เด็กคนนั้นเป็นใครกัน...
อินทัชถามตัวเองอย่างแปลกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีเด็กชายแปลกหน้าวิ่งเล่นไปมาในบ้านของเขา อินทัชก้าวตามเด็กน้อย แต่ทุกๆ ครั้งที่เขาเข้าไปใกล้เด็กผู้ชายคนนั้นก็ห่างออกไปเท่าเดิม ยิ่งก้าว ก็ยิ่งหนี เมื่อเขาเริ่มวิ่ง เด็กคนนั้นก็วิ่งด้วย อินทัชจึงเริ่มถอดใจกลับมาเดินตามอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเด็กคนนั้นหายวับไปจากสายตา ในขณะที่เขายืนคว้างอยู่บนศาลากลางสวนของบ้าน
อินทัชหมุนตัวมองไปรอบๆ อย่างตกใจ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเด็กเรียกจากด้านหลัง
“พ่อครับ”
เฮือก!
อินทัชหายใจหอบ ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อยังไม่ทันเห็นหน้าเด็กชายในฝันก็หายตัวไปอีกครั้งต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้า มองไปรอบข้างจึงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาอยู่บนเตียงในห้องนอนของคอนโดมิเนียมหรู ลมหายใจของเขาจึงเริ่มกลับสงบ เมื่อตระหนักได้ว่าทุกอย่างเป็นแค่ฝันเท่านั้น
ฝันที่เหมือนจริง...เพราะบ้านในความฝันคือ บ้านของเขาจริงๆ
“ฝันร้ายเหรอ” หญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยเก๋ที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวเอ่ยทักคนบนเตียงที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“เปล่า ไม่มีอะไร” อินทัชส่ายหน้า ตลบผ้าห่มออกจากตัวทั้งๆ ที่ยังเปลือยเปล่า เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาพันรอบเอวสอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปแต่งตัวเตรียมตัวไปงานเลี้ยงได้แล้ว” ฐิสาบอกอินทัชขณะที่เธอกำลังบรรจงแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า
“ดูสิ เหงื่อเต็มตัวไปหมด” ฐิสาบ่นต่อ ทำให้คนฟังกลอกตา ทั้งๆ ที่เมื่อคืนไม่ว่าจะส่วนไหนบนร่างของเขาฐิสาก็ยอมสัมผัส แต่พอเช้ามาหมดอารมณ์วาบหวามก็วางตัวเป็นอีกแบบทันที
ไม่เคยมีอ้อมกอดหรือแม้แต่คำหวาน มีเพียงความใคร่ที่ยึดโยงคนทั้งคู่ให้เกาะเกี่ยวกันไว้
อ้อ...ลืมไป ว่าเขาและเธอยังเป็นคู่หมั้นกันด้วย
“อย่าลืมนะว่าวันนี้ฐิสาใส่ชุดสีฟ้าอ่อน หาสูทที่สีเข้ากันด้วยล่ะ”
อินทัชระบายลมหายใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่หันกลับไปมองคู่หมั้นสาวอีก ความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาทำให้เขาลืมเลือนเรื่องความฝันไปอย่างสนิทใจ
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อินทัชก็ชงกาแฟกินเป็นอาหารเช้าเพราะต้องรอฐิสาอยู่อีกเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เดินทางออกจากคอนโดมิเนียม เมื่อคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบอย่างฐิสา จะต้องมีความมั่นใจทุกครั้งว่าการปรากฏตัวของเธอจะต้องได้รับแต่เสียงชื่นชม และความสมบูรณ์แบบนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงเขาที่วันนี้ต้องใส่ชุดสูทสีน้ำเงินเข้มด้วย เรื่องปกติที่เขาควรจะทำใจยอมรับ แต่ลึกๆ เขากลับยังไม่ชินเสียที
อินทัชกับฐิสาเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงการกุศลของมูลนิธิเด็กกำพร้าที่จัดขึ้นในโรงแรมหรูใจกลางเมือง ทันที่ประตูลิฟต์เปิดออกตรงชั้นที่จัดงาน แสงแฟลชวูบวาบก็รัวกระหน่ำใส่เข้ามาไม่หยุด ฐิสาควงแขนของอินทัชอัตโนมัติ ส่งรอยยิ้มหวานอย่างมืออาชีพ อินทัชเองก็มองหญิงสาวข้างกายด้วยแววตาหลงใหล เมื่อตอนนี้ทั้งสองกำลังสวมบทบาทคนรักแสนสมบูรณ์แบบต่อหน้าทุกคน
แม้จะคบหากันมายาวนานและยังไม่ได้เข้าสู่ประตูวิวาห์ แต่ทั้งสองก็ยังคงดูรักใคร่กันจนยังคงเป็นคู่ที่ทุกคนกล่าวขวัญ
“มากันแล้วเหรอลูก” เพ็ญแขแม่ของอินทัชเดินเข้ามาทักคนทั้งสอง ฐิสายกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
“สวัสดีจ้ะหนูสา แหม...ว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่ สวยทุกวันที่ได้เจอกันจริงๆ นะ”
ฐิสายิ้มรับน้อยๆ ราวกับถ่อมตัว ก่อนที่คนทั้งสามจะหันไปทางช่างกล้องที่ขอถ่ายรูปพวกเขา
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ” เพ็ญแชเอ่ยชวนหลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ ทั้งสามจึงเดินไปเข้าไปในงานและทักทายกับคุณหญิงเจ้าของงานที่เป็นประธานมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า
“ถ่ายรูปกับเด็กๆ หน่อยสิ อุตส่าห์บริจาคให้ทางมูลนิธิตั้งเยอะ” คุณหญิงกล่าวชวนพลางกวักมือเรียกเด็กเล็กราวห้าถึงหกขวบทั้งหมดแปดคนให้เดินมาทางพวกเขา
อินทัชลอบยิ้ม เขารู้ดีว่าคู่หมั้นของเขา ‘รักเด็ก’ ขนาดไหน
ทุกคนต่างส่งยิ้มให้ช่างภาพอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนที่อินทัชจะต้องหยิกหลังมือตัวเองไม่ให้หลุดขำเมื่อเห็นว่าฐิสาแอบเช็ดมือข้างที่จับกับมือของหนึ่งในกลุ่มเด็กน้อยด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างแนบเนียน
“ฐิสาขอไปทักทายคุณหญิงท่านนั้นก่อนนะคะ” ฐิสาหันมาบอกกับอินทัชและเพ็ญแข แยกตัวไปหาคุณหญิงท่านหนึ่งที่ดูแลโครงการเกี่ยวกับผ้าไทยอยู่ เมื่อสองปีก่อนฐิสาลงทุนทำแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง และด้วยชื่อเสียงของเธอทำให้ผลงานของฐิสาดังไกลถึงต่างประเทศ และตอนนี้ฐิสากำลังออกแบบเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่เน้นความเป็นไทยให้มากขึ้น จึงอยากพูดคุยเรื่องนี้กับเป้าหมายของเธอเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ
“ถ้าอย่างนั้นผมไปบ้างนะครับแม่” อินทัชบอกกับเพ็ญแขที่พยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องคุยเป็นพิเศษกับบางคนเช่นกัน งานเลี้ยงสำหรับพวกเขาไม่ได้จัดขึ้นเพียงเพื่อการพบปะหรือเพื่อทำบุญกันตามธรรมดา หากแต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายในใจสำหรับการมาพบกัน
นับตั้งแต่ที่บิดาของอินทัชเสียเมื่อสามปีที่แล้ว เขาก็ต้องรับช่วงต่อทางธุรกิจในฐานะทายาทเพียงคนเดียว และเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง
อินทัชพูดคุยกับกลุ่มคนมากหน้าหลายตา ก่อนที่การแสดงบนเวทีจะดึงดูดสายตาของเขา เด็กๆ อายุราวสี่ถึงห้าขวบขึ้นทำการแสดงอย่างน่ารัก จนทำให้หลายคนอมยิ้มไปกับความไร้เดียงสา รวมถึงอินทัชที่เผยยิ้มบางๆ ออกมาอย่างนึกเอ็นดู
ถ้าตอนนั้น...
อินทัชรีบสะบัดศีรษะ หยุดความคิดที่ทำท่าจะเตลิดไปไกลของตัวเองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่จะหันไปยิ้มให้กับนักธุรกิจคนหนึ่งที่เดินเข้ามาชวนคุย