เบื้องหลังอันแข็งแกร่งของข้าล่ะ

2910 Words
บนรถม้าสกุลหวัง “อ๊ายๆๆๆ” หวังปิงปิงกรีดร้องออกมาให้กับความกล้าของตนเอง ไม่รู้ทำไมนางจึงกล้าได้มากขนาดนี้ทั้งๆ ที่มิเคยมีคนรัก ตอนที่ก้มลงไปพูดกับฝ่าบาทเมื่อครู่ มันคือการทำไปโดยไม่รู้ตัว จะว่าสมองสั่งการให้ร่างกายปฏิบัติก็คงไม่ผิดนัก ยังดีที่ยามนี้ท่านพ่อของนางเมาจนหลับลึกไปแล้ว มิเช่นนั้นนางคงถูกต่อว่าเป็นแน่ที่กรีดร้องออกมาราวกับมิใช่สตรีในห้องหอ อาเปาผู้นั่งอ้าปากค้างอยู่ด้านข้างของคุณหนู ได้แต่งงงันกับกิริยาแปลกประหลาดต่างจากวันวาน แม้ในท่วงท่าที่แสดงนั้นจะดูเหมือนคุณหนูดีใจ ‘แต่ดีใจเรื่องใดกันเล่า’ “คุณหนูเจ้าขา” ส่ายตัวไปมาราวกับเด็กน้อย “อะไร” ^^ ยังไม่หยุดส่าย เท่านั้นไม่พอยังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสูดดม “หอมยิ่งนัก” อาเปาตกใจกว่าเดิม ยิ่งเห็นการดอมดมผ้าเช็ดหน้าราวกับสตรีวิปลาสก็ยิ่งเครียด “ของฝ่าบาท” “อื้มๆ” พยักหน้ารัวๆ “เรื่องนี้คือความลับและข้ากำลังจะคิดการใหญ่ ดังนั้นเจ้าคืออีกหนึ่งคนที่อยู่ในแผนของข้า ห้ามบอกผู้ใดเข้าใจหรือไม่” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางตัดสินใจขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ยิ่งนางบอกกับพระองค์ว่านางจะนำผ้าเช็ดหน้าไปคืนด้วยตนเองนางก็จะทำตามนั้นให้ได้ “เจ้าค่ะ” แม้อาเปาจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ไม่ว่าคุณหนูต้องการทำสิ่งใด อาเปาล้วนอยู่ข้างคุณหนู ‘ซึ่งดูเหมือนว่าความลับครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้เสียแล้ว’ คิดการใหญ่จริงๆ “ดี!!” เอาล่ะ! เห็นทีนางต้องใช้คนรู้จักทุกคนให้เป็นประโยชน์เสียแล้ว ‘อิอิ จากที่คิดว่ารักแรกนั้นเกินเอื้อม มายามนี้นางจะลองเอื้อมให้ดู!!’ ๑-------------------๑ วันต่อมา:ในจวนสกุลหวัง ปิงปิงนอนหลับตาคว่ำหน้า กางขาอยู่บนเสื่อในสวนกว้าง กิริยามิสมกับการเป็นสตรีในห้องหอถูกเปิดเผยให้สาวใช้ทุกคนในจวนรับรู้ ไม่ต่างจากบุรุษผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ “กิริยาเช่นนี้ บุรุษผู้ใดมาพบเข้า เจ้าคงกลายเป็นสตรีต้องห้ามในแคว้นมู่เป็นแน่” หลีปินเดินไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับจิบชาด้านข้างพลางต่อว่าน้องสาวไม่จริงจังนัก เขาเห็นนางลืมตามองเขาพร้อมอมยิ้ม “อีกครู่ท่านแม่ชวนพี่ไปหาท่านตา เจ้าจะไปด้วยหรือไม่” ‘หือ’ พรึ่บ!! ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ในหัวสมองประมวลผลอย่างรวดเร็วถึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง “ไปเจ้าค่ะ” เรื่องอะไรนางจะพลาดกับการไปหาท่านตาม่อจิ้นจื่อที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของเมืองหลวง จำได้ว่าในนิยายเรื่องนี้มิได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านตาว่าเป็นไปในทิศทางไหน จะดีหรือจะร้ายนั้นไม่รู้ รู้แค่เพียงยามนี้นางจะต้องตีสนิทกับท่านตาให้มากๆ เพื่ออนาคตที่นางวาดไว้ข้างหน้า ‘แน่ล่ะ…นางกำลังนอนคิดถึงการใหญ่ ใจต้องนิ่งและต้องหาตัวช่วย’ ใดๆ คือ จะเริ่มเรื่องนี้ยังไงก่อนเถอะ “เช่นนั้นก็ไปเปลี่ยนชุด อีกหนึ่งเค่อไปพบกันที่เรือนใหญ่” แม้ในสายตาเขา ชุดที่นางสวมใส่จะงดงามอยู่แล้ว แต่ที่ให้ไปเปลี่ยนเพราะมันยับย่นเสียเหลือเกิน ไหนจะทรงผมรุ่ยร่ายของนางอีกเล่า น่าดูที่ไหนกัน!! “เจ้าค่ะ” วิ่งหลุนๆ ขึ้นไปยังเรือนของตนเอง หวังหลีปินมองทั้งน้องสาวและบ่าวของนางก็ได้แต่ส่ายหัว เขาหันไปถามบ่าวชายของตนแล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าดูเปลี่ยนไปราวกับว่าที่ข้าเห็นนี่มิใช่นาง” ซึ่งเขาก็ยังสงสัยทุกครั้งนั่นล่ะ บ่าวชายนามหย่งเกอมองตามสายตาของคุณชาย “จะว่าไม่เหมือนก็ว่าไม่ได้ ในเมื่อสตรีที่วิ่งไปก็คือคุณหนูใหญ่อยู่ดีขอรับ” “อืม” หลีปินเดินกลับไปยังเรือนใหญ่โดยไร้คำโต้เถียง มันจริงอย่างที่หย่งเกอว่าจนมิอาจปฏิเสธได้ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือเลิกสงสัย เลิกถามแล้วอยู่กับนางและครอบครัวอย่างมีความสุขก็จบเพราะนางที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั้นดีมากแล้วสำหรับเขา หลังจากนั้นอีกสองเค่อรถม้าคันใหญ่ของสกุลหวังก็เคลื่อนตัวออกจากเรือนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจวนของท่านแม่ทัพหลวงทันที ปิงปิงแสร้งถามท่านแม่และพี่ชายเพราะอยากรู้ว่านางกับท่านตานั้นสนิทสนมกันมากแค่ไหนแล้วคำตอบที่ได้ฟังนั้น...ไม่เลวนัก “อย่าไปอ้อนท่านตาให้มากนักเล่า ที่ดินที่เจ้าขอไปคราวก่อนเกือบสิบไร่แม่ก็มิเห็นเจ้าจะทำสิ่งใด ปล่อยทิ้งไว้ก็เท่านั้น ขอไปก็สงสารท่านตา” ม่อฮูหยินเอ็ดบุตรสาว หวังปิงปิงยิ้มในหน้า ‘ขอตั้งสิบไร่เลยรึ?’ “ที่จริงแล้วท่านตามีที่ทางทั้งหมดกี่ไร่เจ้าคะ” หากให้กล่าวกันตามความจริง คนเป็นแม่ทัพหลวงคงจะร่ำรวยมาก มีกำลังทหารมากและถ้าครั้งก่อนนางเคยขอที่ดินสิบไร่หากท่านตาไม่ใจร้ายคงต้องแบ่งให้หลานทุกคนเท่าๆ กันสินะ “มากกว่าพันไร่” หลีปินตอบน้องสาว “ฮ๊า!!” ร่ำรวยอะไรเช่นนี้ “ที่จริงลูกน่าจะขอสักร้อยไร่นะเจ้าคะ” ป้าบ! ม่อฮูหยินตีแขนบุตรสาว “อย่าโลภให้มันมากนัก ตัวเจ้าเป็นสตรีอีกหน่อยออกเรือนก็จะได้สินสมรสอีกเยอะแยะ จะมีที่ทางมากมายไปทำไม” “ก็เผื่อลูกเป็นสาวเทื้อ มีทรัพย์ มีที่ดินมากถือเป็นลาภอันประเสริฐนะเจ้าคะ” สตรีตัวน้อยยิ้มหวานพลางกอดมารดาผู้ใจดี “ลูกดีใจที่ได้เกิดเป็นบุตรสาวของท่านแม่” ในความรู้สึกของคนจากต่างภพในร่างผู้อื่นนั้น นางคิดเช่นนี้จริงๆ ร่างใหม่นี้ช่างมีพร้อมทุกอย่าง บิดามารดาก็ช่างแสนดีและต่อให้นางเป็นสาวเทื้อ เชื่อเถอะว่าพวกท่านก็คงจะไม่บ่นสักคำ ติดอยู่ที่ยามนี้นางกลับมีบุรุษในใจแล้วน่ะสิ!! “รวมถึงท่านพ่อและพี่ใหญ่ ลูกดีใจที่พวกเราเป็นครอบครัวที่มีความสุข” “กล่าวอย่างไรของเจ้า” หวังหลีปินส่ายหัวพร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใต้ความเงียบยังคงเป็นความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่อยากใส่ใจ “ช่่างข้าเถอะเจ้าคะ” กอดมารดาแล้วคุยกันตามประสาแม่ลูก จวบจนรถม้าเดินทางไปถึงจวนแม่ทัพที่มีประตูเหล็กขนาดใหญ่ปิดเอาไว้ ทหารหลายนายเดินกันขวักไขว่ มีสองนายที่สกัดรถม้าของพวกนางเพื่อตรวจตราพูดคุยกับบ่าวสกุลหวังและเมื่อเห็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพม่อ จึงเปิดทางให้กับรถม้าได้ผ่านเข้าไป “เข้มงวดยิ่งนัก” หลีปินลอบมองปิงปิงพร้อมเอ่ยขึ้นราวกับว่านางมิเคยมาหาท่านตา “เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง หรือเจ้าจำมิได้?” “จำได้สิเจ้าคะ” ยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะพูดแบบเอาตัวรอด “ข้าแค่เบื่อเท่านั้นแต่รู้ว่ามันจำเป็นสำหรับท่านตา” หากให้นางเดา ท่านตาคงเคยถูกคนร้ายลักลอบเข้าจวนผ่านทางประตูนี้แน่ๆ “รู้เช่นนี้ก็ดี ตาเจ้ายิ่งมีอำนาจขึ้นตรงต่อฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียวย่อมมีคนคิดร้ายต่อท่าน ทุกอย่างจึงต้องระวังดังเช่นกำแพงสูงตระหง่านนี่อย่างไร” ม่อฮูหยินชี้ให้บุตรสาวดูกำแพงอย่างไม่ใส่ใจนัก ปิงปิงเพียงแค่พยักหน้ารับพลางมองสองข้างทางที่มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดราวกับนางอยู่ในป่า แม้ใจอยากจะถามรายละเอียดของท่านตาว่ามีบุตรกี่คน ท่านยายชื่ออะไร นางมีญาติสนิทอีกหรือไม่…คงไม่สามารถถามออกไปให้เป็นพิรุธได้ สุดท้ายก็คงต้องไปตายเอาดาบหน้า รถม้าจอดลงตรงทางเดินเข้าไปในจวนขนาดใหญ่หลังเดียว มองด้วยสายตาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจวนกว้างเท่าใด ความตกใจแบบอ้าปากค้างนั้นต้องพยายามหุบปากแล้วเก็บซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแล้วเดินตามท่านแม่กับพี่ใหญ่ไปเงียบๆ เชื่อเถอะว่าถ้าปล่อยให้นางเดินคนเดียวนางต้องหลงทางแน่ๆ ภายในพื้นที่ของสวนอันร่มรื่นมองเห็นบุรุษสูงวัยผมสีดอกเลาเกล้าขึ้นสูงใบหน้าเคร่งขรึมในชุดสีดำสนิทแต่แฝงไว้ด้วยความใจดีนั่งรออยู่ หวังปิงปิงรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางจึงเดินเร็วๆ เข้าไปหา “ท่านตาเจ้าขา” ย่อกายงดงามแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย ^^ “หึหึ” ผู้ถูกเรียกขานว่าท่านตาหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับเอ่ยเย้าแกมจริง “พบกันครานี้เหตุใดใบหน้าเจ้าจึงแตกต่างจากวันวาน” ที่กล่าวนั้นมิได้ห่างไกลความจริงเพียงแค่หลานสาวผู้นี้ดูงดงามสดใสมากกว่าเดิม “หากให้หลานเดา ท่านตาต้องแอบชมในใจว่าหลานงามมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ทำท่าเอียงอาย “ผู้ใดก็กล่าวเช่นนี้เจ้าค่ะ” “ฮ่าๆๆๆ” ท่านแม่ทัพใหญ่หัวเราะเสียงดังลั่นลาน ความดุดันบนใบหน้าห่างหายไปมากกว่าครึ่งกับคำพูดเข้าข้างตนเองของหลานสาว แม้จะเป็นเรื่องจริงดังนางว่าแต่จะมีผู้ใดเล่าหาญกล้ากล่าวชมตนเองเช่นนาง “เป็นดังเจ้าว่า ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดงามเท่าหลานตาแล้ว ฮ่าๆๆ” “ท่านพ่ออย่าเข้าข้างนางเช่นนี้สิเจ้าคะ มิถูกต้อง เป็นสตรีต้องรักษากิริยามิใช่กล่าวยกยอตนเอง” ม่อฮูหยินย่อกายเคารพบิดาก่อนจะนั่งลงด้านข้างบุตรสาว “ไหนดูสิ” เชยคาง “ใบหน้าเดิมแม้จะงามกว่าเดิมแต่เหตุใดกิริยามิเหมือนเดิมเล่า” ก่อนนั้นม่อฮูหยินยอมรับว่าบุตรสาวนั้นมีจริตจะก้าน อาจจะมีบ้างกับกิริยาไม่เหมาะสมในเรื่องของรัชทายาทแต่นางยังคงไว้ซึ่งความเป็นสตรีในห้องหอ พูดน้อย และออดอ้อนญาติพี่น้องเป็นบางครั้งหาใช่พูดจาหยอกล้อหรือโจ่งแจ้งเช่นนี้ หวังปิงปิงยู่หน้า “ลูกแค่อยากเปลี่ยนตัวเองบ้างเท่านั้น ท่านแม่อย่ากังวล” จับมือมารดามากุมไว้ “ยามนี้ลูกโตแล้ว ทุกสิ่งที่ลูกทำและแสดงออกนั่นคือลูกคิดมาดีแล้วเจ้าค่ะ” ยิ้ม ‘เหมือนเรื่องนั้น...กับบุรุษ?’ “เอาเถอะ เจ้าก็พ้นวันปักปิ่นมาร่วมห้าเดือนแล้ว แม้ก่อนนั้นแม่สื่อทั้งหลายต่างพากันหนีหายเพราะเจ้าส่งบ่าวไปจัดการแต่ยามนี้แม่หวังว่ามันคงไม่เป็นเช่นนั้น” มองหน้าลูก “ใช่หรือไม่” แม้ไม่ได้เร่งรัดแต่มารดาเช่นนางก็อยากให้บุตรสาวมีความสุขและมีคนดูแลในบั้นปลายของชีวิต “เฮ้ออ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงมิมีแม่สื่อมาทาบทามเช่นลูกบ้างเล่าเจ้าคะ” ม่อจิ้นจื่อหัวเราะในลำคอในขณะที่ม่อฮูหยินกับหลีปินอ้าปากค้างกับคำพูดนั้น “ลูกเบื่อแล้วกับการเห็นแม่สื่อมาทาบทาม เรื่องคนรักของลูกให้มันเป็นไปตามลิขิตสวรรค์หรือถ้าหากมีแม่สื่อคนใดเข้ามา หากลูกมิพึงใจลูกก็ไม่รับ” กอดเอวท่านแม่ที่ยังคงอ้าปากค้าง “ให้ลูกได้อยู่ไปเรื่อยๆ เช่นนี้จนพบบุรุษอันเป็นที่รักได้หรือไม่เจ้าคะ” ผู้เป็นมารดาได้แต่อ้ำอึ้ง นึกย้อนไปถึงตนเองตอนเป็นสตรีที่พ้นวัยปักปิ่น บิดาของนางหรือก็คือท่านแม่ทัพม่อจิ้นจื่อในยามนั้นมีราชโองการสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้องค์ก่อน มอบให้ขุนนางฝ่ายในหูเสียนเฟยและนางเอง ยามนั้นจำได้ว่านางร่ำไห้บอกกับบิดาไปว่านางมีคนรักแล้วเป็นพ่อค้าสกุลหวัง โชคดีที่พ่อค้าผู้นั้นคือศิษย์ร่วมสำนักกับรัชทายาทมู่เจี้ยนเทียน เรื่องสมรสพระราชทานจึงถูกยกเลิกไป หากตอนนั้นหวังร่วนเทามิได้เป็นสหายกับรัชทายาท นางเชื่อว่าตนเองคงต้องได้สมรสกับขุนนางผู้นั้นและอยู่ร่วมกันโดยไม่ได้รักเป็นแน่ แม่ทัพใหญ่ถอนหายใจและตัดสินให้กับสองแม่ลูก “เอาตามที่เจ้าว่าเถิดหลานรัก ชีวิตนี้เป็นของเจ้าจงเลือกทางเดินของตนเองดังเช่นมารดาเจ้าเคยกระทำ” กล่าวเป็นนัยๆ ให้หลานสาวต้องจับจ้องมารดาตนเองเหมือนต้องการคำตอบแต่แล้วม่อฮูหยินกลับส่ายหน้า “เอาเถิด หากเล่ากันตรงนี้คาดว่าคงไม่จบง่ายๆ เจ้านั่งสนทนากับท่านตาก่อน แม่จะไปหาท่านอาของเจ้าสักครู่” นางหมายถึงน้องสาวผู้กำลังคลอดบุตรสาวคนแรกเมื่อไม่นานมานี้ “เจ้าค่ะ” คล้อยหลังมารดาแล้วจึงหันไปสนทนาเรื่องทั่วไปในจวนของท่านตา ก่อนสาวใช้จะเดินเข้ามาวางโถน้ำร้อน แล้วจัดการลวกอะไรบางอย่างในโถนั้นจนเสร็จแล้วจากไป ‘หืม?’ ปิงปิงก้มมองแล้วถามอย่างสนใจ มันคล้ายกับอาหารบำรุงชนิดหนึ่ง “ท่านตาทานรังนกหรือเจ้าคะ?” นางดมกลิ่นแล้วคิดว่ามันใช่ก่อนจะลงมือต้มมันในโถเล็กตามแบบสาวใช้เมื่อครู่ “หอมมากเจ้าค่ะ หลานถามได้หรือไม่ว่าท่านตาได้มันมาจากที่ใด” จิบไปหนึ่งอึ่กรับรู้ถึงรสชาติกลมกล่อมและเส้นใยของรังนกที่ละลายได้ในปาก มันดีมากกว่ารังนกจากชาติเดิมที่เคยทานนับพันเท่าเพียงครู่เดียวนางกลับรู้สึกหวานละมุนลิ้นตามมาทีหลัง “รสชาติดีมาก” “ตาก็คิดเช่นนั้น” ตาคมของบุรุษวัยกลางคนมองหลานสาวคล้ายกับมองคนแปลกหน้า ‘แต่เดิมหลานสาวมิเคยสอบถามเรื่องเช่นนี้ แต่ละครั้งที่มาไม่พ้นต้องขอท่านตาให้ไปเจรจาเรื่องที่ตนเองพร้อมจะออกเรือน’ แน่นอนว่าแม่ทัพหลวงเช่นเขารึจะไปพูดเรื่องนี้กับฮ่องเต้ได้…ไร้สาระสิ้นดี “จากที่ตาเคยดื่มไปจนครบปี ตารู้สึกว่ากำลังวังชามันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ไม่เหนื่อยง่าย” ที่สำคัญคือเป็นของหายาก มีเพียงนายพรานจากป่าลึกเท่านั้นที่สามารถหามันเพื่อนำออกมาขายในราคาสูงได้ ^^ “หลานขอสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” รีบขอในระหว่างที่ท่านแม่ไปหาน้องสาวของท่านซึ่งอยู่ในจวนทางปีกซ้าย จากที่ไม่ทราบเรื่องราว มาตอนนี้รู้คร่าวๆ ว่าท่านตามีบุตรสาวสองคนที่เกิดจากฮูหยินเอกที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน น้องสาวท่านแม่หรือก็คือท่านน้าม่อเหลียนฮวามีบุตรชายคนโตอายุไล่เลี่ยกันกับพี่ชายของนางและเข้ารับตำแหน่งนายกองเมื่อวันที่มีงานประลองยุทธ์ในวังหลวง ยามนั้นหากนางรู้ นางคงไปนั่งเชียร์จนติดขอบสนาม…แต่ช่างเถอะท่านตาไม่ถาม นางก็จะไม่เอ่ยถึงให้ท่านสงสัย “หืม” เลิกคิ้ว “ตาเพิ่งรู้ว่าเจ้าชอบของบำรุงร่างกายเช่นนี้” หันไปทางพ่อบ้าน “เตี่ยยี่ไปเอารังนกแห้งใส่ห่อให้คุณหนูมากๆ หน่อย” “ขอรับนายท่าน” คล้อยหลังพ่อบ้าน สองตาหลานยังคงคุยกันถึงเรื่องทั่วไปละเว้นเรื่องที่ดินมากมายที่หลานสาวอย่างหวังปิงปิงเคยขอทุกครั้งที่เข้าไปหา แม้ม่อจิ้นจื่อจะรู้ว่านางมิได้จริงจังเรื่องนี้แต่มีบ้างที่ต้องมอบให้นางและหลานคนอื่นเท่าๆ กัน วันนั้นทั้งวันจวนแม่ทัพมีแต่ความวุ่นวายไม่ได้หยุดหย่อนเมื่อสตรีตัวน้อยเดินออกไปสูดบรรยากาศแล้วพบต้นไม้ ดอกไม้หลากหลายชนิด นางกล่าวอ้างว่าครั้งนี้จะขอดอกไม้เพื่อให้ท่านตาไม่ยากจน จนเกินไป คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ดี ๑-------------------๑ เรือนเล็กในจวนสกุลหวัง อาเปามองคุณหนูของนางตั้งใจซักผ้าเช็ดหน้าโดยในน้ำนั้นผสมน้ำหอมจากต่างแดนลงไปด้วย ตัวสาวใช้นั้นมีความสงสัยอยู่ในทีแต่ยังมิกล้าสอบถามจนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นถูกแขวนเอาไว้ตรงหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ยามอิ่ว (18.00) เช่นนี้ลมพัดเบาๆ เย็นสบายชวนให้สาวใช้เช่นนางมองคุณหนูไป ยิ้มไป แล้วเพ้อฝันถึงคุณชายสกุลใหญ่สักคนให้หาญกล้าส่งแม่สื่อมาตามหาฮูหยินเพื่อจับจองคุณหนู ‘แต่เดี๋ยวก่อน!!’ นางลืมอะไรไปรึเปล่า “คุณหนูเจ้าขา” หวังปิงปิงผู้นั่งเฝ้าผ้าเช็ดหน้าสีครีมครางรับ “หืม” โดยไม่หันไปมอง “บ่าวจำได้ว่าคุณหนูพึงใจเจ้าของผ้าเช็ดหน้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” ถึงยามนี้ นางจำได้แล้วว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นของผู้ใดจึงละเว้นที่จะเอ่ยถึงนามของคนผู้นั้น หัวคิ้วน้อยๆ ของอาเปานึกย้อนไปถึงวันที่นางเข้าวังกับคุณหนู ‘คุณหนูหอมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไม่หยุด’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD