บทที่ 1 ลูกบุญธรรม
ณ สุสานคริสต์
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายนั้น ชายหนุ่มสูทสีดำแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวราวกระดาษ ตาคมดุจเหยี่ยว ยืนถือช่อดอกเดซี่สีขาวอยู่หน้าหลุมศพคนคนหนึ่งด้วยท่าทางอาลัย ด้านข้างยังมีชายในสูทสีดำอีกสองคนคนหนึ่งกางร่มสีใสให้กับเจ้านาย ส่วนอีกคนยืนสงบนิ่งราวกับรูปปั้น โยคินค่อยๆ ว่างดอกไม้ช่อนั้นบนหลุมฝังศพของภวินทร์ด้วยความเสียใจ
“ฉันจะมาหานายทุกปี...นายจะอยู่ในใจของฉันเสมอ...ลูกน้องที่ดีและซื่อสัตย์ของฉัน” โยคินกล่าวพึมพำไม่รู้ว่าเป็นน้ำตาหรือน้ำฝนกันแน่นที่ไหลผ่านใบหน้าของเขา โยคินยืนสงบนิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะกล่าว
“นายสองคนจำเอาไว้ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก อย่าได้คิดเอาชีวิตเข้าแลกแบบเจ้าโง่นี่อีก” โยคินกล่าวขณะสายตายังคงจับจ้องที่ป้ายหลุมศพ
“ถ้าคุณโยตกอยู่ในอันตราย ผมก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเหมือนกันพี่วินทร์ ยังไงชีวิตคุณโยก็สำคัญกว่าผมมาก” เคนกล่าวพลางก้มหน้า
“ใช่ครับ ผมไม่มีทางปล่อยคุณโยให้เป็นอันตรายหรอกครับ” ณัฏฐ์กล่าวเสริม
“ไร้สาระ ฉันน่ะเกลียดการสูญเสียที่สุดหวังว่าพวกนายจะทำตามที่ฉันพูด” โยคินกล่าวเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หลุมศพก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเดินกลับไปที่รถอย่างใจเย็นลอยในใจพลันคิด “เจ้าโง่เอ๊ยทำไมถึงรีบจากฉันไปนักนะ” แม้สีหน้าของโยคินจะเรียบเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ระหว่างทางที่กำลังกลับบ้านเคนก็ได้กล่าวขึ้น
“คุณโยครับ…พี่วินทร์ยังมีหลานที่ยังเด็กอยู่หนึ่งคนนะครับ” โยคินเงียบไปสักพักก็สายตาเหม่อมองไปด้านนอก ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“อืม..นั่นสินะฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย นี่ก็ผ่านมา 7 วันแล้วเด็กคนนั้นจะรู้หรือยังว่าอาของตัวเองน่ะไม่อยู่แล้ว”
“รู้ครับ..ช่วง 7 วันมานี้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนมาเองครับ” ณัฏฐ์กล่าวพลางชำเลืองมองโยคินผ่านกระจก
“อายุเท่าไหร่แล้วนะเด็กคนนั้น”
“10 ขวบได้แล้วครับ” เคนตอบ
“16 ปี ก็พอจะเป็นลูกของฉันได้อยู่หรอกนะ” โยคินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ลูกน้องทั้งสองคนได้ยินคำพูดนั้นก็นิ่งไปทันที
“คุณโยหมายความว่าไงครับ” ณัฏฐ์กล่าว
“ฉันจะรับเด็กคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมของฉัน” โยคินยังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบไม่ได้มีอาการลังเลแต่อย่างใด
