สามวันต่อมา
หวังปิงปิงเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมสิบทิศตามนัดหมายของเยี่ยนมิ่งลี่ที่ส่งสาวใช้มาบอกนางเมื่อเย็นวาน วันนี้นางอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนลวดลายดอกซากุระ ชุดตัวในสีขาวเหมือนเคย ใบหน้าแต่งแต้มสีชมพูจางๆ เหมาะสมกับวัย ผมหน้าม้ากรุยกรายอยู่บนหน้าผากไม่หนามาก ทรงผมยังคงมัดขึ้นครึ่งศีรษะและติดกิ๊บลวดลายดอกไม้ที่ได้มาจากต่างแดน ทุกอย่างก้าวล้วนถูกจ้องมองส่งผลให้สาวใช้อย่างอาเปาเดินเชิดหน้าตามติดคุณหนูไปอย่างภูมิใจที่คุณหนูนั้นหันกลับมาเป็นตัวของตัวเองไม่ตามติดรัชทายาทอีกแล้ว
“ดูคุณชายร้านผ้าสิเจ้าคะคุณหนู”
หวังปิงปิงมองตามที่อาเปาบอกและพบกับบุรุษผอมบางถือพัดยิ้มละลายใจส่งมาให้ ใจนางแอบตื่นเต้นเล็กน้อยที่มีบุรุษลอบส่งสายตา แต่ก็อย่างว่า ‘ไม่ใช่สเปก’ ก็คือยังไม่ใช่ ใดใดคือนางยังไม่คิดถึงเรื่องออกเรือนในตอนนี้ แม้ในชาติเก่าจะไม่เคยถูกรักแต่ในชาตินี้นั้นแตกต่าง นางมั่นใจว่าตัวเองนั้นสามารถหาคู่ครองได้ไม่ยากเพราะนางงดงามและรูปร่างดีต่างจากชาติเก่าที่อ้วนกลมบวกกับตอนนี้นางยังสนุกกับการค้าขายของสกุลหวังมากเป็นพิเศษ “คนผู้นี้เคยส่งแม่สื่อไปที่สกุลเราหรือไม่”
“เคยสิเจ้าคะ แต่คุณหนูไล่เขาไป”
^^ “จริงรึ” ยิ้มในหน้า “เช่นนั้นก็ช่างเขาเถอะ รีบเดินเร็วเข้าอาเปาถ้าข้าคุยกับมิ่งลี่จบแล้วข้าจะไปท่าเรือ ช่วยพี่หลีปิน” เห็นว่าวันนี้มีสินค้าจากต่างแดนมาพร้อมกับล่าม นางมั่นใจว่าต้องเป็นสินค้าของฝรั่ง...อิอิ นางสนใจน้ำหอมกลิ่นใหม่ด้วยล่ะ
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสองสตรีเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเพื่อพบกับมิ่งลี่ โดยปิงปิงเองก็เพิ่งได้เจอกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ มิ่งลี่ช่างดูเรียบร้อยงดงามเหมือนสตรีในห้องหอแต่ยังคงขาดเสน่ห์บางอย่างที่ตอบไม่ได้และมันมิใช่เรื่องของนางซึ่งเป็นเพียงเพื่อนนางเอกเท่านั้น สนทนากันไปไม่นานปิงปิงก็เข้าเรื่องโดยนางได้สอบถามอีกฝ่ายว่า วันนี้คือวันที่สหายนัดพบกับรัชทายาทใช่หรือไม่และคำตอบที่ได้รับกลับมาคือไม่ได้นัดไว้เนื่องจากรัชทายาทมู่หรงหลานกำลังฝึกวรยุทธ์อย่างหนัก พระองค์ทรงสั่งองครักษ์เงามาบอกมิ่งลี่เมื่อสี่วันก่อนว่าไม่สามารถมาตามนัดได้อีกจนกว่างานประลองจะจบลง
