“ฮ่องเต้เสด็จ!!!!”
สายตาผู้คนนับครึ่งพันหันขวับไปยังทิศทางเดียว ไม่ต่างจากสตรีที่นั่งในศาลาติดริมทางเดินอย่างหวังปิงปิง ตากลมจับจ้องหนึ่งบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในระยะหนึ่งร้อยหลาโดยไม่ละสายตา จากไกลเป็นใกล้ จากที่ไม่คิดอะไร กลับคิดและหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง!! นางมองพระพักตร์คมเข้มนั้นในระยะห่างเพียงห้าช่วงคนเดินผ่าน ริมฝีปากบางอมชมพูเปรยออกมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ “หล่อเกินต้านจริงๆ” ‘บุรุษผู้นี้ช่างรูปงามเหนือใครในใต้หล้าจริงๆ’ ก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อกลุ่มของฮ่องเต้กำลังเดินผ่านไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งตามติดคนกลุ่มนั้น แต่ดวงตาของนางจับจ้องเพียงแผ่นหลังกว้างในชุดสีน้ำเงินเข้มของบุรุษเพียงคนเดียว
เยี่ยนมิ่งลี่มองสหายที่อายุห่างจากนางเพียงสามเดือนด้วยความแปลกใจ “อย่างไรนะ” มองตามสายตาของหวังปิงปิง “ฮ่องเต้น่ะรึ” เอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับคิดวิเคราะห์ “รูปงามแต่อายุพอๆ กับบิดาข้า” คำหลังนั้นกระซิบเบาๆ
ปิงปิงลอบถอนหายใจ ‘เจ้าจะไปรู้อะไรมิ่งลี่ นั่นล่ะ daddy ในฝัน’ ก่อนจะหันไปอีกทางแต่ภาพฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียน ที่อยู่ในฉลองพระองค์สีน้ำเงินขลิบทองปักลวดลายมังกรงดงามกลับวนลูปอยู่ในสำนึก ความธรรมดาของพระองค์ที่มาด้วยทรงผมเกล้าขึ้นศีรษะเพียงครึ่ง ปักปิ่นลายมังกรสีทอง ‘ช่างเข้ากันดีกับใบหน้าคมเข้มบาดใจนั้นยิ่งนัก จมูกโด่ง ปากหยักสวยไร้รอยยิ้ม’ ปิงปิงหลับตา ส่ายหน้าไปมาราวกับอยากจะสลัดภาพจำนั้น...ภาพที่พระองค์ย่างพระบาทผ่านหน้านาง ชั่วจังหวะหนึ่งที่เผลอสบตากัน ลมหายใจของนางขาดห้วงไปนานนับนาที กว่าจะรู้สึกตัวว่าต้องหายใจ บุรุษสูงส่งผู้นั้นก็เดินห่างออกไปประทับยังศาลาใหญ่แล้ว รอบกายพระองค์ที่นางสังเกตเห็นมีฮองเฮาและสนมอีกสามนางเฝ้าติดตาม (ไม่นับนางกำนัลกับขันที) มันคือความธรรมดาของฮ่องเต้ที่ย่อมต้องมีสตรีสูงส่งบุตรสาวขุนนางใหญ่คอยเสริมอำนาจ เบื้องลึกเบื้องหลังของพระองค์นั้นคือสิ่งที่นางไม่เคยรู้เพราะในนิยายเรื่องรัชทายาททวงรักมิเคยได้กล่าวเอาไว้ นางรู้แค่เพียงบิดาของนางกับฝ่าบาทคือศิษย์ร่วมสำนักศึกษาในวัยเยาว์เท่านั้น ตากลมพยายามเลื่อนมองทหารสู้กันกลางลานกว้าง เสียงกระบี่ฟาดฟันดังเรียกสตินางเป็นระยะๆ แต่ไหนเลยจะช่วยได้ในเมื่อนางเห็นใบหน้าของทหารพวกนั้นเป็นพระพักตร์ของฮ่องเต้ทั้งหมด!!
