ตอนที่ 1 จุดจบเช่นนี้ สมควรแล้ว
เคร้ง!
มีดปลายแหลมคมกริบหล่นลงพื้น...
ต้นฤดูฝนมวลความชื้นไหลเวียนผ่านกำแพงอิฐเข้ามาถึงในห้องพักกว้างภายในตัวอาคารหรู บนพื้นพรมขนสั้นร่างบอบบางของหลินจินเว่ยกำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนนั้น ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่ฝ่ามือสั่นเทาเล็กน้อยของอีกฝ่าย ซึ่งเพิ่งจะโยนมีดทิ้งลงไม่ห่างจากตัวของเธอนัก
กระจกเริ่มเป็นฝ้าเพราะอากาศเย็นและละอองไอน้ำ ทว่าก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เธอไม่เข้าใจหรืออาจจะแกล้งหลงลืมไป โดยพยายามหลับตาข้างลืมตาข้างมาโดยตลอดก็คือความสัมพันธ์ลับหลังระหว่างเพื่อนรักที่สนิทที่สุดกับผู้ชายที่เธอรักมากยอมทิ้งลูกชายและสามีเพื่อมาอยู่กับเขา
“น่าขยะแขยงที่สุด ไม่เห็นต้องให้ลงมือเองเลยจริง ๆ”
เสียงของเสวี่ยอิงฮวาพูดพร้อมกับเดินไปรอบห้องเพื่อหาผ้าสะอาดมาเช็ดมือ แต่สุดท้ายคราบเลือดซึ่งมาจากปลายมีดแหลมคมที่จ้วงแทงเข้าไปยังข้างชายโครงของหลินจินเว่ย ก็ไม่ใช่ว่าผ้าผืนเดียวจะสามารถเช็ดให้สะอาดได้
“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันคิดว่าเธอรู้แล้วเสียอีกว่ายังไงทุกอย่างก็ต้องจบลงแบบนี้” น้ำเสียงของเสวี่ยอิงฮวาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านหรือรู้สึกละอายต่อความผิดที่ทำลงไปเลย
ส่วนคนที่นอนอยู่บนพื้นอยากจะเปล่งเสียงออกมาให้สุดแรงแต่ทำได้เพียงแค่ถนอมลมหายใจเอาไว้ หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงออกมาขาด ๆ หาย ๆ “ที่แท้เธอมันก็แค่นังแพศยาคนหนึ่ง ฉันไม่น่ามองเธอผิดไปเลยจริงๆ”
“ไม่น่าจะมองผิดหรือ น่าจะเป็นเพราะเธอไม่เคยมองเห็นหัวฉันเลยมากกว่า เคยคิดบ้างไหมว่าฉันก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องคอยรองมือรองเท้าทำทุกอย่างให้เธอตลอดน่ะ”
เสียงของเสวี่ยอิงฮวาดังจนสะท้อนก้องไปทั่วทั้งห้อง คงจะไม่เบาลงหากไม่ใช่เพราะเงารูปร่างสูงโปร่งของใครบางคนกำลังเดินใกล้เข้ามา
“จะเสียงดังอะไรนักหนา หรืออยากให้มีคนแห่มาที่นี่กันหมด จัดการแล้วก็รีบ ๆ ทำให้เสร็จเร็ว ๆ หน่อยสิ จะมัวมาทะเลาะกันอีกทำไม ก่อนหน้านี้ยังเถียงกันไม่พอหรือ” หลี่เหวินปิงเคลื่อนไหวเร่งรีบเดินรุดหน้ามาถึงด้วยท่าทางกังวลใจ
“นี่คุณยังจะมาพูดแบบนี้อีกหรือคะ ที่ผ่านมาฉันต้องอดทนอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ กับคุณแบบนี้มานานขนาดไหน จนถึงตอนนี้ที่คุณพูดว่าไม่กล้าทำฉันก็กล้าทำให้ทั้งหมด ผลที่คุณอยากได้ ฉันก็จัดการให้มันนอนกองอยู่ตรงนี้แล้วไงคะ”
เสวี่ยอิงฮวาบ่นออกมาด้วยความรู้สึกรำคาญปนน้อยใจ เขามักจะอยากได้นั่นอยากทำนี่ แต่มักจะลงท้ายด้วยคำว่า เขาไม่สะดวก อยากให้เธอทำแทน และเธอก็ทำทุกอย่างให้เขามาตลอดโดยไม่สนผิดถูก แต่บางครั้งนอกจากไม่มีความดีแล้วยังถูกต่อว่าเหมือนครั้งนี้ด้วย
หลี่เหวินปิงไม่กล้ามองคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเต็มสายตาเท่าไหร่นัก ทั้งที่เป็นเขาเองที่คิดแผนการนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรก เรื่องราวเริ่มต้นน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เขาหลอกให้หลินจินเว่ยโอนทุกอย่างให้จนเสร็จเรียบร้อย
หลังทางการปฏิวัติทุกอย่างกลายเป็นสิ่งไม่แน่นอน เมื่อไม่ขึ้นต่อการเมืองก็ต้องขึ้นอยู่กับเงิน ดังนั้นเงินจึงมีค่ามากเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด มีค่ามากยิ่งกว่าชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่มองเห็นผู้ชายอย่างเขามีค่ายิ่งกว่าลมหายใจของตัวเธอเอง
หลินจินเว่ยจ้องเขม็งมองไปยังหลี่เหวินปิงด้วยความรู้สึกเสียใจและชิงชังที่สุด แม้กระทั่งเขาเองยังอดทนต่อสายตาของเธอไม่ได้จนต้องพูดออกมาว่า...
