธอเป็นเหมือนนางฟ้านั่นเอง หญิงสาวกำลังฟ้อนอย่างอ้อนช้อยงดงาม โดยมีมาลัยคล้องอยู่ในนิ้วของมือข้างหนึ่ง เปรมินทร์ไม่เคยรู้หรือสนใจเกี่ยวกับนาฎศิลป์ใดๆ ทว่าชายหนุ่มกลับรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังแสดงเรียกว่า ‘ฟ้อนมาลัย [1] ’ จากเจ้าแม่ของเขาเอง เพราะท่านกระซิบกระซาบกับแม่เลี้ยงตั้งแต่มีการรำอวยพรวันเกิดในชุดแรกว่าเป็นมาธาวี หรือ สอง ลูกสาวคนเล็กรำเปิดงาน เขานั่งหลังผู้เป็นแม่จึงได้ยินชัด ซึ่งเจ้าแม่ของเขาก็ชมไม่ขาดปากว่ารำสวย มืออ่อน ตัวอ่อน หน้าตาก็สวยน่ารักน่าเอ็นดูสมกับเป็นนางรำ เมื่อเพลงใหม่ดังขึ้นท่านก็อุทานชื่อการแสดงเบาๆ ด้วยความยินดี นั่นทำให้เขารู้ว่าการฟ้อนของนางฟ้าคนสวยชื่ออะไร “หนูสองคนนี้ก็รำเก่งเชียว สวยทั้งคู่เลย แม่เลี้ยงจ้างมาจากที่ไหนคะ ฉันชอบ เผื่อมีงานจะได้ติดต่อบ้าง” ชายหนุ่มเห็นเจ้าแม่ของเขาหันไปถามแม่เลี้ยงอีกครั้ง “อุ๊ย...ไม่ได้จ้างมาจากที่ไหนหรอกค่ะเจ้า หนูสองคนนี้เป็นเพื่อนลูกสองค่ะ เขาเรียนด้วยกัน ลูกสองก็พามาช่วยกันน่ะค่ะ” “แต่คุณแม่ก็จ่ายเงินนะคะ ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมมาฟรีๆ หรอกค่ะเจ้า” เสียงราบเรียบของสาวรูปร่างโปร่งระหงในชุดราตรีสวยหรูที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาดังแทรกขึ้น แม้พยายามไม่ให้ดูเสียมารยาทที่พูดแทรกผู้ใหญ่ ราวกับตั้งใจอธิบายกับเจ้าแม่ของเขา แต่เปรมินทร์จับได้ถึงน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจได้จากมาลินี ลูกสาวคนโตของพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตี “แม่ก็ให้เป็นน้ำใจกัน ที่จริงเด็กๆ ก็จะไม่รับหรอก แต่แม่ขอให้รับไว้เอง” แม่เลี้ยงมารตีหันมาพูดเสียงหวานกับลูกสาวแล้วหันไปยิ้มกับเจ้าแม่ของเขาที่พยักหน้าเข้าใจ ทำเอามาลินีกอดอกหน้านิ่งแต่เห็นชัดถึงความไม่พอใจ ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยชอบการแสดงของน้องสาวกับเพื่อนๆ นัก เพราะพ่อเลี้ยงศราก็พูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ถึงลูกสาวคนเล็กอย่างภาคภูมิ ทุกคนต่างเห็นด้วยกับการแสดงที่งดงามอ่อนช้อยสมกับการเลี้ยงฉลองใหญ่ให้กับพ่อเลี้ยงยิ่งนัก เมื่อจบการฟ้อนเสียงปรบมือดังอย่างกึกก้อง หนึ่งในนั้นก็มีเปรมินทร์ด้วย แม้ชายหนุ่มจะไม่เคยซึมซับความงดงามของการร่ายรำเลยสักครั้ง หากแต่ครั้งนี้เขากลับไม่มองไปทางอื่นได้เลย ทั้งยังรู้สึกได้ว่านี่เป็นการแสดงที่ตรึงตาตรึงใจอย่างมากมายกว่าครั้งไหน พิธีการหลักบนเวทีใช้เวลาไม่นาน หลังจากพ่อเลี้ยงศรากล่าวขอบคุณแขกบนเวทีก็บรรเลงเพลงคลอบรรยากาศสลับกับนักร้องบ้างเล็กน้อย ส่วนแขกก็พูดคุยทานอาหารกันตามอัธยาศัย “มาทางนี้เถอะค่ะพี่มินทร์ หนึ่งเห็นพี่มินทร์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เดี๋ยวหนึ่งหาอะไรอร่อยๆ ให้ทานดีกว่านะคะ” แขนกำยำถูกคว้าหมับจากมาลินี เมื่อเจ้าปัทมาดาราอยากพบมาธาวีเพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้เจอกัน เนื่องจากหญิงสาวต้องเตรียมตัวอยู่หลังเวทีตลอด แม่เลี้ยงมารตีบอกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคงออกมาไหว้ผู้ใหญ่ “เราไม่รอไปพร้อมน้องสองเหรอ น้องสองก็น่าจะยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกันนะครับ” “ไม่ต้องหรอกค่ะ” คำถามของเขาได้รับคำตอบแบบสะบัดๆ เปรมินทร์นึกระอา เจ้าแม่เคยพูดว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้เขาเป็นฝั่งเป็นฝากับลูกสาวคนใดคนหนึ่งของครอบครัวนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ตกลงกันอย่างจริงจัง แล้วก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย แต่เขาไม่เคยมองสองสาวเป็นอย่างอื่นมากกว่าน้องสาว