๑-------------------๑
ศาลาหลวง
“นั่นว่าที่พระชายาของรัชทายาทมู่หรงหลาน ใช่หรือไม่เพคะฮองเฮา” เต๋อเฟยต้วนชิงหลิวชี้ไปยังศาลาเล็กหลังหนึ่ง “สตรีที่สวมชุดสีชมพู ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นอย่างไรเล่าเพคะ” ลอบแสยะยิ้ม
ทั้งศาลามองไปยังทิศที่เต๋อเฟยชี้ ไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียน
กู้ฮองเฮาชักสีหน้า “ว่าที่ชายาอย่างไร นางเป็นบุตรสาวของอนุสกุลเยี่ยนข้ามิอาจมอบตำแหน่งนั้นให้นางได้แน่” กู้หลานหนิงที่ในอดีตเคยเป็นสนมขั้นเฟยแต่ด้วยให้กำเนิดองค์ชายน้อยเป็นคนแรกบวกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน รัชทายาทในตอนนั้นหรือก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงต้องขึ้นดำรงค์ตำแหน่งก่อนเวลาอย่างไม่มีทางเลือกพร้อมกับนางถูกแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาในอีกสามปีให้หลัง ขณะนั้นฝ่าบาททรงมีสนมขั้นเฟยอีกสองคนคือต้วนชิงหลิวและซือยี่อัน ต่อมาได้รับสตรีผู้เป็นบุตรสาวขุนนางในเขตปกครองเชื่อมต่อระหว่างแคว้นมู่และแคว้นจินเข้ามาอีกหนึ่งคนในขั้นผินคือจงเมียวเมี่ยว ยามนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นเสียนเฟยแล้ว ดีเท่าไหร่ที่ฝ่าบาทมิได้ทรงรับสนมใดมาเพิ่ม ตลอดจนขุนนางคนใดเสนอบุตรสาวมามีอันต้องถูกพักงานอยู่ร่ำไป นั่นถือเป็นเรื่องดีเพราะถึงแม้นางจะมีอำนาจมากที่สุดในวังหลังแต่สนมเหล่านี้ก็หาได้เชื่อฟังนางจริงๆ ไม่ มีแต่หาเรื่องค่อนแคะกันไม่เว้นแต่ละวัน “แล้วสตรีที่นั่งเคียงข้างในชุดสีฟ้านั่นเล่า นางคือผู้ใด” สตรีน้อยคนนักจะสวมชุดสีฟ้าเกือบน้ำเงินเช่นนี้ แต่ฮองเฮาเช่นนางกลับกล่าวว่ามันมิงามมิได้ ในทางกลับกันมันงามขับกับผิวขาวสะอาดของนางผู้นั้นนัก ‘สตรีรุ่นเยาว์ ย่อมมีผิวพรรณผุดผาด ใบหน้าล้วนกระจ่างใสต่างจากนางที่อายุเริ่มจะเข้าสามสิบเอ็ดเทียบเท่ากับฝ่าบาท
“นางคือหวังปิงปิงเพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าว
“หวังปิงปิง บุตรสาวของหวังร่วนเทาน่ะรึ” กู้ฮองเฮานึกไปถึงสหายคนสนิทของฝ่าบาทที่ยามนี้เป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง สินค้าหรือของใช้ทุกชิ้นในวังนี้ล้วนมาจากจวนสกุลหวังทั้งสิ้น ที่สำคัญคือหวังปิงปิงเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกม่อเจียวหลิน ซึ่งม่อเจียวหลินนี้รึก็คือบุตรสาวคนโตของท่านแม่ทัพใหญ่ม่อจิ้นจื่อผู้คุมอำนาจทหารทั้งหมดในเมืองหลวง “สตรีน้อยนางนี้สิ ที่คู่ควรกับรัชทายาทของข้า”
ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียนมองสตรีตัวน้อยที่ตนมิเคยพบหน้ามาก่อนอย่างสนใจ แม้เขาและบิดาของนางจะเป็นสหายสนิทกัน แต่นานๆ ครั้งหากว่างเว้นจากงาน เขาจึงจะมีเวลาเชื้อเชิญฝ่ายนั้นเข้าวังหลวงเพื่อร่ำสุรา รู้อยู่แล้วว่าหวังร่วนเทามีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวสองคนแต่ไม่คิดว่าบุตรสาวคนโตจะงดงามและมีเสน่ห์เช่นนี้ หันพระพักตร์กลับไปยังลานกว้างเมื่อสตรีตัวน้อยที่นึกถึงหันหน้ามามองเขา ‘ตกใจ’ นั่นคือสิ่งที่รู้สึก
๑-------------------๑
การประลองเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนผู้มาเข้าชมอย่างปิงปิงเบื่อหน่าย หลายครั้งที่นางลอบมองไปยังศาลากลางหลังใหญ่ที่บุรุษผู้นั้นประทับอยู่ จนรู้สึกว่าตนเองคงใกล้จะหมดความอดทนไปทุกขณะแล้วเมื่อในหัวมีแต่ภาพของคนผู้นั้นไม่รู้ลืม ‘เช่นนั้นการออกไปจากตรงนี้ มันคงจะเป็นเรื่องดี’ “ข้าจะไปปลดเบา ต้องไปทางไหน”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่รัชทายาทกำลังจะประลองแล้ว เจ้ารอก่อนได้หรือไม่ปิงปิง เดี๋ยวข้าจะไปส่ง” มิ่งลี่บอกสหายแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของรัชทายาทผู้นั่งเตรียมพร้อมในลำดับถัดไป
หวังปิงปิงเม้มปาก ตานางมิได้จับจ้องกลางลานแต่นางจ้องไปยังศาลาหลังใหญ่อีกครั้ง เห็นอยู่ว่าเมื่อครู่ฝ่าบาทมองนาง? ‘ไม่สิ! พระองค์อาจจะมองมิ่งลี่ว่าที่ลูกสะใภ้ที่แสนจะงดงามก็เป็นได้’ “ไม่เป็นไร ข้าไปกับอาเปาสองคนก็ได้เจ้านั่งชมคนรักของเจ้าตรงนี้เถิด อย่าห่วงเลย”
มิ่งลี่หน้าแดง “คนรักอันใดของเจ้า” นางเขินอายต่อสายตาผู้คนในศาลาซึ่งได้รับเชิญให้มาชมการประลองเช่นเดียวกันกับนาง บางคนรู้จักกัน บางคนไม่รู้จักแต่นางก็ยังเขินอายกับคำพูดของสหายอยู่ดี “เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ลองสอบถามทหารยามแถวนั้นดูก็ได้”
“อื้ม” หวังปิงปิงลุกขึ้นช้าๆ โดยมีอาเปาเดินตามหลัง วันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าเข้มมันวาวแม้ไม่เข้มขรึมเหมือนฝ่าบาทแต่ก็มิได้จืดจางจนมองไม่ออกว่าเป็นสีใด สตรีรูปร่างอรชรเดินไปตามเส้นทางอย่างมาดมั่น ไม่ว่านางจะย่างก้าวไปที่ใดบุรุษทั้งหลายต่างเหลียวมองแต่สตรีงดงามเช่นนางกลับไม่สนใจ เป็นเพราะภาพจำนั้น…ยังคงติดตา
“นั่นแม่หนูปิงปิงใช่หรือไม่”
เจ้าของนามหันไปมองก่อนจะยิ้มกว้าง ^^ “ท่านป้าฟ่าง” ก้มหัวให้สตรีสูงวัยเล็กน้อยเพื่อทักทาย “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” ท่านป้าฟ่างผู้นี้คือแม่ครัวในวังหลวงหรือขาประจำในยามที่ของสดลงจากเรือใหม่ๆ ปิงปิงจำได้ไม่ลืมเพราะท่านป้านั้นช่างเก่งกาจในเรื่องการต่อรองสินค้าเหลือเกิน
