ต้านไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ^^

2410 Words
“หากเป็นเช่นนั้นอาจจะหายากสักหน่อยแต่ก็มิใช่ว่าจะหามิได้” ลูบปลายคาง “หากนั่นคือบุรุษที่เจ้าแอบชอบพี่ย่อมช่วยเหลือ” ลุกขึ้นยืน “มาเถอะ” เดินนำออกไปด้านนอกเพื่อเข้าโรงครัว แม้จะมีนางกำนัลเดินกันขวักไขว่แต่นั่นมิใช่ปัญหาในเมื่อทุกคนล้วนแต่ต้องรีบทำตามหน้าที่ของตนเองไม่ต่างกับอาฟั่น เพียงแต่นางจะมีหน้าที่ยกสำรับจากโรงครัวไปส่งตามตำหนักต่างๆ เท่านั้น มิได้ขึ้นตรงกับตำหนักใดเป็นพิเศษ จึงค่อนข้างมีเวลามากในการเดินแอบขายปิ่นปักผมไม่เว้นยามนี้ “เจาถิง วันนี้ข้าได้ปิ่นมาเพิ่มอีกหลายร้อยชิ้น หากเจ้าว่าง มาหาข้าได้ตลอดนะ” เจาถิง หนึ่งในนางกำนัลยกสำรับตาโต “จริงรึ” ระหว่างเรียงคิวถือถาดคนละถาด นางกำนัลหลายคนต่างร้องถามอย่างสนใจ ปิ่นที่อาฟั่นเอามาขาย ทุกชิ้นล้วนเป็นของดี เสียงพูดคุยดังระงม “จริงสิ มาช้าอดเลือกของดี เดี๋ยววันนี้ข้ากับน้องใหม่จะไปตำหนักหลงซิ่ว ที่เหลือพวกเจ้าก็กระจายกันไปเถอะเดี๋ยวข้ากลับมาถึงก่อนจะได้ไปเตรียมของไว้รอ” ที่กล่าวเช่นนี้เพราะตำหนักหลงซิ่ว ตำหนักของฮ่องเต้อยู่ใกล้โรงครัวมากกว่าตำหนักอื่น นางจึงกล่าวดักเอาไว้และใช้ของเข้าล่อซึ่งเหล่าลูกค้าทั้งหลายของนางนั้นย่อมเห็นด้วยเป็นแน่ นางกำนัลนับยี่สิบคนต่างพยักหน้า ในที่นี้มิมีใครสนใจใครเพราะต่างก็ใส่ชุดนางกำนัลเหมือนๆ กันรวมถึง…ปิงปิงและอาเปา ๑--------------------๑ ตำหนักหลงซิ่ว:ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียน ยามนี้หน้าตำหนักหลังใหญ่มีขันทีชรายืนรอรับสำรับเย็นตามปกติที่นางกำนัลทั้งหลายพบเห็นเป็นประจำ ข้างกายขันทีผู้นั้นยังมีขันทีรุ่นเยาว์อีกสามคนจับกลุ่มคุยกันเป็นปกติและรอบตำหนักใหญ่ยังมีนายทหารฝีมือดีคอยเฝ้าอารักขา ไม่นับรวมองครักษ์เงาขั้นหนึ่งอีกหกร้อยกว่านายกระจายไปทั่วพื้นที่หนึ่งลี้ แน่นอนว่าองครักษ์ทุกคนล้วนไปมาไร้เสียง ไร้ร่องรอย จะเรียกหาแต่ละครั้งคงมีเพียงฝ่าบาทผู้เดียวที่พวกเขาจะฟังคำสั่ง “มาแล้วๆ” อาฟั่นร้องเรียกให้เหล่าขันทีหันมามอง “สำรับมาแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งถาดจากมือนางยกให้ขันทีน้อย หวังปิงปิงเองก็ทำตามบ้างแต่แทนที่นางจะส่งให้ขันทีน้อยอีกคน นางกลับส่งมอบถาดนั้นให้ขันทีชราสี่สุ่ย!! “มายื่นให้ข้าด้วยเหตุใด” ขันทีคนสนิทของฝ่าบาทมองนางกำนัลที่เอาแต่ก้มหน้ายื่นถาดสำรับด้วยความสงสัย