“ที่ข้านัดเจ้ามานั้นเป็นเพราะเรื่องที่รัชทายาทกำลังจะเข้าร่วมในงานประลองยุทธ์เลื่อนขั้นของขุนนางน้อยใหญ่ในวังหลวงนี่ล่ะ พระองค์บอกกับข้าว่า งานนี้บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปดูชมได้ ข้าจึงอยากจะชวนเจ้าไปเป็นเพื่อน” ยิ้มใส่สหายที่ไม่พบหน้ากันร่วมเดือน เห็นได้ชัดว่าปิงปิงงดงามขึ้นกว่าเดิมมาก
หวังปิงปิงนึกย้อนไปถึงสามวันก่อนหน้าที่รัชทายาทไปหานางถึงท่าเรือ อีกฝ่ายมิได้ชวนนางด้วยตนเองเพราะนางมิใช่คนรักของเขา แต่ถ้าจะถามว่านางอยากไปดูหรือไม่...นางอยากไปแต่มิได้อยากไปเพื่อดูรัชทายาทนะ นางไปเพราะอยากเห็นวังหลวงต่างหากเล่า! “ย่อมได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง งานประลองยุทธ์จะมีเมื่อใดรึ”
“อีกสามวันหลังจากนี้”
ปิงปิงพยักหน้ารับทราบ “เช่นนั้นข้าจะเอารถม้าไปรับเจ้าในยามซื่อ (09.00) แต่งชุดสวยๆ ไว้รอข้าเล่า” ยิ้มใส่สหายที่แต่งหน้าไม่เข้ากับชุด “ข้าคงต้องรีบกลับแล้ว” ลุกขึ้นโดยมีอาเปาช่วยพยุงก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามของสหายรัก
“ช่วงนี้เจ้าหายไปไหนมารึปิงปิง”
‘หืม? นั่นหมายความว่ารัชทายาทไปหานางแต่มิได้บอกมิ่งลี่สินะว่านางจะอยู่ช่วยงานของสกุลหวังและจะไม่ออกมาเจอกับทั้งคู่อีกแล้วโดยไม่จำเป็น’ “ช่วงนี้ข้าอยู่ช่วยพี่ใหญ่ตรวจสินค้าในคลัง อาจจะไม่ได้ไปหาเจ้าอีกนาน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ หากเจ้ากับรัชทายาทสมรสกันเมื่อใด ข้าจะไปร่วมงานแน่นอน” ขยิบตาล้อเลียน
เยี่ยนมิ่งลี่ยิ้มเขินอาย “เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว รัชทายาทยังมิได้ขอสมรสพระราชทานจะไปมีงานมงคลได้อย่างไร”
หวังปิงปิงยิ้มจริงใจให้กับอีกฝ่าย “อีกไม่นานหรอกเจ้าจะได้สมรสกับเขาแน่” ตามที่นางเคยอ่านในหนังสือนิยายเรื่องรัชทายาททวงรัก ดูเหมือนไม่น่าจะเกินปีนี้ ฝ่ายบุรุษจะส่งสมรสพระราชทานไปถึงจวนสกุลเยี่ยนแน่นอนและหลังจากนั้นตัวประกอบเช่นนางก็จบ ฮึ!! เสียอารมณ์
ผู้ถูกแซวบิดซ้ายบิดขวาเอียงอายอยู่ตรงนั้นจนสหายเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ‘นางเองก็อยากออกเรือน ติดอยู่ที่ว่ารัชทายาทยังไม่เอ่ยออกมาสักทีน่ะสิ’ นางจึงต้องรอทั้งๆ ที่ทุกวันนี้มีแม่สื่อมาทาบทามนางที่บ้านไม่เว้นแต่ละวัน หากบิดาไม่เห็นว่ารัชทายาทมาร่วมงานปักปิ่นของนางในวันนั้น นางคงไม่รอดถูกจับแต่งงานออกไปแล้ว ‘ต่างกับปิงปิงที่บิดามารดามิเคยบังคับนางเลย บุตรฮูหยินกับบุตรอนุ ความเป็นอยู่ช่างต่างกันนัก’
๑-------------------๑
วันประลองยุทธ์
รถม้าคันเล็กแต่หรูหราเคลื่อนที่ออกจากหน้าจวนสกุลหวังในยามซื่อเพื่อเดินทางไปรับเยี่ยนมิ่งลี่ หวังปิงปิงนั่งมองผู้คนสัญจรผ่านหน้าต่างรถม้าพร้อมกับพูดคุยกับอาเปาไปอย่างสนุกสนาน วันนี้นางสวมชุดสีฟ้าเข้มปักลวดลายฝูงปลาทองแหวกว่ายที่ได้มาใหม่จากแคว้นเจ้า ชุดตัวในเป็นสีขาวและเอี๊ยมสีดำลายลูกไม้จากต่างแดนถูกสวมไว้ด้านในสุด ยังมีกางเกงในที่นางยึดเอาไว้ใส่อีกหลายตัวไม่ต่างจากน้ำหอมอีกหลายขวดที่ชาวบ้านละแวกนี้ไม่นิยมใช้กันเพราะราคาสูงอีกเล่า นึกแล้วก็อดที่จะยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ที่หลงมาเข้าร่างของสตรีในนิยายที่ร่ำรวยมาก มือบางเสียบปิ่นลวดลายลูกปลาทองตัวเล็กๆ ห้อยลงมาเป็นระย้าและมุกสีขาวบนศีรษะก่อนจะถามสาวใช้ “ตรงหรือยัง”
“เจ้าค่ะ” ยิ้มให้คุณหนูแล้วทำหน้าเคลิ้มฝัน “บ่าวว่าวันนี้จะต้องมีขุนนางสักคนลอบมองคุณหนูและส่งแม่สื่อมาทาบทามเป็นจำนวนมากแน่ๆ”
“แล้วถ้าขุนนางผู้นั้นหัวล้านเล่า ข้าต้องตกลงหรือไม่” แกล้งถามสาวใช้แบบติดตลก
อาเปาอ้าปากค้างพลางคิดตาม “หากคุณหนูพึงใจขุนนางหัวล้าน จะตกลงก็มิเสียหายนะเจ้าคะ” แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม ‘ขุนนางหัวล้านงั้นรึ...ไม่ดีๆ’
^^ “นั่นสิ หากข้าไม่พึงใจล้วนปฏิเสธไปแน่ อันที่จริงแล้วสตรีเช่นเรานั้นเสียเปรียบในเรื่องการหาคู่ครองนะเจ้าว่ามั้ย” มองสาวใช้ด้วยสีหน้าจริงจังและคิดแบบสมัยใหม่เหมือนภพเดิมที่จากมา “ที่จริงแล้วมิใช่แค่บุรุษที่เป็นฝ่ายเลือกได้เพียงฝ่ายเดียว ตัวข้าแม้เป็นสตรีก็จะเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง ไม่เชื่อเจ้าก็คอยดู” เหมือนในอดีตที่เจ้าของร่างเคยเลือกรัชทายาทแต่เขาชังนาง ไม่เพียงปิงปิงไม่สนใจแต่นางยังคงตามติดอีกฝ่ายไม่เลิก ‘แม้สุดท้ายจะต้องพบกับความผิดหวัง แต่มันคือเรื่องธรรมดา’ ซึ่งเรื่องนี้ตัวนางเองไม่ได้คิดต่าง จะต่างก็แค่ตัวนางหาได้รักชอบรัชทายาทเหมือนร่างเดิมก็เท่านั้น อีกทั้งจิตใจของคนเรามันไม่สามารถบังคับกันได้ บทสรุปสุดท้ายจะผิดหวังหรือสมหวังล้วนแล้วแต่ต้องยอมรับ
อาเปาพยักหน้าหงึกหงัก
๑--------------------๑
หลังจากรับเยี่ยนมิ่งลี่ขึ้นมานั่งบนรถแล้ว รถม้าคันเล็กที่ด้านในประกอบด้วยสองคุณหนูและสองสาวใช้ก็เคลื่อนตัวไปยังจุดหมายทันที การเดินทางเชื่องช้าเล็กน้อยเพราะเส้นทางเข้าวังในวันนี้ล้วนเต็มไปด้วยรถม้าจากหลายสกุลเรียงรายขึ้นไปเป็นแถวยาวนับร้อยคัน กว่าทั้งหมดจะได้ลงจากรถก็กินเวลาไปเกือบสองเค่อใหญ่ๆ ด้านหน้าประตูวังนั้นมีขันทีและทหารยามเข้ามาอธิบายการเดินแถวไปยังที่นั่งหน้าลานประลอง อำนวยความสะดวกได้ดีทีเดียว
หวังปิงปิงตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้เห็นวังหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลมิมีที่สิ้นสุดและสวนสวยตลอดเส้นทางเดิน ผู้คนขวักไขว่มากมายต่างแต่งชุดประชันโฉมกันมาแบบจัดเต็ม ต่างกับตัวนางที่มิค่อยชอบสวมอะไรมากมายไว้บนหัวนอกจากปิ่นประดับรูปปลาทองเพียงหนึ่งชิ้น ในมือถือถุงผ้าใบเล็กสีน้ำเงินปักลวดลายเข้ากันกับชุดของนาง ส่วนมิ่งลี่นั้นสวมชุดสีชมพูอ่อนตามแบบฉบับสตรีอ่อนหวาน ทรงผมของสหายรักนั้นปักสิ่งใดไม่รู้ได้จนเต็มไปหมดซึ่งปิงปิงมิได้กล่าวขัดออกไปเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่ดี อีกทั้งสตรีส่วนใหญ่ก็กระทำมิต่างกันนักจึงดูเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ทั้งสองเดินตามทหารยามไปจนถึงศาลาหลังหนึ่งที่มีสตรีนั่งอยู่ก่อนแล้วประปราย ด้วยความที่ปิงปิงจำผู้ใดไม่ได้นางจึงมิเอ่ยปากทักทายใครเลยนอกจากเลี่ยงไปนั่งด้านหน้าฝั่งซ้ายที่ติดกับทางเดิน ถัดจากที่นั่งของนางไปทางขวามือเป็นมิ่งลี่และสาวใช้อีกสองคนนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง “ที่นี่งดงามมากจริงๆ” ดวงตาพราวระยับ ^^
อาเปายิ้มตามคุณหนู “บ่าวเห็นด้วยเจ้าค่ะ” ก่อนจะพบนางกำนัลมากมายเดินผ่านไปเป็นแถวยาว หนึ่งในนั้นช่างดูคุ้นตาจึงร้องทักเสียงดังลั่น “นั่นพี่อาฟั่นใช่หรือไม่”
เจ้าของนามหันไปตามเสียงเรียก ^^ “อาเปารึนั่น” อาฟั่นเห็นคุณหนูหวังที่นางคุ้นเคยและมักจะไปหาซื้อสินค้าในร้านสาขาย่อยของสกุลนี้บ่อยๆ จึงไม่แปลกใจที่นางจะเดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายเช่นกัน ที่สำคัญคือสกุลหวังยังมีบุตรชายคนโตที่ยังมิมีฮูหยินอยู่อีกหนึ่งคน ^^ “คุณหนูหวัง” อาฟั่นผู้ถือถาดเครื่องดื่มหลายกาวางเรียงรายจึงไม่ลังเลที่จะแบ่งปันให้ “อาเปาเจ้ามาเอาน้ำชาไว้ให้คุณหนูของเจ้าทานด้วยสิ”
อาเปารีบหยิบกาน้ำชาและจอกมาสองใบตามที่พี่อาฟั่นแนะนำทันที
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่อาฟั่น ไว้ข้าจะบอกพี่หลีปินให้ว่าพี่ใจดีต่อข้ามาก” ปิงปิงผู้จดจำนางกำนัลคนนี้ได้ดีเอ่ยเอาใจให้กับคนมีน้ำใจต่อนาง “ครั้งหน้าถ้ามีปิ่นปักผมเข้ามาใหม่ ข้าจะเก็บไว้ให้พี่เลือกก่อนเลยค่ะ” ใช่แล้ว...นางกำนัลผู้นี้คือขาประจำในร้านสาขาย่อยที่นางไปพบเข้า เมื่อมาอยู่ในร่างนี้เพียงสามวัน จากคำบอกเล่าของลูกจ้างสตรีในร้านนั้น พี่อาฟั่นมักจะมาเหมาปิ่นปักผมของนางทีละมากๆ เพื่อนำไปขายต่อให้สตรีทั้งหลายในวังหลวงแห่งนี้ สำคัญคือทุกครั้งที่มาจะถามหาพี่หลีปิน หากจำไม่ผิด วันที่ได้เจอกันนั้นพี่ชายของนางก็ติดตามมาด้วย ซึ่งปิงปิงยังสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายลอบมองพี่ชายของนางเป็นระยะๆ ^^ “เจอกันที่คลังสินค้านะเจ้าคะ ไม่ต้องไปสาขาย่อย”
หัวใจนางกำนัลพองโต “ขอบใจเจ้ามากน้องสาวที่น่ารัก” พร้อมกับหยิบหมั่นโถวแถมให้คุณหนูหวังอีกสามลูกก่อนจะเดินไปยังศาลาของเหล่าขุนนางทหารฝ่ายบู๊
เยี่ยนมิ่งลี่มองปิงปิงอย่างขอบคุณที่นางส่งหมั่นโถวมาให้หนึ่งลูก “เจ้าช่างกว้างขวางเสียจริงปิงปิง” ยิ่งสังเกตเห็นว่ามีเพียงกลุ่มของนางเท่านั้นที่ได้ทานน้ำชาจากวังหลวงก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นมีอภิสิทธิ์มากกว่าผู้ใด ไหนจะเรื่องที่รัชทายาททรงมาหานางที่โรงเตี๊ยมบ่อยๆ นั่นอีก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนรู้ ดังนั้นกิริยาที่แสดงออกมาให้ผู้คนในศาลาได้เห็นคือ ความหยิ่งยโส
“กว้างขวางเพราะข้าเป็นแม่ค้าอย่างไรเล่า” จิบชาไปหนึ่งอึก “รสชาติดียิ่ง ต่างจากชาในโรงเตี๊ยมทั่วไปลิบลับ” ชมไปอย่างนั้น แท้ที่จริงแล้วชาชนิดนี้ก็มาจากสกุลของนางเอง มิได้มีขายที่ใด เพราะทุกครั้งที่ชาชนิดนี้ลงจากเรือเมื่อไหร่จะมีคนจากทางราชสำนักเข้ามารับช่วงต่อทันทีไม่เว้นแม้แต่ของล้ำค่า ราคาสูงอย่างอื่นอีกหลายชนิด
“อื้ม ข้าก็คิดว่ารสชาติดีมาก”
สองสตรีงดงามนั่งจิบชามองความวุ่นวายของการจัดลำดับขั้นในการประลองยุทธ์โดยมิได้สนใจผู้ใด จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ทหารขั้นหนึ่งจึงเริ่มประลองเป็นคู่แรก เสียงกระบี่ฟาดฟันกลางลานกว้าง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคนทั่วบริเวณลานกว้าง เสียงโห่ร้อง จนก้องเมื่อรู้ผลแพ้ ชนะ ซึ่งตัวหวังปิงปิงเองก็นั่งลุ้นไปกับเขาด้วยแม้จะมิรู้จักผู้ใดเลย จวบจนเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ฮ่องเต้เสด็จ!!!”