“ไม่เอาน่าอย่ามองผมแบบนี้เลย ใครใช้ให้คุณหัวแข็ง มองไม่เห็นหัวคนอื่นบ้าง ที่ผ่านมาพวกเราก็แค่สนุกสนานเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยกันเป็นครั้งคราว ระหว่างเราก็ไม่มีใครเสียเปรียบหรอกจริงไหม คุณให้เงินผม ส่วนผมก็มอบความสุขให้คุณ ตอนนี้ผมอยากมีความสุขบ้าง ก็ขอโอกาสใช้เงินของคุณซื้อความสุขให้ผมก็เท่านั้นเอง”
“โอกาสที่ปล่อยให้พวกแกสองคนสวมเขาให้ฉันอย่างนั้นใช่ไหม” เจ้าของร่างโชกเลือดฝืนพูดออกมาแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้แกโง่ไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกเองล่ะ แต่โง่ ๆ แบบแกนี่ก็ดีนะ ฉันกับเหวินปิงไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่แกก็หัวแข็งตายยากน่าดู ขนาดหยอดยาให้กินทุกวันยังไม่ตายสักที เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาหลายปีขนาดนี้ ความสุขของผัวแกทำให้ไม่ได้ ก็ควรเป็นหน้าที่ของเพื่อนรักอย่างฉันไม่ใช่หรือ”
สิ่งที่หลินจินเว่ยระแคะระคายมาตลอดเป็นจริงอย่างที่คิดไว้ เธอรู้ตัวว่าตัวเองถูกวางยามานานแล้ว จึงได้ปฏิเสธการกินอาหารหรือแม้แต่ยาบำรุงที่สามีสุดที่รักนำมาให้ ถนอมตัวเองแม้จะต้องอดมื้อกินมื้อบ้างในบางครั้งก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชั่วพวกนี้สมใจ
ทว่าสุดท้ายแล้วเมื่อมาเห็นทุกอย่างด้วยสายตาตัวเอง ว่าพวกเขาใช้บ้านของเธอเป็นที่พลอดรักกัน ในที่สุดก็หนีไม่พ้นการถูกปิดปากไม่ให้พูดอะไรออกไปได้อีก ‘คงต้องตายสินะ’
“แล้วจะเอายังไงต่อ จะปล่อยให้นอนตายอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวมีใครมาเห็น จะทำอะไรก็รีบ ๆ ทำสิ” ฝ่ายชายพูดด้วยความหงุดหงิด ไร้ความรู้สึกผิดหรือมโนธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับหญิงสาวที่นอนหายใจรวยรินที่พื้นเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งไม่ใช่ภรรยาของตัวเอง
“คุณจะตีโพยตีพายอะไรนักหนา บ้านหลังนี้เป็นของคุณแล้ว ยัยหน้าโง่นี่โอนให้คุณมาตั้งกี่เดือนแล้วคะ คุณไม่สงสัยบ้างหรือที่เราทำทุกอย่างสะดวกขนาดนี้ เพราะฉันฟาดหัวพวกคนรับใช้ด้วยเงินตั้งนานแล้ว ต่อให้มีใครมาเห็นก็ไม่มีใครกล้าพูดออกไปหรอกค่ะ”
ที่แท้แล้วแม้กระทั่งคนสนิทและคนอื่น ๆ ที่เธอชุบเลี้ยงมา ทุกคนต่างหักหลังเธอกันหมดเลยหรือนี่ น้ำตาของหลินจินเว่ยค่อย ๆ รินไหลออกมาจากดวงตาด้วยความคับแค้นใจพร้อมกับคำสาปแช่งแทบที่ไร้สุ้มเสียง
“พวกแกต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต ต้องเจอความพินาศย่อยยับ!”