“แต่คุณท่านจะเห็นด้วยเหรอครับ” ณัฏฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ใช่ครับ คุณโยผมว่าเรื่องนี้คุณโยปรึกษาคุณท่านก่อนดีไหมครับ” เคนกล่าวเสริม
“พวกนายเห็นฉันเป็นเด็กน้อยหรือไง เรื่องพวกนี้ฉันตัดสินใจเองได้” โยคินกล่าว
“พวกผมแค่เป็นห่วงนะครับ” เคนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“ฉันแค่จะรับเป็นลูกบุญธรรมในนามเท่านั้น ไม่ได้เป็นทางกฎหมายและไม่คิดจะเลี้ยงเด็กคนนั้นไว้ข้างตัวอยู่แล้ว ฉันไม่อยากให้เด็กที่ไม่รู้ภาษาต้องมาเกี่ยวพันกับวงการนี้ ก็คล้ายผู้อุปถัมภ์นั่นแหละ”
“อ๋อ..แบบนี้นี่เอง” ณัฏฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูโล่งใจ
“ก็เผื่อว่าฉันแก่ตัวไปฉันจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับเด็กคนนั้น” โยคินกล่าวพลางหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บปวดก็ตามที
“คุณโยล่ะก็ ยังไงคุณก็ต้องมีทายาทเป็นของตัวเอง ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ” เคนกล่าวพลางหันมายิ้มบางๆ ให้กับโยคิน โยคินถอนหายใจไม่ได้กล่าวอะไรต่อจนกระทั่งถึงบ้าน โยคินเดินเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้าทิ้งตัวลงนอนโซฟาที่ห้องโถ่งกลางของบ้าน
“พวกนายไปพักผ่อนได้แล้ว บอกคนอื่นๆ ด้วยไม่ต้องยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กาคอยคุ้มกันฉันขนาดนั้น”
“ไม่ได้ครับคุณท่านสั่งไว้” เคนกล่าว
“นี่นายเป็นลูกน้องของใคร” โยคินกล่าวเสียงเรียบ
“ขอโทษครับ ผมจะทำตามที่คุณโยสั่ง” เคนกล่าวพลางก้มหน้าและเดินจากไปเหลือเพียงณัฏฐ์และโยคิน โยคินที่เห็นณัฏฐ์ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ข้างๆ
“นายอยู่ทำไมไปพักผ่อนเถอะ ไปสิ” โยคินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ณัฏฐ์เตรียมจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน” โยคินกล่าวขึ้น
“ครับคุณโย”
“รอบยิงครั้งนี้นายว่าเกี่ยวกับพวกฉีหลินหรือจูเชว่หรือเปล่า” โยคินกล่าวเสียงเรียบและมีสีหน้าที่ดูครุ่นคิด
“ผมสืบอย่างละเอียดแล้วครับ ไม่มีความเกี่ยวข้อง เป็นเพียงมือปืนสมัครเล่น” โยคินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“ไปเถอะ”
“ครับ”
วันถัดมาโยคินได้ไปที่บ้านของภวินทร์ ที่มีหลานชายตัวน้อยของภวินทร์นั้นอยู่ โยคินเดินเข้าไปหาเด็กน้อย เด็กน้อยวัย 10 ขวบ หน้าตาฉายแววหล่อเหลาแต่เด็ก จมูกโด่งรับกับหน้าเรียวเล็กตาคมชวนมองและยังดูคล้ายกับภวินทร์อยู่หลายส่วนถึงแม้จะเป็นเพียงอาหลานกันเท่านั้น โยคินเดินเข้าไปหาเด็กน้อย
“นายรู้จักฉันหรือเปล่า” โยคินกล่าวพลางนั่งลงข้างๆ เด็กน้อยอย่างใจเย็นแม้จะสนิทกับภวินทร์ขนาดไหนแต่โยคินก็ไม่เคยมาเจอกับเด็กคนนี้ เด็กน้อยพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“คุณคือเจ้านายคุณอา” เด็กน้อยกล่าว