“ยินดีที่ได้พบเช่นกัน” ป้าฟ่างในชุดคนครัวอุ้มตะกร้าใส่ผักเดินนำไปด้านหลัง “มาชมการประลองรึ”
“เจ้าค่ะ ข้ามาส่งมิ่งลี่เฝ้าดูรัชทายาทเท่านั้น มิมีสิ่งใดสำคัญ”
^^ “นึกว่ามาเฝ้าดูบุรุษใดเสียอีก”
หวังปิงปิงแอบอมยิ้ม ใจนึกไปถึงพระพักตร์ฮ่องเต้แต่ก็รู้ดีว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้ ‘บุรุษสูงศักดิ์เช่นนั้นมันเกินเอื้อมเกินไป’ นางจึงตัดสินใจเดินออกมาจากลานกว้างนั้นเพื่อลบภาพจำ “ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่ห้องปลดเบาไปทางไหนเจ้าคะ”
“อ้อ ตามมาๆ” เดินนำสองสตรีรุ่นเยาว์ไปข้างๆ โรงครัว ก่อนจะชี้ไปยังห้องห้องหนึ่ง “นั่นคือห้องพักของป้า เข้าไปปลดเบาข้างในก่อนเถิด”
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ”
“เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในงานเสีย เผื่อจะเจอบุรุษถูกใจสักคน”
^^ “เจ้าค่ะ” หวังปิงปิงไม่ต่อความยาว นางสั่งให้อาเปาเฝ้าอยู่ด้านนอกก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่มีของใช้และที่นอนของสตรีอยู่ ด้านในสุดเป็นห้องชำระล้างและปลดหนัก ปลดเบา ซึ่งนางก็ใช้เวลาเพียงครู่ก่อนจะเดินออกมาด้านนอก จำได้ว่าท่านป้ามีบุตรสาวเป็นนางกำนัลในวังซึ่งก็คือพี่อาฟั่นที่นางคุ้นเคยนั่นเอง ด้วยความมีมารยาทเมื่อนางเสร็จธุระแล้วจึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที ก่อนจะร้องเรียกหา “อาเปา” แต่สาวใช้ของนางกลับหายไปที่ใดมิรู้ได้ สองขาเล็กเดินวนดูรอบๆ บริเวณ “อาเปา” เรียกอยู่เกือบสองจิบชาจึงตัดสินใจว่าจะเดินกลับศาลาเอง ทางเดินในวังหลวงนั้นกว้างขวาง มองเห็นโรงครัวด้านหลังในสายตา ห่างจากตรงนี้เป็นสวนดอกไม้ ไกลไปทางซ้ายมือเป็นตำหนักขนาดใหญ่ ด้านขวาอีกไม่ไกลทะลุออกไปสู่ลานกว้างที่นางจะต้องกลับไปนั่งชมการประลอง จู่ๆ สองขากลับหยุดนิ่งเมื่อคิดว่าหากนางกลับถึงศาลาตอนนี้จะต้องกลับไปพบรัชทายาท บุรุษของมิ่งลี่กำลังต่อสู้อยู่เป็นแน่ สุดท้ายจุดหมายของนางก็คือสวนด้านข้างทางเดินที่มีสระน้ำใสสะอาดอยู่ตรงนั้น รอบบริเวณไร้นางกำนัลเดินผ่าน ไร้ทหารวนเวียนเพราะทุกคนล้วนแต่ไปรอชมการประลองที่รู้อยู่แล้วว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ฟุ่บ!! หวังปิงปิงนอนหงายลงบนพื้นหญ้าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ท้องฟ้ากระจ่างใสเผลอให้คิดถึงชาติภพเดิม ชาติภพที่นางเคยอ้วนท้วนสมบูรณ์ เวลาว่างนอนกินขนมอ่านนิยายรึไม่ก็เดินเที่ยวห้างกับเพื่อนสาวหลายๆ คน ‘เฮ้อ’ ยามนี้เวลาผันผ่านมาร่วมสองเดือนแล้ว คงมีใครสักคนไปเปิดห้องของนางแล้วกระมัง ‘ในห้องเช่าห้องนั้นคงมีศพสตรีนอนขึ้นอืด ด้วยภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดหรือตายด้วยอะไรสักอย่าง’ น้ำตาหยดน้อยไหลอาบแก้มช้าๆ มือบางยกขึ้นมาเช็ดลวกๆ แล้วผ่อนลมหายใจ ‘เรื่องเก่าผ่านไป กลับมาคิดถึงเรื่องใหม่…คิดถึงบุรุษสูงส่งผู้นั้น’ ที่มิเคยลบภาพออกไปจากหัว จะบอกว่ามันคือ รักแรก ก็คงไม่ผิด มันจะผิดก็ตรงที่อีกฝ่ายช่างเกินเอื้อมสำหรับนางนั่นล่ะ!! “เมื่อไหร่จะเลิกคิดถึงสักทีเจ้าคะ?” เปรยออกมาเบาๆ
“คุณหนู!! อยู่ที่ใดเจ้าคะ”
‘หืม’ จู่ๆ เสียงของสาวใช้คนสนิทก็ดังอยู่ไม่ไกล ตัดภาพความทรงจำเก่าหรือเรื่องเพ้อฝันออกไป แล้วความคิดเล่นสนุกของนางก็เกิดขึ้น ‘ใครใช้ให้อาเปาหายไปในระหว่างที่นางกำลังปลดเบากันเล่า’ ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าพลิกตัวลงนอนคว่ำแล้วคลานไปหลบหลังพุ่มไม้ (มีพุ่มไม้ข้างทางเดินเรียงรายไปจนถึงลานกว้าง) เส้นทางเดินตรงนี้ผ่านไปถึงลานประลองยุทธ์ แน่นอนว่าอาเปาต้องผ่านมาทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เสียงโห่ร้องก้องลานบ่งบอกได้ว่ารัชทายาทคงจะลงสนามและคว้าชัยชนะ แต่ปิงปิงหาได้สนใจเท่ากับเสียงของอาเปาที่ใกล้เข้ามา ใจนางเต้นตึ่กตั่กๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกนั่งยองๆ ลอบมอง
“คุณหนูเจ้าขา!!!”
ใกล้เข้ามาแล้ว!! หากอาเปาสังเกตดีๆ จะรู้ว่านางแอบอยู่ตรงนี้แน่ แต่ถ้าไม่สังเกต ‘อิอิ ^^’ สวบสาบๆ เสียงคนเดินและเงาพาดผ่านไปทำให้ปิงปิงแอบหัวเราะก่อนจะกระโดดออกจากที่ซ่อนแล้วโผเข้ากอด ฟุ่บ!! “ข้าอยู่นี่!!” นางเกาะอยู่ตรงแผ่นหลังของอาเปา? เอ๋??? ‘แผ่นหลังของสาวใช้ ทำไมกว้างจัง’
“คุณหนู” อาเปาเสียงอ่อย
หวังปิงปิงลูบเนื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มคล้ายชุดของนางอย่างสงสัย ก่อนจะละสัมผัสนั้นออกแล้วมองไปรอบกาย ความเงียบเข้าปกคลุม…เมื่อในสายตากลมโตมองเห็นขันทีสองคน ทหารองครักษ์หน้าดุนับสิบคนและสาวใช้ของนางนั่งหมอบอยู่หน้าสุด ‘อะไรกันอีกล่ะ?’
“เล่นสนุกราวกับเด็กน้อย”
เสียงทุ้มกังวาลของบุรุษด้านหน้ามาพร้อมกับเจ้าตัวที่หันกลับมามอง หวังปิงปิงใจเต้นกระหน่ำราวกับกลองรบ นางไม่รู้ว่าฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียนมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร!!! จากไม่กล้าก็ต้องกล้า เมื่อนางตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ตัวสูงกว่าถึงสองคืบ และสองขาเล็กค่อยๆ เดินถอยหลังอย่างอัตโนมัติ ริมฝีปากสีแดงสดเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำตะกุกตะกักราวกับคิดได้แค่เพียงคำนี้ “อะ…อะ เอ่อ หมะ หม่อม ขะ ข้า เอ่อ จะ รับผิดชอบเจ้าค่ะ”