“โอ้ อย่าพูดอย่างนั้นสิ พวกเราจะไม่มีความสุขได้ยังไง ในเมื่อเงินในบัญชีธนาคารของเธอก็เป็นของเหวินปิง บ้านหลังนี้ก็ใช่ และยังมีการค้าอีกสองสาขาในตัวเมืองอีก ทุกคนในย่านนี้ใครก็รู้ว่าหลี่เหวินปิงเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดของเธออย่างชอบธรรม ก็แค่ภรรยากลายเป็นศพอยู่ในที่รกร้างไกลแสนไกล พวกฉันแค่บีบน้ำตาสองสามหยดก็ไม่มีใครสงสัยแล้วล่ะ” น้ำเสียงประชดประชันทว่าเต็มไปด้วยความสุขตั้งใจพูดให้หลินจินเว่ยได้ยินอย่างชัดเจน
“พวกแกมันเนรคุณ!” ในที่สุดหลินจินเว่ยก็ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงแห่งความคับแค้นใจอีกครั้ง
หลี่เหวินปิงรีบตรงเข้ามาพร้อมกับยกมือตบเข้าที่ใบหน้าของหลินจินเว่ย เขาตวาดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “ผมบอกว่าอย่าแหกปากยังไงล่ะ คิดจะเสียงดังให้มีคนมาช่วยหรือ ฝันไปเถอะ ไม่มีใครมาช่วยคุณได้หรอก”
ความเจ็บปวดที่กำลังแล่นขึ้นมาจากชายโครงด้านซ้ายที่ถูกแทง ยังมีความอึดอัดจากก้อนเนื้อซึ่งกำลังเต้นช้าลงภายในอกข้างซ้าย หลินจินเว่ยแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บชาบนใบหน้าแล้ว นั่นเป็นเพราะร่างกายกำลังสูญเสียเลือดมากเกินไป ปลายประสาททั้งหมดไร้เรี่ยวแรงแทบขยับไม่ได้ หญิงสาวทำได้เพียงกัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมา
“ดูเธอมองมาทางนี้สิคะ มองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อฉันเลย ฉันกลัวจังค่ะเหวินปิงช่วยปลอบใจฉันหน่อยสิ”
หลี่เหวินปิงรีบเดินไปกอดพร้อมกับพยายามปลอบโยนเสวี่ยอิงฮวาทั้งที่เขาน่าจะรู้ว่าเธอเสแสร้ง และก็เป็นผู้หญิงคนนั้นที่ลงมือทำร้ายภรรยาของเขาเอง
“อย่ากลัวไปเลยคนดี ผมอยู่ตรงนี้แล้ว เรารีบจัดการให้เสร็จ ๆ เถอะ ผ่านคืนนี้ไปทุกอย่างก็จบลงแล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“นั่นสินะคะ แต่ฉันไม่รีบ ระหว่างที่นังนี่ยังไม่ขาดใจตาย ฉันว่าเรามาทำอะไรสนุก ๆ ฆ่าเวลากันดีกว่าค่ะ”
เสวี่ยอิงฮวามองใบหน้าของหลี่เหวินปิงด้วยสายตายั่วยวน ปลายนิ้วมือเรียวของเธอยกขึ้นมาค่อย ๆ ปลดกระดุมอกเสื้อออกทีละเม็ดอย่างช้า ๆ พร้อมกับยกมือของชายหนุ่มขึ้นมาเกาะกุมก้อนเนื้อนุ่มนิ่มของตัวเอง
“จับดูสิคะ ดูสิว่าหัวใจฉันเต้นแรงขนาดไหน ฉันกลัวไปหมดแล้วค่ะเหวินปิง”
“อืม เต้นแรงเชียว อย่ากลัวไปเลยที่รัก มาเถอะคนดีผมจะปลอบขวัญคุณเอง แต่จะให้ผมปลอบใจคุณตรงนี้เลยหรือ แน่ใจนะครับ” เขาพูดน้ำเสียงกระเส่าส่วนมือก็บีบเคล้นอกอิ่มอย่างไม่นึกอาย
เสวี่ยอิงฮวาตั้งใจจะให้หลินจินเว่ยตายไปอย่างผีที่คั่งแค้น จงใจอยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองกับสามีที่เธอทั้งรักและเทิดทูนนักหนา ที่แท้แล้วก็กลายเป็นเพื่อนรักของเธอเองที่สามารถแย่งเขาไปได้สำเร็จ ฝ่ามือบอบบางทั้งสองยกขึ้นมาประทับบนใบหน้าของหลี่เหวินปิงพร้อมกับมองด้วยสายตาเร่าร้อน
“คุณเคยบอกว่ารักฉันที่สุด รักฉันมากกว่าใคร ไม่ว่าฉันต้องการทำที่ไหนคุณก็สามารถทำให้ฉันทุกที่ใช่ไหมคะ”
“แน่นอนครับ”
หลี่เหวินปิงไม่ปฏิเสธ เขาโอบเอวของเสวี่ยอิงฮวาเดินไปที่โซฟาตัวยาว โซฟาตัวนั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่หลินจินเว่ยซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้นสามารถเห็นการกระทำทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
เสียงการพลอดรักของสองคนชั่วช้าดังระงมไปทั่วบริเวณ ช่างบีบเคล้นขยี้หัวใจของคนได้ยินจนเธอรู้สึกสมเพชตัวเอง นี่หรือความรักที่เธอกล้าหักหลังสามีของตนเลิกรากับเขา ทิ้งลูกที่เธอคลอด เพื่อที่จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมาสังเวยให้แก่เดนมนุษย์หลี่เหวินปิงคนนี้
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติทั้งหมด หรือแม้แต่ชีวิตครอบครัวอันแสนอบอุ่นที่เคยมีก็ไม่เหลืออีกแล้ว คงเป็นเพราะเธอเองที่ทิ้งลูกทิ้งสามี จุดจบถึงเป็นเช่นนี้! สมควรแล้ว!