“อืม…ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนดูแลนายเอง นายจะเป็นลูกชายบุญธรรมของฉัน”
“พาผมไปหาคุณอาที่หลุมศพได้หรือเปล่า” เด็กน้อยกล่าวด้วยเสียงนิ่งเรียบ
“นายชื่ออะไร”
“ชานนท์ ผมชื่อชานนท์”
“เอาล่ะ ชานนท์ฉันพานายไปได้เสมอเราจะไปเยี่ยมหลุมศพของอาของนายด้วยกันปีล่ะครั้ง นายโอเคไหม” โยคินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ครับ”
“ฉันจะหาพี่เลี้ยงไว้ค่อยอยู่กับนาย นายเก็บข้าวของซะพรุ่งนี้ฉันจะมาพานายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่” ชานนท์ค่อยๆ มองหน้าของโยคินก่อนจะกล่าว
“ผมต้องเรียกคุณว่าพ่อด้วยหรือเปล่า” เด็กน้อยถามอย่างไร้เดียงสา โยคินหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับเด็กน้อย
“เรียกฉันว่า..คุณโยก็พอ”
“ครับคุณโย”
หลังจากนั้นชานนท์วัย 10 ขวบก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่กับพี่เลี้ยงที่เป็นคน ของโยคินชื่อว่า “ลดา” ชานนท์เป็นลูกชายของ “ภูวิชญ์” พี่ชายของภวินทร์ ที่ได้หายสาบสูญไปตั้งแต่ชานนท์อายุเพียง 3 ขวบ แม่ของชานนท์เป็นใครภวินทร์เองก็ไม่ทราบ ภูวิชญ์เอาลูกชายมาฝากไว้กับภวินทร์และจากนั้นก็หายตัวไป ภวินทร์จึงเลี้ยงหลานคนนี้มาเหมือนลูกแท้ๆ สองคนมีกันแค่อาหลานซ้ำอายังมาด่วนจากไป หลังจากโยคินรับเขาเป็นลูกบุญธรรมเขานั้นเหมือนกับมีที่พึ่งอีกครั้ง แต่โยคินนั้น ปล่อยให้ชานนท์อยู่กับลดาในบ้านหลังใหญ่เพียงสองคนและจะมาหาชานนท์ เพียงแค่ 2 ครั้ง ต่อ 1 ปี เท่านั้น คือวันเกิดและวันครบรอบวันตายของภวินทร์ แต่โยคินก็ยังคงอ่อนโยนกับชานนท์ทุกครั้งที่มาหา ทำให้ชีวิตของชานนท์นั้นตั้งตารอเพียงสองวันนี้วันที่จะได้เจอกับโยคินเท่านั้น
6 ปีผ่านไป
โยคินวัย 32 ปี ชานนท์วัย 16 ปี
“พรุ่งนี้คุณโยจะไปหานายน้อยไหมครับ” ณัฏฐ์กล่าวถามโยคินที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาดูเอกสาร
“อืม…ฉันเกือบลืมพรุ่งนี้วันเกิดชานนท์สินะ” โยคินกล่าวแต่สายตายังคบจับจ้องอยู่กับเอกสารตรงหน้า
“คุณโย…จะให้ผมไปสั่งเค้กให้ไหมครับ”
“สั่งสิ เค้กวนิลานมสดเจ้าเด็กนั่นชอบกินนายไปจัดการให้ฉันก็แล้วกัน”
“ครับ”
“แล้วที่คาสิโนเป็นอย่างไรบ้าง”
“ช่วงนี้ปกติดีครับ เพียงแต่พักนี้มีคนของจูเชว่มาป้วนเปี้ยนอยู่บ่อยๆ” โยคินที่มั่วแต่ยุ่งอยู่กับงานเอกสารการกู้เงินตัวเลขหลักพันล้านจึงไม่มีเวลาดูแลคาสิโนจึงส่งณัฏฐ์และเคนผลัดเปลี่ยนกันไปดูแล โยคินเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะถอดแว่นตาออก
“อืม ช่างเถอะจูเชว่ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก”
“แล้วงานเลี้ยงผู้นำตระกูลคนใหม่ของจูเชว่คุณโยจะไปไหมครับ” ณัฏฐ์กล่าวถาม
จูเชว่คือ 1 ใน 3 ตระกูลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจสีเทาซึ่งกำลังจะเปลี่ยนผู้นำคนใหม่ “เตวิชญ์ กิจวรางกูล” ลูกชายคนโตของตระกูล
“ไปสิ…ถ้าไม่ไปก็เสียมารยาทแย่ แล้วฉันก็มีไมตรีที่ดีต่อหมอนั่นอยู่แล้ว…สั่งตัดสูท ใหม่ให้ฉันด้วยล่ะ” โยคินกล่าว
วันรุ่งขึ้นโยคินได้หาซื้อของขวัญไปให้กับชานนท์ โยคินนั้นทำแบบนี้ทุกปีและปีนี้ก็ เป็นเหมือนเช่นเคย บ้านหลังเดียวขนาดใหญ่ที่มีผู้อาศัยเพียงสองคนดูเงียบเหงาไม่น้อยโยคินลงจากรถ หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ที่ศาลาในสวนหน้าบ้าน คล้ายกำลังนั่งรอใครสักคน ทันทีที่เห็นโยคินเดินลงมาจากรถหนุ่มน้อยก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางและใบหน้าที่มีแต่ความสุข
“คุณโย...คุณมาแล้ว” ชานนท์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม โยคินที่เห็นใบหน้าของเด็กน้อยนั้นก็นิ่งไปสักพักก่อนจะยกยิ้มและกล่าว
“ปีนี้นายโตขึ้นมากจริงๆ ทำเอาฉันเกือบจำไม่ได้แน่ะ” โยคินกล่าวด้วยท่าทางดูสบายๆ
“ผมอายุ 16 ปี แล้วครับ”
“งั้นเหรอ..” โยคินกล่าวอย่างเอ็นดูพลางเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มของชานนท์เบาๆ ตามความเคยชิน ชานนท์รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าก่อนจะถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว หัวใจของเขานั้นเต้นแรงราวกับตีกลอง โยคินเห็นอย่างนั้นก็พลันนึกได้ว่าชานนท์นั้นโตเป็นหนุ่มแล้วทำแบบนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่จึงชักมือกับไป
“โทษที...ความเคยชินน่ะเข้าบ้านเถอะ” โยคินกล่าวพลางเดินเข้าไปในบ้าน ณัฏฐ์และเคนช่วยกันถือของเดินตามเข้าบ้าน “ลดา” ที่กำลังนั่งปอกผลไม้อย่างใจเย็นพอ เห็นโยคินเดินเข้ามาก็รีบลุกมาทักทายทันที
“สวัสดีค่ะคุณโย” โยคินยิ้มรับและพยักหน้าเบาๆ
“นายน้อยไปนั่งรอคุณที่สวนหน้าบ้านตั้งแต่เช้า ดิฉันบอกให้รอในบ้านก็ไม่ยอม” ลดา กล่าวพลางชำเลืองมองชานนท์และยิ้มบางๆ ชานนท์รู้สึกเขินที่ถูกพูดแบบนี้ต่อ หน้าของโยคินจึงกรอกสายตาไปมาอย่างไม่ใส่ใจเพื่อกลบเกลือนความเขิน
“นายคิดถึงฉันขนาดนั้นเลยหรือยังไง” โยคินหันไปกล่าวกับชานนท์ที่ตอนนี้ส่วนสูงเท่ากับหัวไหล่ของเขา
“ก็คุณมาหาผมแค่ปีละ 2 ครั้ง ผมก็ต้องคิดถึงคุณสิ ก็คุณเป็นพ่อผมนี่ ไม่ให้ผมคิดถึงคุณจะให้ผมคิดถึงอาณัฏฐ์กับอาเคนเหรอครับ คุณก็ถามมาได้” ชานนท์กล่าวเสียงเรียบ ณัฏฐ์กับเคนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นก็แอบขำกันอย่างเบาๆ เพราะไม่เคยมีใครพูดจาสนิทสนมแบบนี้ก็โยคินนอกจากภวินทร์ก็ไม่มีใครอีกแล้วชานนท์เป็นคนที่สอง โยคินยกยิ้มก่อนจะกล่าว
“นายนี่นะ..งั้นฉันต้องกอดนายด้วยหรือเปล่าล่ะ” โยคินกล่าวอย่างหยอกเย้า
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมโตแล้ว”
หลังจากยืนคุยกันอยู่สักพัก โยคินก็ได้เดินไปนั่งที่โซฟาอย่างใจเย็นสายตากวาดไปรอบๆ บ้านหลังนี้ไม่ว่าเขานั้นจะมากี่ครั้ง ของทุกอย่างก็จะอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ขยับไปไหน ก่อนจะหันไปมองลูกน้องสองคนที่ยืนกุมมือยืนนิ่งประกบอยู่ข้างๆ โยคินยกมือขึ้นปัดเบาๆ เป็นสัญญาณให้ทั้งสองนั้นไปได้ สองเดินจากไปอย่างรู้งาน
“แล้วเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” โยคินกล่าวถาม
“ก็ดีครับ ผมสอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนตลอด” ชานนท์กล่าวอย่างภูมิใจ โยคินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“ความรักล่ะ โตขนาดนี้แล้วคงต้องมีความรักแล้วมั้ง” โยคินกล่าวอย่างสบายๆ
“ผมไม่มีหรอกครับ...ผมยังไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอก” ชานนท์กล่าวปฏิเสธ
“นายต้องหัดเรียนรู้ หัดมีเพื่อนบ้างจะได้ไม่เหงา” โยคินกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ที่คุณยังไม่มีแฟนเลย” ชานนท์กล่าวสวน
“นายรู้ได้ไงว่าฉันไม่มี”
“ก็ถ้าคุณมี คุณต้องพามาให้ผมรู้จักในฐานะแม่บุญธรรมแล้วล่ะครับ” ชานนท์กล่าวอย่างหน้าตาเฉย โยคินชำเลืองมองก่อนจะกล่าว
“นายนี่มันรู้มากจริงๆ นิสัยเหมือนอานายไม่มีผิด” โยคินกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“แต่แบบนี้ก็ดีแล้วครับ” ชานนท์กล่าวพึมพำ
“หืม”
“ไม่มีอะไรครับ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ฉลองวันเกิดด้วยกัน โยคินรักและเอ็นดูเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก โยคินไม่ได้มองชานนท์เป็นลูกแต่เขานั้นมองชานนท์เป็นน้องชายคนหนึ่ง ชานนท์ตัดเค้กให้กับทุกคนก่อนจะตัดชิ้นใหญ่ที่สุดให้กับโยคิน
“กลัวฉันผอมหรือไง” โยคินกล่าวพลางชำเลืองมองเค้กในจาน
“ครับ คุณผอมลงกว่าปีที่แล้ว” ชานนท์กล่าว โยคินหันไปมองลูกน้องทั้งสองคนก่อนจะกล่าว
“ฉันผอมลงเหรอ” สองคนส่ายหน้าพร้อมกันเบาๆ อาจจะเพราะสองคนเจอเขาทุกวันจึงไม่ได้สังเกต
“ฉันคงผมลงจริงๆ” โยคินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“งั้นก็กินเยอะๆ สิครับ” ชานนท์กล่าวจบก็ใช้ซ้อมตักเค้กในจานของตัวเองยื่นไปตรงหน้าของโยคิน
“ป้อนฉันด้วย” โยคินเอียงคอถาม
“กินสิครับ” โยคินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอ้าปากกินเค้กที่ถูกป้อนโดยชานนท์ ลูกน้องสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับนิ่งไปตามๆ กัน
“พี่ณัฏฐ์พี่เคยเห็นคุณโยเป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า” เคนกระซิบถาม
“ไม่เคย”