แล้วคำถามนั้นก็ถูกเฉลยเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตา “หวังปิงปิง?” ‘นี่นางมาอยู่ในชุดนางกำนัลได้อย่างไร’ “เหตุใด เจ้า!!” ^^ เจ้าของนามยิ้มหวานกระจ่างใส ไร้ท่าทีหวาดกลัว ถึงแม้ว่าตนนั้นจะถูกจับได้ “ท่านลุงสุ่ย ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” นางกล่าวกับขันทีชราก่อนจะหันไปบอกพี่อาฟั่น “ขอบคุณพี่อาฟั่นที่มาส่งข้า อีกครู่ข้าจะเดินกลับเองนะเจ้าคะ” อาฟั่นมองสลับหวังปิงปิงผู้น่ารักกับขันทีสูงวัย พร้อมกับคิดว่า ‘ทั้งคู่รู้จักกัน นั่นแสดงว่าที่หวังปิงปิงกล่าวไว้นั้นมิใช่คำโป้ปด นางแอบชอบบุรุษในตำหนักนี้แน่ๆ’ “อืม” ก่อนจะเดินกลับไปด้วยตัวคนเดียว ขันทีสี่สุ่ยพยักหน้าให้ขันทีทั้งสามนำสำรับเข้าไปในตำหนักเพราะอีกหนึ่งเค่อก็ถึงเวลาตั้งสำรับแล้ว แต่ก่อนจะได้ทำสิ่งใดเขาต้องถามสตรีอ่อนวัยหน้าแฉล้มนางนี้ก่อน “มีเรื่องใดหรือไม่” ที่ถามเพราะขันทีแก่เช่นเขาแอบคาดหวัง พยักหน้า “มีเจ้าค่ะ” ล้วงผ้าและห่อรังนกของท่านตาออกมาจากอกเสื้อ “ข้านำผ้าเช็ดหน้ามาคืนฝ่าบาท พร้อมกับรังนกสมุนไพรแสดงความขอบคุณ” ‘ผ้าเช็ดหน้า? ของใช้ส่วนพระองค์?’ “เช่นนั้นฝากไว้ที่ข้าได้” แบมือออกไปรับ...แต่นางไม่ส่งให้เขา “ข้าอยากนำมันไปคืนด้วยตนเอง และอีกอย่างคือรังนกชนิดนี้ข้าได้มาจากท่านตา มีเพียงข้าที่ต้มเป็นเจ้าค่ะ” ^^ “มันซับซ้อนเกินกว่าที่ท่านลุงสุ่ยจะเข้าใจ” ขันทีสูงวัยส่ายหัวไม่ยินยอมกับคำขอของนาง ‘เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ จะเป็นผู้ใดทำก็ได้’ “จะซับซ้อนอย่างไรคงไม่ต่างกับอาหารอื่นๆ นอกเสียจากว่าเจ้าแค่นำมันมาเพื่อกล่าวอ้าง ส่งมา” คำหลังเสียงเข้มเมื่อไม่เห็นประโยชน์ หวังปิงปิงใจเสียไปเกินครึ่งแต่เมื่อมาถึงที่ นางย่อมต้อง สู้!! “ใช่เจ้าค่ะ ข้าแค่กล่าวอ้างจริงอย่างที่ท่านลุงว่า ดังนั้น” สูดลมหายใจเข้าปอดดังเฮือก “ข้าจะไม่อ้อมค้อมอะไรอีกนอกจากอยากจะบอกท่านลุงว่า ข้า หวังปิงปิงอยากพบฝ่าบาท ผู้เป็นรักแรกที่ข้าลืมไม่ลง” เม้มปาก “ท่านลุงไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้ แต่ข้าสาบานตรงนี้เลยว่าข้ามิใช่คนโกหก รักแรกสำหรับข้าที่มิใช่กับรัชทายาทแต่เป็นฮ่องเต้ของท่าน” มองขันทีชราด้วยสายตาแน่วแน่ จะบอกว่านางวัดดวง ก็คงใช่ เพราะการรับมือกับท่านลุงสี่สุ่ยนั้นไม่อยู่ในแผนเลย สถานการณ์จริงยามนี้คือ คิดสดล้วนๆ “_” ไร้เสียงห้ามปรามใดออกมาจากปากขันทีสูงวัยนอกจากสายตาจ้องมองสตรีอ่อนเยาว์ที่จ้องกลับ ‘รักแรกที่ลืมไม่ลง’ หากจะกล่าวออกไปว่าไม่เชื่อคงไม่ได้เพราะนางมิเคยพบกับฝ่าบาทเลยสักครั้งแม้นางจะเป็นบุตรสาวของสหายคนสนิทของฝ่าบาท รึนางเคยเข้าวังมาก่อนนั่นก็คงจะไม่ใช่ในเมื่อขันทีเช่นเขาตามติดฝ่าบาทยิ่งกว่าเงาตามตัวและมั่นใจมากว่านางมิเคยพบพระพักตร์ของพระองค์…จนวันนั้น วันประลองยุทธ์ ขันทีสี่สุ่ยมิได้เอ่ยห้ามหรือสนับสนุนใดๆ นอกจากหันหลังเดินเข้าตำหนัก ในหัวพร่ำบ่นซ้ำไปซ้ำมา ‘แค่นี้ล่ะ ที่ข้าอยากได้ยิน’ หวังปิงปิงวิ่งตามติดโดยสั่งอาเปาว่า “รอด้านนอกนี่นะ” ชี้ไปที่ริมประตูเพื่อหลบสายตาคนอื่น อย่างน้อยนางก็ผ่านไปแล้วสองด่าน ที่เหลือคือไปตายเอาดาบหน้าอีกครั้ง สองขาเรียวในชุดนางกำนัลเดินตามขันทีชราเพื่อไปยังสวนสวยกลางตำหนัก ปิงปิงเดินผ่านห้องทรงงาน ผ่านห้องหนังสือเหมือนครั้งก่อนที่นางเคยมากับบิดา ก่อนที่ขันทีชราจะเอ่ยกับฝ่าบาทเสียงไม่ดังนัก “มีสตรีนางหนึ่งมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ก่อนจะรีบเดินหนีไปทันที หวังปิงปิงหน้าเหวอทันทีเมื่อนางถูกท่านลุงสุ่ยทิ้งเอาไว้กลางคัน นางยืนก้มหน้างุด ตัวสั่นน้อยๆ ราวกับกลัวความผิด (ซึ่งก็ผิด) ในมือขยำผ้าเช็ดหน้าสีครีมจนยับย่นไปหมด ใครเลยจะรู้ว่าการลักลอบเข้ามายืนตรงจุดนี้มันน่ากลัวกว่าตอนเข้าวังทางประตูด้านหลังแล้วพบทหารยามเสียอีกแต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมท่านลุงสุ่ยรีบเดินหนีไปโดยทิ้งนางเอาไว้ให้รับหน้าเพียงคนเดียวเล่า! ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียนมองสตรีในชุดนางกำนัลที่บังอาจเข้ามาโดยที่ตนไม่เคยเรียกใช้ รอบกายยามนี้นอกจากองครักษ์ในเงาที่เฝ้าระวังภัยแล้วกลับไม่มีขันทีเลยสักคนเดียว แม้แต่สี่สุ่ยคนสนิทก็ยังกล้ามาทิ้งนางเอาไว้ตรงนี้!! ดวงตาคมจับจ้องสตรีตัวน้อยจนเห็นในมือของนางขยำผ้า? คล้ายๆ ว่านั่นคือผ้าเช็ดหน้า ‘รึว่า?’ “หวังปิงปิง?” เจ้าตัวสะดุ้งโหยงราวกับเป็นโจรถูกจับได้ “เจ้าค่ะ” เงยหน้าแดงๆ มองสบตาบุรุษรูปงาม…ที่มองอย่างไรก็รูปงามในชุดลำลองสีน้ำเงิน ผมยาวปล่อยสยายดูหนุ่มแน่น ‘ใจปิงปิงบางไปหมดแล้ว’ “เจ้าปลอมเป็นนางกำนัล เพื่อ?” “เพื่อนำผ้าเช็ดหน้ามาคืนตามที่เคยบอกไว้เจ้าค่ะ” ละไว้ไม่เอ่ยถึงคำราชาศัพท์เพราะนางกล่าวเช่นนั้นไม่เป็น หากฝ่าบาทจะทรงลงโทษนาง คงทำไปแล้วก่อนหน้านี้ที่นางมากับบิดา “และเอารังนกจากท่านตามาฝากด้วยเจ้าค่ะ” อ้างถึงท่านตาม่อจิ้นจื่อเพื่อที่นางจะได้อยู่รอดปลอดภัย “_” จ้องทุกย่างก้าวที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ตรงที่ประทับ กลิ่นหอมสะอาดลอยเข้าปะทะจมูกและเขาจำได้ว่ามันคือกลิ่นจากกายนางเหมือนเมื่อคราวก่อนที่ได้สัมผัส…สัมผัสแค่ปลายนิ้ว เมื่อผ้าเช็ดหน้าผืนยับย่นถูกวางลงบนโต๊ะว่างตรงหน้า แทนที่จะโมโหในเรื่องที่นางลอบเข้ามา หรือโมโหเรื่องผ้าเช็ดหน้ายับย่น ‘น่าแปลก’ ที่ความรู้สึกพวกนั้นกลับไม่มีอยู่เลย นอกจากการกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนนางมอง สบตา ผู้บุกรุกแบมือที่มีห่อผ้าอยู่ “รังนกนี้มีเพียงขะ...” หัวคิ้วสวยขมวดยุ่งกับคำว่า ข้า ที่นางควรรึไม่ควรจะกล่าว ‘แต่ไม่เอาดีกว่า’ “รังนกนี้มีเพียงปิงปิงเท่านั้นที่ต้มเป็นเจ้าค่ะ” แทนด้วยนามตนเองคงจะน่ารักกว่า ‘ปิงปิงรึ?’ มิเคยมีผู้ใดกล่าวเช่นนี้กับพระองค์ แม้จะไม่เข้าใจแต่ยังคงแสร้งทำหน้านิ่งๆ เฝ้ามองนางในชุดนางกำนัลเดินไปซ้ายทีขวาทีราวกับที่แห่งนี้เป็นจวนของตนเอง ก่อนจะได้ยินนางเอ่ยเรียกหาขันทีชราว่า...ท่านลุงสุ่ย? ยิ่งไม่เข้าใจว่าบุตรสาวของศิษย์พี่ผู้นี้ไปทำความสนิทสนมกับขันทีคนสนิทของตนยามไหนกัน เพียงไม่นาน เตาไฟอันเล็กและหม้อต้มน้ำก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า จากนั้น ปิงปิง ก็คลี่ห่อผ้าออก ในนั้นมีของบางอย่างลักษณะเป็นเส้นสีขาวเกาะกลุ่มกันอยู่ “นี่คือรังนก ท่านตาของปิงปิงกล่าวว่าทานแล้วจะแข็งแรงเจ้าค่ะ” พูดไปพร้อมกับมือไม้หยิบจับของใช้อย่างคล่องแคล่ว “ของม่อจิ้นจื่อรึ” “เจ้าค่ะ ปิงปิงไปเยี่ยมท่านตามาเมื่อวานเห็นว่ามันดีต่อสุขภาพจึงนึกถึงฝ่าบาท” “นึกถึงเรา?” ใบหน้านางเริ่มแดงมากกว่าลูกมะเขือเทศสุก เมื่อเผลอกล่าวคำคล้ายสารภาพความในใจ “เอ่อ...” แต่จะให้ย้อนกลับไปพูดใหม่ ผู้ใดจะทำได้ จึงตอบย้ำไปอีกครั้งว่า “เจ้าค่ะ” “_” ฮ่องเต้รูปงามไม่ต่อความใดอีกนอกจากมองมือขาวบางนำกระชอนใบเล็กวางไว้ในหม้อ แม้ดวงตาคอยเฝ้ามองแต่สมองกำลังครุ่นคิดไปอีกทาง ‘นางตอบว่าเจ้าค่ะ...นั่นหมายถึง นึกถึง’ ในสถานะใดเล่าในเมื่อนางและเขาพบเจอกันเพียงสองครั้งเท่านั้น ไม่นับรวมครั้งนี้ จะให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองราวกับบุรุษหนุ่มหัดรักคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่เคยสัมผัสกับช่วงเวลาเหล่านั้นสักครั้ง “รู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าปลอมตัวและลอบเข้ามานั้นมีความผิด” เจ้าของมือบางพยักหน้าใสๆ “รู้เจ้าค่ะ” เม้มปากอย่างชั่งใจ ก่อนจะคิดได้ว่าโอกาสพูดความในใจแบบสองต่อสองเช่นนี้มันหาไม่ได้ง่ายๆ เมื่อแผนของนางผ่านมาแล้วสองด่าน เหลือแค่ด่านสุดหินตรงหน้านี้ล่ะ ‘ที่เป็นด่านชี้ชะตาของนางจริงๆ ซึ่งนางก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว’ “แต่ปิงปิงต้านไว้ไม่ไหวแล้ว” ท้ายน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แม้มีความผิด นางก็มั่นใจว่าโทษที่ฝ่าบาทจะมอบให้ คงเป็นโทษสถานเบาเท่านั้นด้วยเพราะอาจจะเกรงใจบิดาและท่านตาของนาง หรือหากว่าไม่ลงโทษเลยก็ถือเป็นเรื่องดี “ต้านสิ่งใด” “ความคิดถึง” กึ่ก!! วางกระชอนอันเล็กเอาไว้ แล้วยกมือขึ้นปิดหน้า ‘ไม่รู้ทำไมปากนางจึงไวกว่าความคิด’ แล้วความอายครั้งนี้จะต่ออย่างไรให้ติดได้ “_” ใจบุรุษผู้ครองแคว้นมู่กระตุกอย่างรุนแรง ‘คิดถึงแบบใด?’ เรื่องเช่นนี้มิควรกล่าวขึ้นมาลอยๆ และคิดไปเอง ยิ่งสตรีตรงหน้าคือบุตรสาวของสหายที่ตนควรเว้นระยะห่างใช่รึไม่? “หากเรามีบุตรสาวเช่นเจ้าคงจะดีไม่น้อย น่าอิจฉาศิษย์พี่ร่วนเทายิ่งนัก” หันหน้าไปทางอื่น ผู้ฟังลดมือลงและโต้กลับอย่างรวดเร็วกับความเข้าใจไปคนละทางของอีกฝ่าย นางอยากจะย้ำให้ฮ่องเต้ตรงหน้าได้เข้าใจและมองนางเป็นสตรีคนหนึ่ง มิใช่บุตรสาวของสหายหรือสตรีที่ต้องถอยห่าง การแสดงออกของนางครั้งนี้ นางมั่นใจว่าฝ่าบาททรงรู้แต่อาจจะอยากหลีกเลี่ยง ซึ่งนางจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น สู้!! “ปิงปิงมิได้อยากเป็นบุตรสาวหรือลูกสะใภ้แต่อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า หากฝ่าบาทอิจฉา ปิงปิงจะเข้ามาต้มรังนกให้ทาน เมื่อใดก็ได้ขอเพียงฝ่าบาททรงสั่งคนไปเรียกหา” แม้จะหน้าแดงแต่นางก็ยังต้องตักรังนกที่ต้มจนหอมแล้วใส่ถ้วยใบเล็กให้ฝ่าบาท ก่อนจะตักออกมาแล้วชิมมันให้ดูก่อน “รสชาติดีมากเจ้าค่ะ ยามนี้เกือบถึงกำหนดสองเค่อแล้ว ปิงปิงต้องรีบกลับก่อนที่ทหารยามผู้นั้นจะปิดประตูด้านหลัง หากฝ่าบาทคิดถึง” ช้อนตามองอย่างมีจริต “คิดถึงรังนกและมิมีผู้ใดต้มให้ทาน ขอให้คิดถึงปิงปิงก่อนเรียกใช้ผู้อื่นนะเจ้าคะ” ย่อตัวงดงาม “ทูลลาเจ้าค่ะ” ^^ รีบเดินจากไปก่อนที่ตนเองจะกรีดร้องออกมาราวกับสตรีวิปลาสเพราะความไร้ยางอายของนาง บุรุษสูงศักดิ์มองรังนกสลับกับผ้าเช็ดหน้ายับย่น “ผู้ใดเฝ้าประตูหลัง” กล่าวขึ้นมาลอยๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD