“ฝ่าบาท!!!” แม่หมอเจียวจินร้องอย่างตกใจกับสิ่งไม่คาดคิด
“พี่หานหรง!!” รัชทายาทเจ้าอี้หลิง
“?” จางซิงอีบุตรสาวแม่ทัพต่างแคว้น
“_” เจ้าหยางหลงมิได้มองฮ่องเต้เพราะองครักษ์มากมายแบกพระวรกายสูงใหญ่เข้าไปในตำหนักและตามหมอหลวงมาดูพระอาการ แล้ว สถานการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นร่วมหนึ่งเค่อ…แต่เป็นหนึ่งเค่อที่เจ้าหยางหลงมองเพียงสตรีตาบอดตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา สตรีตัวเล็กเดินมานั่งนิ่งๆ ไม่กล่าวคำใดอีก “จะขึ้นไปบนตำหนักหรือไม่?” เขาถามสตรีตาบอดตรงหน้า
“ไม่เจ้าค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าพี่หานหรงต้องสมรสก่อนเวลา” เจ้าหยางหลงไม่เข้าใจความหมายที่นางว่าและเหตุใดฮ่องเต้ถึงล้มลงไปเช่นนั้นได้...แล้วสตรีนางนี้คือผู้ใด? เป็นแม่หมอเหมือนท่านยายเจียวจินรึ?
“ฮ่องเต้ของแคว้นเราเพ่ยหานหรงจะมีเคราะห์หนักเมื่อพระชนมายุครบยี่สิบห้าชันษา ตามดวงชะตาพระองค์จะต้องสมรสกับสตรีที่เป็นเนื้อคู่ในชาติก่อนและแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา สตรีนางนั้นงดงามล่มเมือง กิริยาคล้ายคลึงบุรุษและเกิดเวลาเดียวกันกับบุรุษ เป็นสตรีที่มิเหมือนสตรี ชะตาของนางจะคอยค้ำยันพลังธาตุและเคราะห์กรรมหนักได้” นางมองตรงไปยังบุรุษคมคายอ่อนเยาว์ตรงหน้าราวกับว่าทั้งคู่ได้สบตากันจริงๆ
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าคือสตรีนางใด”
“ข้าไม่รู้ ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับพระองค์ แต่หากเลือกผิด ..แคว้นอาจประสบเหตุภัยพิบัติจนล่มสลายแต่หากเลือกถูก..เคราะห์ร้ายทั้งหมดจะถูกปัดเป่าอย่างรวดเร็ว” และนางรู้ว่าพระองค์จะเลือกถูก
“_” ใจของเจ้าหยางหลงเต้นแรงกับสิ่งที่สตรีตาบอดตรงหน้ากล่าวขึ้น ‘แคว้นล่มสลายเลยรึ’ นี่มิใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว จะบอกว่าเขาไม่เชื่อก็คงจะไม่ถูกต้องเพราะเพียงแค่นางเอ่ยทักขึ้นมาฮ่องเต้แคว้นเพ่ยก็ถึงกับหมดสติไป จะกล่าวหาว่านางใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดก็มิอาจกล่าวได้เพราะนางเป็นเพียงสตรีที่ตาบอด...พลันในใจเริ่มตระหนักว่าสตรีนางนั้นจะเป็นเฟิ่งเอ๋อร์หรือไม่ นั่นคือเรื่องที่พี่ชายฝาแฝดเช่นเขามิอาจคาดเดาได้ แต่ถ้าหากมิใช่เล่า? ‘แคว้นทั้งแคว้นล่มเชียวนะ’
จู่ๆ เจียวหนิงอันก็ใจเต้นแรงอีกครั้ง นางหันมองซ้ายขวาอย่างลนลานตื่นตัว “สตรีนางนั้นมาแล้ว..มาใกล้ๆแล้ว!!” ยกมือขึ้นกุมหน้าอกที่เต้นกระหน่ำ ‘มีพยัคฆ์ติดตามนางมาด้วย..’
เจ้าหยางหลงขมวดคิ้วเคร่งเครียด เขาหันมองซ้ายมองขวาจามนางก่อนจะเห็นพยัคฆ์ขาววิ่งมาอย่างรวดเร็วและด้านบนเป็นน้องสาวอัปลักษณ์ของตนที่ก่อนหน้านี้ไปดูการสกัดพิษกุหลาบเพื่อมารักษาอาการแพ้เกสร กระโดดเข้ามา เสียงร้องเรียกดังลั่นไร้ความเป็นสตรี
“พี่หยางหลง!!!” พึ่บ!!!ยืนข้างพี่ชายฝาแฝด หันมองสตรีที่มีผ้าปิดตาก้มหน้าหลบแต่เจ้าเฟิ่งเซียนไม่มีเวลาถาม “พี่หานหรงเป็นอย่างไร!!”
“เลือดออกจมูกและหมดสติ เจ้ารีบตามไปดูเถิด”
ตึ่กๆๆ ตึ่กๆๆ หนึ่งสตรีหนึ่งพยัคฆ์วิ่งหายเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งเจ้าหยางหลงนั่งมองสตรีตาบอดที่มีเหงื่อกาฬไหลออกมาตามใบหน้าอย่างโง่งม ‘หมายความว่าสตรีผู้นั้นคือเฟิ่งเอ๋อร์ ฝาแฝดผู้น้องของเขาใช่หรือไม่นะ’
๑----------------------๑
หลังจากวันนั้นผ่านมาเพียงสองวันงานมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้แคว้นเพ่ยก็ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการเดินทางกลับแคว้นเจ้าในอีกห้าวันต่อมาโดยที่องค์ชายเจ้าหยางหลงยังคงติดค้างในใจกับสตรีตาบอดนางนั้น 'เจียวหนิงอัน' นางผู้มีญาณหยั่งรู้
๑------------------------------๑
แคว้นเจ้า
ตำหนักลิ่วหลงของสองฝาแฝดที่ยามนี้มีพระสวามีของเจ้าเฟิ่งเซียนแฝดน้องร่วมประทับอยู่ด้วยและทั้งคู่ยังคงอยู่ในห้องบรรทมหาได้มีผู้ใดไปเรียกขาน…
เจ้าหยางหลงจิบน้ำชายามเช้าเพียงลำพังเหม่อมองออกไปหน้าตำหนักเห็นเสด็จแม่จูเหม่ยเซียนเดินมาพร้อมกับขันทีคนสนิททั้งสองคน เขารีบเดินลงไปหาท่านแม่และกอดท่านอย่างรักใคร่
“ท่านแม่มาหาลูกเพราะคิดถึงใช่หรือไม่?” กอดเอวบางเดินเคียงกันไปตามทางด้านหน้าสวนสวย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น มาถึงวังหลวงพบปะกันเพียงครู่พวกเจ้าก็พากันไปพูดคุยกับท่านพ่อทั้งสองจนลืมท่านแม่คนนี้” ท่านแม่หยุดเดินแล้วหันมาจับแก้มของบุตรชายผู้หล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่อย่างแสนรัก “ไหนเล่ามาสิว่าไปแคว้นเพ่ยกลับมามีสิ่งใดอยากพูดอยากบอกกับแม่หรือไม่”
“มีขอรับ” เรื่องที่ติดค้างในใจหาใช่เรื่องที่เจ้าหยางหลงต้องปิดบัง
“คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจเฉกเช่นน้องสาวเจ้ากระมัง?” ทำหน้าคาดคั้น รอฟัง
“หาใช่เช่นนั้น” ทำท่าเกาท้ายทอย “แต่ก็เกี่ยวกับสตรี”
“หืม” พระชายาจูเหม่ยเซียนดูแปลกใจเพราะที่ผ่านมาบุตรชายคนโตของนางไม่เคยพูดว่าอยากจะมีชายา..รึว่า ‘ที่แคว้นเพ่ย’ อีกแล้วรึ?
“สตรีที่ลูกสนใจ...นางมีญาณหยั่งรู้และที่สำคัญคือ นางตาบอด”
“ตาบอดรึ?” ท่านแม่จูเหม่ยเซียนเอียงคอคิดตามว่าอะไรคือสิ่งที่บุตรชายสนใจกันแน่ “นางมีท่าทางอย่างไร”
เจ้าหยางหลงหวนคิดไปถึงสตรีที่กุมหน้าอกตนเองและหันมองไปยังทิศทางที่นางได้ยินเสียง..ท่าทางนางคล้ายว่ามองเห็นแต่คงไม่ใช่ ความสงสัยมาพร้อมกับความสนใจจนล้นอก “นางมีผ้าปิดตาบางๆ คล้ายมองเห็นรึไม่เห็นแต่...ลูกคิดว่านางเป็นสตรีที่ดูน่าค้นหา ดูลึกลับเหมือนปิดบังหรือซ่อนอะไรบางอย่าง ลูกไม่แน่ใจขอรับ”
“นางมีไม้บอกทาง”
“ไม่มีขอรับ”
“นางเดินได้เอง นั่งเองโดยไม่คลำหาสิ่งใดเป็นตัวช่วย?”
“_” นางทำเช่นนั้นจริงๆ “จะมีท่านยายของนางจับแขนไว้ในบางคราวขอรับ” เจ้าหยางหลงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บางครั้งนางก็ทำท่าราวกับเห็น... “แต่ที่ลูกสนใจมากกว่าคือนางมีญาณหยั่งรู้ นางอาจจะรู้เรื่องของลูกก็ได้ขอรับท่านแม่”
“เช่นนั้นหลายวันมานี้ที่ลูกกลับมาแล้วยังไม่ไปหาแม่เป็นเพราะเฝ้าคิดถึงเรื่องของนาง” หรี่ตาจับผิดบุตรชาย
เจ้าหยางหลงมีสีหน้าเลิ่กลั่กเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ “เอ่อ..” ผงกศรีษะหนึ่งครั้ง “ขอรับ”
“มิใช่ว่าหากเฟิ่งเอ๋อร์ต้องติดตามสามีกลับแคว้นเพ่ย เจ้าก็จะกลับไปด้วย?” กอดอกมอง
“เอ่อ...” ผงกหัวเช่นเดิม “ขอรับ” เขาอยากจะกลับไปถามเรื่องดวงชะตาของเขากับนาง
ท่านแม่จูเหม่ยเซียนถอนหายใจ มิใช่ว่านางรังเกียจสตรีตาบอดแต่ที่ถอนใจก็คือบุตรชายจะออกไปจากวังอีกแล้วน่ะสิ “ตามแม่มา”
เจ้าหยางหลงเดินตามท่านแม่กลับตำหนักอู่หลงไปทันที ท่านแม่พาเขาไปในห้องหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากห้องบรรทมพร้อมกับหยิบหนังสือปกสีดำที่เขาจำได้ว่าเคยอ่านและเคยเรียน ‘ภาษาไทย’ ในตอนที่เขาและเฟิ่งเอ๋อร์ยังเยาว์ ‘ครั้งสุดท้ายที่จับมันคงจะป็นสิบเอ็ดหนาวกระมัง’
“เอาไปอ่านให้จบและก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปแคว้นเพ่ย ให้เจ้านำมันมาคืนแม่”
“ขอรับ” รับมาถือไว้พร้อมกับนั่งลงพูดคุยกับท่านแม่ต่อโดยมีอาเป้าขันทีคนสนิทของท่านแม่คอยรินชา “ท่านแม่กลัวรึไม่ว่าลูกจะมีชายาตาบอด”
“กลัวด้วยเหตุใด” มองบุตรชายอย่างจับผิด “เจ้าถามเช่นนี้ราวกับว่าเจ้าพึงใจนางหาใช่สนใจอยากถามดวงชะตา” ท่าทางอ้ำอึ้งเหมือนไม่แน่ใจทำให้พระชายาจูเหม่ยเซียนพูดต่อ “ถ้าหากเจ้ารักชอบนางแม่ก็มิขัดข้อง” ยกชาขึ้นมาจิบ “จากที่เจ้าเล่าให้แม่ฟังเจ้าแน่ใจหรือว่านางตาบอด?” มีที่ไหนกัน..ตาบอดแต่ไม่ใช้ไม้ค้ำยัน
‘ไม่แน่ใจ’ เจ้าหยางหลงไม่กล่าวคำใดเพราะเขากับนางพูดคุยกันเพียงครั้งเดียว...แต่หลังจากนี้เขารับรองว่าเขาจะตามดูชีวิตนางแน่ๆ
“แม่ยังคงยืนยันคำเดิม เรื่องคู่ครองเป็นเรื่องที่พวกเจ้าควรเลือกด้วยตนเอง จะตาบอดรึขาพิการหากเจ้าตัดสินใจเลือกแล้ว แม่ก็ไม่ขัด ‘ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ต้องตามใจผู้นอน’ คำสอนนี้ยังคงใช้ได้ในทุกยุคสมัย..จำไว้”
“ขอรับ” เจ้าหยางหลงเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
๑---------------------------๑
คืนนั้น
เจ้าหยางหลงนั่งอ่านชีวิตของท่านแม่ที่อยู่ในยุคสมัยที่มีทั้ง รถที่ใช้แทนรถม้า ตึกแทนวัง เครื่องบินแทนการเดินทางด้วยวิชาตัวเบาและอีกมากมายที่ทำให้เขายิ้มได้ไม่หยุดเลย...ที่ท่านแม่มาอยู่ตรงนี้ได้ล้วนเป็นโชคชะตาจริงๆ สินะ
๑--------------------------๑
วันเดินทางกลับแคว้นเพ่ย
“ดูแลตัวเองดีๆเล่า” ท่านแม่กอดบุตรชายและลูบหลังเขาราวกับเด็กน้อย ส่วนเจ้าเฟิ่งเซียนยังคงกอดท่านพ่อทั้งสองไม่ยอมปล่อย
“ข้าโตแล้วขอรับเผื่อท่านแม่จะลืม” เจ้าหยางหลงเย้าท่านแม่ของตนอย่างน่ารัก
“ไม่ลืมแต่สิบหกปีสำหรับแม่ เจ้าก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ แล้วไหนหนังสือของแม่เล่า” ทวงถามสิ่งสำคัญ
เจ้าหยางหลงนึกขึ้นได้จึงล้วงของที่ท่านแม่ทวงออกมาคืน “นี่ขอรับลูกอ่านจนหมดแล้ว เปิดหูเปิดตาลูกได้มากเลยขอรับ”
“อืม..ดีแล้ว” ท่านแม่จูเหม่ยเซียนยิ้ม พูดคุยกับสองฝาแฝดอีกครู่ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันขึ้นรถม้าเพื่อเดินทาง
คล้อยหลังขบวน...จูเหม่ยเซียนเปิดหนังสือปกดำที่บุตรชายคืนให้เมื่อครู่ ตัวหนังสือทุกตัวเปลี่ยนไปกลายเป็นเรื่องราวของบุตรชายของนางตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตอนนี้..ตอนที่ขึ้นรถม้าออกไป..นางยิ้มออกมาเต็มใบหน้าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวบุตรชายจะมีนางรับรู้มันผ่านหนังสือเล่มนี้อีกแล้ว แหงนมองท้องฟ้ากล่าวคำในใจ ‘ขอบคุณสวรรค์เจ้านะคะ’
“เหม่ยเอ๋อร์เข้าตำหนักกันเถิด” พระสวามีชินอ๋องเอ่ยชักชวนชายารักเพียงคนเดียว
“วันนี้พี่อยากกินหมางกั่ว(มะม่วง)กับน้ำปลาหวาน เจ้าทำให้พี่ได้หรือไม่ชายารัก” พระสวามีจวิ้นอ๋องร้องขออีกคน
พระชายาจูเหม่ยเซียนยิ้มหวาน “ได้สิเจ้าคะเดี๋ยวเหม่ยเอ๋อร์จะทำให้ทานเยอะๆเลย”
“ดียิ่งงั้นเราเข้าไปด้านในกันเถิด” แล้วสองสวามีกับหนึ่งพระชายาก็เดินเคียงข้างกันไปด้านใน
๑-------------------------๑
การเดินทางเรียบง่ายแต่รวดเร็วดังเช่นขามาทำให้กลุ่มของฮ่องเต้เพ่ยหานหรง ฮองเฮาเจ้าเฟิ่งเซียนและองค์ชายเจ้าหยางหลงแฝดผู้พี่เดินทางถึงแคว้นเพ่ยในเวลาเพียงสามเดือนด้วยฝีเท้าของม้าเร็ว
แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหยางหลงกลับขอแยกตัวออกไปกับฟงอีองครักษ์คนสนิทเพื่อเดินทางต่อ ฝาแฝดผู้น้องผู้ดำรงค์ตำแหน่งฮองเฮาได้แต่แปลกใจแต่ในเมื่อเป็นความประสงค์ของพี่ชาย นางก็มิได้ขัดเพียงแต่…หึหึ
“ติดตามหยางหลงพี่ชายข้าอย่าได้คลาดสายตา”