นาจา
-----แบงค์-----
“แบงค์เอากระเป๋ามา พี่ช่วย”
“ผมเป็นผู้ชาย และเราก็อายุเท่ากันนะ พี่คราร่าแหละเอามา จะช่วยถือ”
“แต่พี่เป็นพี่นะ..”
“หนึ่งนาทีเนี่ยนะ...” ผมพูดพร้อมกับแย่งกระเป๋าของพี่คราร่ามาถือไว้ พี่คราร่าเป็นพี่สาวฝาแฝดที่เราคลานตามกันออกมาจากท้องของแม่บีบี
ผมชื่อแบงค์ ตอนนี้อายุยี่สิบปี เรากำลังเดินทางไปออกค่ายอาสาที่หมู่บ้านชาวเขาแห่งหนึ่ง ในทริปนี้พี่สาวของผมก็มาด้วย ไม่ได้มาแค่พี่คราร่าจอมป่วน ยังมีพี่สตังค์ที่อยากจะหาเรื่องอู้งานมาเที่ยว พวกเราทั้งสามคนสนิทกันในทุกเรื่อง ด้วยแม่บีบีสอนให้พวกเรารักกันต่อให้พี่สตังค์จะไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ก็ตาม
“แบงค์จ๋า ช่วยพี่สตังค์ถือบ้างสิ พี่สตังค์หนั๊กหนัก” พี่สาวคนสวยที่อยู่ในชุดทะมัดทะแมงผิดกับชุดไปทำงานที่ออกจะเปรี้ยวแซบเข็ดฟัน ตอนนี้กำลังยื่นกระเป๋าหนึ่งใบให้กับผมที่มีของตัวเองและพี่คราร่า “พี่แก่แล้วนะ ถ้าต้องถือกระเป๋าหนักขนาดนี้ไปจนถึงหมู่บ้าน พี่ต้องไม่ได้แก่ตายแน่”
“ครับ ผมช่วย”
“ไม่ต้อง...” เสียงอาจารย์ที่คุมพวกผมมาร้องแทรกก่อนที่เขาจะเอาตัวเข้ามาขวาง เขาชื่ออาจารย์อิฐ เป็นหนุ่มเซอร์ที่ผมรู้มาว่าเป็นรุ่นพี่ของพี่สตังค์ตอนเรียนมหาลัย “ถ้าเธออยากจะตามมาก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่มาลำบากคนอื่นแบบนี้”
“คนอื่นที่ไหน นี่น้องชายฉันนะ และน้องชายของฉันก็แข็งแรงมากพอที่จะถือของหนักให้กับพี่สาวที่แสนสวยอย่างฉัน” ผมหันมองอาจารย์ที่ดูเหมือนจะเป็นมวยถูกคู่ของพี่สตังค์
“แต่ตอนที่เธอขอมา เธอบอกว่าจะดูแลตัวเองโดยไม่ให้ใครเดือดร้อน”
“ก็ใช่ แต่นี่ไม่ใช่ใคร น้องชายรูปหล่อของฉันเอง ดังนั้นถือได้ จบ!!” พี่สตังค์ยื่นกระเป๋าให้กับผมซึ่งก็เต็มใจที่จะรับ แต่อาจารย์อิฐก็ยังไม่ยอมแพ้ไม่ยอมให้ผมรับ “ไอ้พี่อิฐ ก็สตังค์ปวดแขน ถ้าไม่ให้แบงค์ถือพี่ก็ถือไปเลย เอ้า!!”
แล้วพี่สตังค์ก็จับกระเป๋ายัดในมือให้กับอาจารย์อิฐก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งลิ่วไปหาคราร่าที่เดินกับกลุ่มเพื่อนหญิง อาจารย์หนุ่มวัยยี่สิบแปดมองกระเป๋าในมือก่อนที่จะหันมามองหน้าผมที่ยืนด้านข้าง
“ก็อาจารย์ให้พี่สตังค์มาทำไมล่ะครับ พ่อบอกพี่แล้วว่าพี่สตังค์จะมาก่อกวนพี่มากกว่ามาช่วย” เพราะอาจารย์อิฐคุ้นเคยกับพ่อโซ่ของผมดี เนื่องด้วยตอนที่พี่สตังค์อกหักครั้งแรกก็ได้พี่อิฐหิ้วปีกมาส่งที่บ้านด้วยสภาพเมาเละ แถมยังโดนพ่อโซ่ซ้อมเกือบตาย มารู้ความจริงว่าอาจารย์อิฐไม่ได้ทำอะไรตอนที่พี่สตังค์ฟื้น
“ถ้าฉันไม่ให้มา พี่นายก็ไม่เลิกราตามมาอยู่ดี ทำเหมือนไม่รู้จักพี่สาวตัวเอง”
“ก็จริงครับ...” เป็นอย่างที่อาจารย์อิฐพูดทุกอย่าง พี่สตังค์เป็นผู้หญิงที่ชอบก่อกวนทุกคนไปหมด แต่ก่อกวนแล้วก็ทำให้ทุกคนรัก รวมทั้งอาจารย์อิฐด้วยที่ผมคิดว่ารักพี่สตังค์ แต่อาจจะยังไม่กล้าพอที่จะบอกก็เป็นได้
“เวลาอยู่กันสองคนไม่ต้องเรียกอาจารย์ก็ได้นะ ฉันรู้จักนายตั้งแต่มัธยม เรียกพี่ก็ได้” อาจารย์อิฐพูดเมื่อเราเดินคู่กันไปตามทาง
“ให้ผมเรียกอาจารย์เถอะ เดี๋ยวแม่บีบีได้ยินจะดุผมเอา ยังไงก็เป็นอาจารย์ที่สอนผมอยู่แล้ว”
“ตามใจ แม่บีบีนี่เก่งจริง ๆ เลี้ยงลูกให้นิสัยต่างกันคนละขั้ว คนโตแก่นแก้วก่อกวนคนอื่นไปทั่ว คราร่าก็ร่าเริงชอบกิจกรรม นายก็นิ่งมีเหตุผลอย่างกับคนละบ้าน เชื่อจริง ๆ ”
“......” ผมได้แต่ยิ้ม เราสามคนต่างกันอย่างที่อาจารย์อิฐพูดทุกอย่าง
-----นาจา-----
“นาจาไปเตรียมห้องพักให้คนกรุงเทพรึยัง”
“นาจาเอากับข้าวทางนี้ไปโรงครัวหน่อย”
“นาจาอย่าลืมให้คนเอาของไปไว้ที่ศาลา”
“นาจาเอาไม้ที่ตัดไว้เรียงสำหรับกิจกรรมรึยัง”
(((โอ๊ยยยยยย ทั้งหมู่บ้านมันมีแค่อีนาจาเท่านั้นเหรอ))) เราร้องโวยพร้อมกับการยืนที่ส่งเสียงเรียกของทุกคนในเวลาเร่งด่วน เวลาที่คนกรุงเทพฯจะเข้ามาพัฒนาหมู่บ้านที่ใกล้จะมาถึง ทุกอย่างยังไม่มีอะไรเตรียมพร้อมสักอย่าง และทุกอย่างก็เหมือนจะรอให้เราที่เป็นคนเดียวจัดการ
“ไอ้หันกอไปจัดเรียงไม้ ไอ้ปอจางเอาของไปไว้ศาลา และไอ้ดอเซาะเอากับข้าวไปโรงครัว เราจะไปดูห้องพักให้กับคนกรุงเทพ”
“รับทราบ” / “รับทราบ” / “รับทราบ”
แล้วเหล่าลูกสมุนก็แยกย้ายไปตามที่เราบอกทุกอย่าง ทุกคนในหมู่บ้านค่อนข้างที่จะฟังเราเนื่องด้วยเป็นคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือจนจบมัธยมศึกษาปีที่หก ดูมีความรู้และเป็นผู้นำมากกว่าทุกคนในหมู่บ้านกลางหุบเขาที่มีราวร้อยชีวิต
มีคนเข้ามาติดต่อว่าจะพาคนกรุงเทพฯเข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน พ่อของเราที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็เรียกประชุมว่าเราควรที่จะให้คนนอกเข้ามาไหม เพราะหมู่บ้านของเราไม่มีไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวก ขนาดเราไปเรียนยังเดินตั้งสิบกิโลกว่าจะถึง หมู่บ้านของเรายากลำบากและคิดว่าไม่มีใครที่จะอยู่ได้ อาหารการกินก็ดูเหมือนจะทำให้เขาดูถูกมากกว่าภูมิใจ
แต่ข้อสรุปทุกอย่างที่มีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านร่วมด้วยจึงเห็นควรว่าเราจะให้พวกเขามา เพื่อที่จะพัฒนาให้หมู่บ้านแห่งนี้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น ส่วนความคิดเราก็เห็นด้วยเพราะอยากจะให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านได้มีหนังสืออ่าน ลำพังแค่ที่เราสอนก็แค่พออ่านออกเขียนได้ ถ้าเข้าไปในเมืองก็อาจจะถูกเขาหลอกเอาได้ง่าย ๆ
เราดูแลห้องพักหญิงที่ถูกสร้างจากไม้ไผ่เป็นหลังด้วยฝีมือชาวบ้าน ลามไปจนห้องพักชายที่อยู่ไม่ไกลกันมาก หมู่บ้านของเราอยู่ติดกับน้ำตกที่ไหลผ่านหุบเขา ตอนที่เราเรียนเราแอบเห็นเพื่อนในห้องบอกว่าอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ บรรยากาศดีงั้นงี้ แต่พอเราเห็นภาพก็ธรรมดาเพราะที่บ้านเราก็มี
หลังจัดหอพักชายเราก็เข้าไปดูโรงอาบน้ำที่ใช้ไม้ไผ่และใบหญ้าคามุงทับให้มิดชิดเดี๋ยวคนกรุงเทพฯจะอาบน้ำไม่ได้ แต่ระหว่างที่เรากำลังต่อไม้ไผ่ที่นำน้ำเข้ามาจากน้ำตก เราก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครเดินเข้ามาในนี้ เราควานหาไม้ที่พอจะป้องกันตัวเพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร ก่อนที่ประตูจะเปิดออกและเรากำลังง้างไม้
“อย่าครับ ผมขอโทษครับ ผมเข้าห้องน้ำผิด”
“หล่อ....” คำเดียวเลยที่หลุดออกจากปากก่อนที่ไม้ในมือจะถูกเรากำแน่น ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล่อมาก หล่อจนตาลายคล้ายจะเป็นลม หล่อแบบไม่เกรงใจคนป่าคนดงอย่างเราสักนิด
เปาะ!!
“โอ๊ยยย” ไม้ไผ่ที่อยู่ในมือถูกเรากำแน่นจนมันแตก ก่อนที่มันจะบาดมือเราจนเกิดความเจ็บและได้สติกับสิ่งที่เกิดขึ้น “โอ๊ย อีไม้ไผ่ ทำเจ็บเลย”
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ขอผมดูหน่อย ระวังนะเดี๋ยวเสี้ยนจะบาดมือได้” ผู้ชายคนนั้นตรงเข้ามาจับมือของเรา ทั้งหล่อและพูดเพราะ กลิ่นตัวก็หอม คนกรุงเทพฯนี่ตัวหอมจัง
“เห้ย!! คนกรุงเทพมาถึงแล้วเหรอ ทำไมไม่มีคนมาตามเราล่ะโอ๊ยยยย” ความตกใจกับสิ่งที่คิดได้ทำให้เราชักมือออกจากไม้ไผ่ และมันก็รูดมือเราจนเกิดรอยแผลลึกเข้าไปอีก ความหล่อเป็นเหตุแท้ ๆ อีนาจาเอ้ย
“อยู่เฉย ๆ ครับ..” ผู้ชายคนนั้นทำเสียงเข้มและรั้งมือเราเดินไปที่ริมลำธาร ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ใช้น้ำล้างแผลให้เราอย่างแผ่วเบา “แผลของคุณเข้าลึกมาก ๆ เดี๋ยวคงต้องไปทำแผล พวกเรามีเครื่องมือปฐมพยาบาล”
“ค่ะ...” เราไม่รู้จะตอบอะไร เราเขิน ปกติถ้าเป็นแผลพวกเราก็จะหาสมุนไพรรักษาเอา
“เดี๋ยวก็หายน่ะ!!” แล้วชายคนนั้นก็เป่าเบา ๆ ที่แผลของเรา งื้ออออ ทำแบบนี้ทำไม โอ๊ย!!! เราจะขาดใจตายกับความเขิน
“แบงค์ อาจารย์อิฐให้มาตาม อ๊า..อุ๊ฟ” ผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียกพร้อมกับเอามือปิดปากเมื่อเธอเห็นเราทั้งสองคน