ทว่าราวกับเป็นความซวยหรือโชคชะตาก็ไม่รู้ที่มักจะต้องได้เรียนที่เดียวกันกับมาลินีเสมอ ทั้งมัธยมและตอนไปเรียนต่ออเมริกาก็ยังอยู่ในรัฐเดียวกัน ทำให้อีกฝ่ายพบเจอขอความช่วยเหลือจากเขาบ่อยครั้งจนหลายคนเข้าใจว่ากำลังคบหากันอยู่ แถมมาดนางพญาของมาลินียังทำให้ไม่มีหนุ่มคนไหนเข้าหน้าติด เขาไม่แน่ใจว่าเธอสนใจการพูดคุยของผู้ใหญ่สักแค่ไหน แต่ก็สนิทสนมกับเขามากกว่าน้องสาว “ยัยสองเขามีเพื่อนมาด้วย พี่มินทร์ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกค่ะ ยังไงพวกเขาก็หาทานกันได้ ไปกับหนึ่งดีกว่า หนึ่งก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน” เปรมินทร์จำต้องไปพร้อมกับมาลินี เจ้าแม่ของเขากับพ่อไปนั่งโต๊ะสำหรับแขกวีไอพีและมีคนดูแลเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างนานเพราะหญิงสาวปรึกษาเรื่องงานเลขาผู้ว่าที่เธอเพิ่งเข้าไปทำ หลังจากสอบตั้งแต่เรียนจบกลับมาใหม่ๆ มองผิวเผินคงไม่มีใครคิดว่าทั้งคู่คุยเรื่องซีเรียส ราวกระหนุงกระหนิงกันเพียงสองคน กระทั่งครอบครัวของเขาจะกลับนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงแยกตัวออกไป เมื่อลาผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้วพ่อกับเจ้าแม่เขาก็กลับรถที่มาส่งพ่อโดยมีคนขับรถให้ ส่วนตัวเขากลับคันที่ตนขับมาพร้อมเจ้าแม่เอง ทว่าก่อนจะขึ้นรถ เปรมินทร์ก็ต้องหยุดนิ่ง แล้วเดินยังตรงพุ่มไม้ไม่ไกลนักเพราะมีเสียงเบาๆ ดังมาจากตรงนั้น เมื่อก้มลงสังเกตสายตาคมก็เห็นร่างเล็กขยุกขยิก เขาเพ่งมองแล้วรู้สึกคุ้นตา จึงเอื้อมมือไปจับมัน หากก็ลำบากสักหน่อยเพราะพุ่มไม้ดอกเตี้ยนี้มีหนาม พอจับขึ้นมาได้มันก็ร้องไม่หยุด เปรมินทร์พิศดูไปมาแล้วก็รู้ว่าตนเคยเห็นมันที่ไหน เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของสาวสวยคนนั้น ตอนนี้เหมือนจะได้รับการชำระล้างความสกปรกเรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีโคลนปะปนกับเลือดติดอยู่ส่วนขาและลำตัวของมันบ้าง สงสัยเจ้านี่คงเดินเล่นจนหลงมาติดอยู่ในพุ่มไม้นี่ ชายหนุ่มมองมันแล้วหันกลับไปด้านใน คนงานกำลังวุ่นวายกับงานเลี้ยง แม้ตอนนี้แขกเริ่มจะทยอยกลับกันแล้วก็ตาม หากเอามันไปส่งคืนเขาก็ไม่รู้ว่าจะฝากไว้กับใครดี จะให้ตามหาสาวใช้คนนั้นหรือนางรำคนสวยก็คงใช้เวลานาน ‘ก้อยยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะเอายังไงกับมันดี เอาขึ้นเครื่องกลับด้วยคงไม่ได้ แต่ถึงจะหาทางพามันไปด้วยได้ ที่หอก็ไม่ให้เลี้ยงสัตว์อยู่ดี’ เมื่อนึกถึงสิ่งที่หญิงสาวพูด เปรมินทร์ก็จ้องเจ้าตัวเล็กผอมเห็นกระดูกน่าเกลียดจนเขาถือได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดขึ้น “แก...จะเรียกฉันว่าพี่หรือพ่อดีล่ะ” [1] ฟ้อนมาลัย หรือลาวดวงดอกไม้ เป็นการแสดงที่นำมาจากการแสดงละครพันทางเรื่องพระยาผานอง ซึ่งกรมศิลปากรปรับปรุงขึ้นแสดง ณ โรงละครแห่งชาติเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ โดย อาจารย์มนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งทำนองเพลงและบทร้อง ท่านผู้หญิงหม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ ฟ้อนชุดนี้ออกเป็นเพลงซุ้ม ซึ่งเป็นเพลงลาวชั้นเดียวปัจจุบันใช้แสดงในโอกาสงานมงคล หรืองานเบ็ดเตล็ดทั่วไป ======

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

หัวใจซ่อนรัก(เฮียเดย์)

read
48.0K
bc

หัวใจที่โหยหา

read
1.0K
bc

เมียลับอุ้มรัก

read
82.7K
bc

เมื่อฉันแอบรักซุปตาร์นายเอกซีรีส์วาย

read
18.7K
bc

ร่านรัก จักรพรรดินี

read
1.8K
bc

Passionate Love รักสุดใจนายขี้อ่อย 20+

read
33.8K
bc

รอยแค้นแห่งรัก

read
55.4K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook