ตอนที่ 4 ข้าวต้มแสนอร่อย

1969 คำ
หลังจากวางทัพพีอย่างเร่งรีบ หลินจินเว่ยเดินกลับไปทางชั้นที่เก็บถ้วยชามพร้อมกับเปิดดึงผ้าที่คลุมออก มองเห็นถ้วยชามที่ถูกล้างอย่างสะอาดพร้อมกับคว่ำผึ่งลมเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ กลับมาอยู่ตรงนี้อีกครั้งกลับรู้สึกว่าห้องครัวนี้ยังสามารถจัดให้ดีกว่านี้ได้อีกอีกหน่อยคงต้องลงมือเอง หลังจากทำอาหารเสร็จก็ตั้งใจจะทำความสะอาดทุกอย่างใหม่อีกครั้ง เธอยกถ้วยชามออกมาทั้งหมดสามชุด ไม่ใช่เพียงแค่ตักให้ลูกชาย แต่ยังตักให้คุณปู่คุณย่าของสามีด้วย ข้าวต้มสามชามถูกยกออกมาวางบนโต๊ะก่อน จากนั้นเธอก็บอกลูกชายว่าทำข้าวต้มมาให้เขา โดยทำเป็นไม่เห็นสาวตาที่มองด้วยความไม่พอใจอยู่ไม่ห่าง “อวี่หลินแม่ลงมือทำอาหารสุดฝีมือเลย ลูกลองชิมดูสิ ข้าวต้มถ้วยนี้นอกจากน่ากินแล้ว รสชาติยังอร่อยมากด้วยนะ” “อย่ามาพูดจาเพ้อเจ้อ ยกอาหารของเธอออกไป” ซู่เจินผู้เป็นย่าทนไม่ไหวตะคอกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “คุณย่าคะ เด็ก ๆ ต้องกินเนื้อสัตว์และผักด้วยนะคะ เขาจะเลือกกินไม่ได้ แล้วฉันก็ต้มนานจนนุ่มแล้ว กินง่ายค่ะ” “กินง่ายกินยากฉันไม่สน เพ้อเจ้อทั้งนั้น เขาไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน ปกติฉันก็ทำแต่อาหารที่เขาชอบทั้งนั้น แม่ใจร้ายอย่างเธอจะไปรู้อะไร” หญิงชราพูดออกมาอย่างฉุนเฉียวเมื่อถูกอีกฝ่ายเถียงฉอด ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังเหมือนเดิม เถียงคำไม่ตกฟากเสมอไม่เคยเปลี่ยน “ถ้าอย่างนั้นคุณปู่คุณย่าลองชิมก่อนดีไหมคะ ถ้ากินแล้วคิดว่าไม่เหมาะ ฉันจะไปทำให้ลูกใหม่ค่ะ” พูดจบหญิงสาวที่เคยใจร้ายกับทุกคนในครอบครัวก็ยกข้าวต้มที่ยกมาอีกสองชามวางตรงหน้าคนชราให้ทั้งคู่ลองกินก่อน จะได้ตัดสินใจว่าควรให้เหลนชายกินหรือไม่ เธอรู้ดีว่าตอนนี้ไม่สมควรโต้เถียงผู้ใหญ่ในบ้านมากนัก เพราะในอดีตที่ผ่านมาไม่ใช่เพียงแค่เธอโต้เถียงอย่างรุนแรง บางครั้งยังคงกระทำมารยาทที่ไม่ดีต่อพวกเขาทั้งคู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นถีบเก้าอี้กระเด็นไปเกือบโดนพวกท่านตอนที่ถูกห้ามไม่ให้ออกไปนอกบ้าน หรือวันที่เธอไม่สนใจในวันที่ลูกป่วยแล้วพวกเขามาโวยวายให้เธอไปช่วยดูเพราะสามีต้องไปทำงานด่วน ความคับแค้นใจและความโกรธตลอดหลายปีที่ผ่านของคนทั้งสองคนคงไม่สามารถเหือดหายไปภายในไม่กี่นาทีที่เธอเพิ่งกลับตัวกลับใจตอนนี้ได้ “ทำใหม่ก็ต้องใช้วัตถุดิบอีก เธอร่ำรวยเหลือเกินนะ ฮ่าวเทียนทำงานหนักแค่ไหน เธอเอาแต่แต่งตัวสวยออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พอกลับมาบ้านยังมาถลุงอาหารของพวกเราอีกหรือ เธอมีสำนึกบ้างไหม” “ที่ผ่านมาฉันผิดไปแล้วค่ะ ฉันขอโทษคุณปู่คุณย่าด้วยนะคะ ต่อไปฉันจะเปลี่ยนตัวเอง ส่วนข้าวต้มนี้ถ้าทั้งคู่ไม่กิน เดี๋ยวฉันเก็บไว้กินเอง ไม่ทิ้งให้เสียของแน่นอนค่ะ ขอฉันลองป้อนลูกก่อนนะคะ หากเขาไม่ชอบต่อไปฉันค่อยทำอย่างอื่น” คุณปู่หยางตงฉือตกใจคำพูดของหลานสะใภ้ไม่น้อย พอตั้งสติได้ก็หมายจะจับมือเหลนชายไว้ทว่าก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อหลินจินเว่ยกวักมือเรียกเขาไปนั่งรอกินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาเถอะลูก มาใกล้ ๆ แม่ แม่ค่อย ๆ ป้อนนะดีหรือไม่” หัวใจของเด็กเล็กแม้จะเคยถูกรังเกียจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องการความรักความอบอุ่นจากคนเป็นแม่เสมอ อีกทั้งอาหารที่แม่ทำกลิ่นหอมมากทำให้เด็กชายตัวน้อยรับเดินมาอย่างเร็ว “ใช่แล้ว นั่งตรงนี้ก่อนนะ แม่ขอดูก่อนว่าข้าวต้มหายร้อนแล้วหรือยัง” “อวี่หลิน อย่ากินนะลูก ในนั้นอาจมียาพิษก็ได้” ย่าหยางพูดเหน็บแนมประชดประชันหวังจะให้เด็กน้อยเชื่อฟังและถอยออกห่าง ๆ ผู้เป็นแม่ใจร้าย “ไม่มีของแบบนั้นหรอกค่ะ หากคุณย่ากังวลก็ลองกินดูก่อนสิคะ” “อย่ามาพูดจาอวดดีนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครเห็นว่าเธอทำตัวเป็นแม่คนได้ มันไม่แปลกหรอกที่ฉันคิดแบบนี้ เมื่อก่อนอวี่หลินล้มตรงหน้าเธอยังไม่สนใจด้วยซ้ำ ข้าวสักเม็ดก็ไม่เคยป้อน ลูกป่วยจะเป็นจะตายเธอก็ไม่เคยสนใจฉันไม่ระแวงน่ะสิแปลก” คำพูดของซู่เจินทิ่มแทงเขากลางหัวใจของหลินจินเว่ย ไม่ใช่ว่าเธอลืมเรื่องราวเหล่านั้น เพียงแต่เธอในตอนนี้ไม่อยากยอมรับต่างหากว่าเธอเคยใจร้ายเหลือเกิน ฤดูหนาวอากาศเย็นจัด ตอนนั้นเธอกำลังเริ่มสานสัมพันธ์กับหลี่เหวินปิงใหม่ ๆ ทุกอย่างดูสวยสดงดงามไปหมด ยกเว้นทุกอย่างที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้ เธอลืมแม้กระทั่งสายสัมพันธ์ความเป็นแม่ลูก ไม่สนใจลูกน้อยที่กำลังร้องไห้โยเยเพราะอาการป่วย แม้แต่เสียงร้องของลูกเธอก็ยังรู้สึกรำคาญ บางครั้งยังตะคอกตวาดออกมาอย่างรุนแรง ดังนั้นก็ไม่แปลกที่แม่สามีจะมองว่าเธอเป็นแม่ใจร้าย “คุณย่าคะฉันขอโทษ เรื่องที่ผ่านมาคงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ลองกินข้าวต้มนี่ก่อนได้นะคะ ฉันตักมาเผื่อปู่กับย่าด้วยค่ะ ไม่มีใครตายแน่นอนแต่ถ้าห่วงอวี่หลินก็ชิมก่อนได้ค่ะ” คำพูดท้าทายของหลานสะใภ้ทำให้คุณปู่ที่ฟังอยู่โกรธมาก แต่เขาก็อยากพิสูจน์ว่า เขาทำเพื่อเหลนชายตัวน้อยได้ “มาสิ ฉันจะกินก่อน ถ้าฉันเป็นอะไรไปเธออย่าหวังว่าจะอยู่ดีมีความสุขล่ะ ต่อไปเธอจะถูกตราหน้าว่าเป็นหลานสะใภ้เนรคุณ” หยางตงฉือโมโหสุดขีดทว่าพยายามข่มอารมณ์ไว้ เดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวข้าง ๆ เหลนตัวน้อย แม้จะถูกดุด่าแต่หลินจินเว่ยกพยายามนิ่งไว้ เธอยังคงยกชามข้าวต้มส่งไปวางไว้ด้านหน้าชายชรา ข้าวต้มหอมกรุ่นอุณหภูมิกำลังพอเหมาะ ไม่ร้อนเกินไปเพราะออกจากเตามาครู่หนึ่งแล้ว หยางตงฉือใช้ช้อนตักข้าวต้มเข้าปากคำแรกด้วยทิฐิและความอยากเอาชนะ เพียงแค่รสชาติกลมกล่อมละมุนลิ้นกระทบเข้าไปยังกลางโพรงปาก เขาก็ถึงกับนิ่งเงียบไป “ตาเฒ่า นั่นแกเป็นอะไรไป ถูกพิษของนังหลานสะใภ้ตัวดีเข้าใช่ไหม รีบบอกฉันเร็วเข้าสิ ไป ๆ โรงพยาบาลกัน” “ไม่ใช่ มันอร่อยมากต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าวต้มฝีมือเธอจะอร่อยขนาดนี้” “อย่าเพ้อเจ้อ นังหลานสะใภ้อกตัญญูเอาอะไรให้แกกินกันแน่ ตาเฒ่าแกป่วยแล้วล่ะผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเข้าครัวเลย จะทำอาหารอร่อยได้ยังไง” หญิงชราโวยวายยกใหญ่พาลคิดไปว่าสามีถูกหลานสะใภ้วางยาเสียแล้ว “ถ้าไม่เชื่อคุณปู่ คุณย่าก็ลองชิมดูสิคะ อย่าเผลอกลืนลิ้นลงไปด้วยล่ะ” แม้จะอยู่ในอารมณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแต่เธอก็รู้สึกว่าทุกอย่างค่อย ๆ คลี่คลายแล้ว หากผ่านด่านผู้อาวุโสในบ้าน ก็เหลือแค่ด่านเด็กน้อยที่สามารถทำของอร่อยเอาใจเขาบ่อย ๆ ได้ จะรู้สึกหนักใจก็แต่สามีที่เธอไม่เคยสนใจเขามาก่อนเท่านั้นแหละ คงยากที่จะทำให้เขาเชื่อใจได้ เมื่อถูกหลานสะใภ้ที่ไม่ชอบหน้าท้าทาย ซู่เจินผู้เป็นย่าก็ไม่รีรอรีบรับถ้วยข้าวต้มที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ แต่ยังอดหันไปกำชับเหลนชายตัวน้อยอีกประโยคไม่ได้ “หลานอย่าเพิ่งกินอาหารของผู้หญิงคนนั้นนะ ให้ทวดกินก่อน ถ้าไม่เป็นอะไรก็ค่อยกินรู้หรือไม่” “รู้ครับย่าทวด” หยางอวี่หลินรับปากอย่างจริงจัง แม้เกือบจะต้านทานความหอมของข้าวต้มไม่ไหวแล้วก็ตามที อาการหลังจากกินข้าวต้มไปแล้วของซูเจินก็ไม่ต่างจากผู้เป็นสามี ความกลมกล่อมของเนื้อสัตว์ น้ำซุปและผัก เป็นรสชาติที่เหมาะกับเด็กอย่างอวี่หลินจริง ๆ หากไม่นั่งอยู่ที่ข้างห้องครัวก็คงไม่เชื่อว่าลูกสะใภ้ร้ายกาจเป็นคนทำ เธอจึงเผลอพูดออกไปอย่างลืมตัว “อร่อยมากอวี่หลิน” “ถ้าอย่างนั้นฉันให้ลูกกินได้ใช่ไหมคะ” คำถามของหลินจินเว่ยไม่ได้รับคำตอบ เพราะคุณปู่คุณย่าของสามีกำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย “เอาล่ะ ไม่มีใครห้ามแล้ว อวี่หลินกินเองได้ไหมลูก หรือจะให้แม่ป้อน” เขาไม่ได้ตอบคำที่แม่ถาม แต่เลือกที่จะขยับตัวเข้าใกล้ชามอีกหน่อย ตั้งใจว่าจะตักกินเองแม้ชามข้าวต้มจะหอมกรุ่น แต่เมื่อเด็กน้อยเตรียมจะตักเข้าปากก็พบว่ามีผักอยู่ในชามด้วย ทำให้เขาลังเลเล็กน้อยที่จะกินเข้าไป และการกระทำของเขาก็ตกอยู่ในสายตาของหลินจินเว่ยทั้งหมด “ลูกต้องกินผักด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่เก่งเท่าเสี่ยวซานนะรู้ไหม เด็กคนนั้นเก่งมากทำอะไรก็เก่งกว่าคนอื่น เพราะเขากินทุกอย่างไม่เลือกกินแบบลูก ถ้าไม่อยากแพ้เสี่ยวซานลองกินผักดูนะ วันนี้แม่ตุ๋นผักนุ่มอร่อยมากลูกลองชิมดูก่อน” เมื่อได้ยินคำพูดมีเหตุมีผลก็ทำให้เด็กชายตัวน้อยเริ่มเปิดใจลองกินในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ในที่สุดเขาก็กินข้าวต้มจนหมดชาม และรู้สึกว่าผักก็ไม่ได้รสชาติแย่อีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้คนชราทั้งสองก็ตักข้าวต้มเพิ่มอีกคนละชามจนหมดหม้อพอดี เห็นทุกคนกินอิ่มหลินจินเว่ยก็ส่งลูกชายให้คุณย่าดูแลต่อ ส่วนเธอกลับไปเก็บล้างทุกอย่างให้สะอาดเรียบร้อยทุกซอกทุกมุม ทำให้คนที่เห็นอดที่จะตกใจไม่ได้ เพราะหลานสะใภ้ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน “ตาเฒ่า ฉันว่าผีเข้ายัยนี่แล้วแน่ ๆ นานแค่ไหนแล้วที่ทนอยู่ด้วยกันมา แม้แต่พิธียกน้ำชาหล่อนยังไม่ทำเลย แต่วันนี้กลับทำอาหารแล้วยังทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง ไม่รู้ว่าฮ่าวเทียนพูดอะไรถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้” “จะอะไรก็ช่างเถอะ พาอวี่หลินออกไปเล่นข้างนอกดีกว่า อยู่ในนี้มีแต่ฝุ่นทั้งนั้น เดี๋ยวก็ป่วยจนได้” แม้ว่าบ้านดูรวม ๆ แล้วจะดูเรียบร้อยดี เพราะหยางฮ่าวเทียนจ้างคนมาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ เขาไม่อยากให้คุณปู่คุณย่าต้องเหนื่อยเกินไป แต่แม่บ้านที่มาก็ไม่ได้ทำสะอาดทั่วทุกซอกมุม ย่อมมีบางที่ที่ถูกละเลยบ้าง หลานสะใภ้ที่คิดกลับตัวกลับใจและอยากขอโอกาสปรับปรุงตัวเองอีกครั้งจึงต้องแสดงความสามารถกันหน่อย หลินจินเว่ยทำหน้าที่สะใภ้ครั้งแรกจึงต้องทุ่มสุดตัว หลังจากทำความสะอาดบ้านเสร็จ ทั้งคู่ก็พาหยางอวี่หลินกลับมา เธอจึงอาสาพาเขาไปอาบน้ำ แม้ว่าทั้งคู่จะไม่พอใจในตอนแรกแต่ก็ยอมให้เธอได้ทำหน้าที่แม่ดูสักครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม