บังเอิญ
ชีวิตของเราจะมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้สักกี่หนกัน หากไม่นับคนที่เดินสวนทางกันตามท้องถนน คนที่ชอบนั่งร้านกาแฟร้านเดิมซ้ำๆ หรือเราอาจจะเจอเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยบนรถไฟฟ้าหลังเลิกงาน...ฉันไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทุกคนที่อยู่ร่วมกันบนโลกต่างก็มีสังคมของตัวเอง เหตุที่เราได้เจอคนหน้าเดิมซ้ำๆ จนคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แท้ที่จริงสังคมต่างหากที่พาเรามาเจอกัน
ฉันคิดแบบนั้นมาโดยตลอด แต่ฉันพึ่งได้รู้คำตอบวันนี้เองว่า ความบังเอิญคือเรื่องอัศจรรย์ คนที่จากลากลับหวนมาอีกครั้ง คนที่ชิงชังกลับกลายเป็นมิตรภาพที่ดี รวมไปถึงคนที่อยู่คนละซีกโลกกลับมีความรักผ่านอินเทอร์เน็ต แม้ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่ฉันเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือ ‘พรหมลิขิต’ ที่พวกเราทุกคนบังเอิญเจอในช่วงเวลาหนึ่ง
ฉันเคยเชื่อเสมอว่าพรหมลิขิตคือคำพูดหลอกลวงของผู้ใหญ่ใฝ่แต่ความรัก จนกระทั่งตอนนี้ เวลานี้ เศษเสี้ยววินาทีที่ฉันพ่นลมหายใจเข้าออก ณ ที่แห่งนี้
เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน แรงดึงดูดมหาศาลของโลกทำหน้าที่แย่ลง สิ่งที่ควรร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบนสู่พื้น กลับลอยขึ้นทัดเทียมกับเมฆ ใบไม้ที่กำลังผลัดใบ ลอยขึ้นเคว้งบนอากาศ สายน้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ไหลขึ้นฟากฟ้าและไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมาสักนิด
ฉันลืมไปว่าโลกเป็นส่วนหนึ่งของระบบจักรวาลเท่านั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าความร้อนแรงมหาศาลของดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกับฉันในตอนนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก เป็นส่วนหนึ่งในสังคม และถูกใครบางคนควบคุมความคิด จิตใจ
วินาทีนี้หัวใจก็เต้นถี่แรงเพราะถูกควบคุม โดยมีชายหนุ่มฝีมือแสนร้ายกาจตรงหน้า และกำลังส่งรอยยิ้มสุภาพแต่แฝงไปด้วยความขี้เล่น
สามเดือนก่อนหน้านี้ ฉันแอบเฝ้ามองผู้ชายคนนี้ทุกวัน และยังมีเหตุการณ์ที่เกิดพลิกผัน เราทั้งสองหายหน้ากันไปเทียบเท่าวันแรกที่ฉันเจอเขาในร้านกาแฟแห่งนั้น แล้วก็จากกันโดยไม่มีคำร่ำลา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงหน้า ในฐานะผู้ให้เช่าห้องพัก และฉันก็กำลังจะเข้ามาพักอาศัยอย่างเต็มตัว
“สวัสดีครับ คุณปุณธิดาใช่ไหมครับ?” เสียงของเขาเรียกสติให้ฉันตื่นจากภวังค์ ฉันกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าพิมพ์นิยมแต่มีเอกลักษณ์ ก่อนจะยิ้มให้ตามมารยาท เขาไม่ได้แสดงออกว่าจดจำฉันได้ ต่างจากฉันที่ดีใจที่ได้เจอเขา รวมไปถึงความผิดหวังที่แฝงอยู่ในใจ ตัดพ้อชายตรงหน้าว่า ‘จำกันไม่ได้เลยใช่ไหม?’ คนอย่างฉันใครเขาจะไปอยากจดจำกัน ทั้งอ้วน แต่งตัวก็ไม่ได้เรื่องเพราะความไม่กล้าของตัวเอง
สำหรับคุณกฤตลิน ฉันจดจำใบหน้าของเขาได้ทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่เสี้ยวหน้าฉันก็สามารถจำได้ขึ้นใจ
“อ๋อ ค่ะ ใช่ค่ะ คุณกฤตลินใช่ไหมคะ?” ฉันถามเขาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ชายตรงหน้ายิ้มตอบรับอย่างสุภาพแทนการเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา
“วันนี้ผมพึ่งจ้างให้แม่บ้านมาทำความสะอาด ในห้องอาจจะไม่มีของบางอย่างเหมือนในรูปที่ส่งไปให้นะครับ ของตกแต่งส่วนใหญ่เป็นของสะสมน่ะ ผมเลยให้แม่บ้านเก็บใส่กล่อง ส่วนเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าผมไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน คุณปุณธิดาไม่ต้องซื้อเข้ามาเพิ่มก็ได้ครับ” ขณะที่พูด คุณกฤตลินก้าวเดินไปพร้อมกับฉัน ไม่มีการเดินนำเหมือนว่าตนเองเป็นผู้เหนือกว่า เขาพยายามทำให้ฉันไม่รู้สึกอึดอัดหรือเกร็ง เขาและฉันหยุดยืนบริเวณหน้าลิฟต์ บานประตูเงาวับสะท้อนให้เห็นสภาพร่างกายของเราทั้งสองที่ยืนเคียงข้างกัน
ฉันใช้สายตามองไปในตำแหน่งสามองศา ฉันเห็นชายหน้าตาดี ผิวค่อนไปทางขาวเหลือง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากชมพูระเรื่อทั้งที่ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆ ร่างกายของเขาสูงโปร่ง ใบหน้ามีสันกรามคมชัด อีกทั้งยังแต่งกายสะอาดสะอ้าน เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็กสีดำ และรองเท้าหนังสีดำเงา ฉันพอจะเดาออกได้ว่าเขาคนนี้พึ่งกลับมาจากการประชุมหรือการทำงานจากที่ไหนสักที่
แต่เมื่อหันกลับมามองด้านหน้าที่บานประตูลิฟต์ ภาพสะท้อนของหญิงสาวช่างต่างกับชายหนุ่มข้างกายราวฟ้ากับเหว เธอคนนั้นมีรูปร่างท้วม ถึงแม้น้ำหนักของเธอจะลดลงไปมากกว่าสิบกิโลก็ตาม เธอแต่งกายด้วยเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวธรรมดา กางเกงห้าส่วนสีดำ และรองเท้าผ้าใบมอมแมม
ต่างกันจนฉันไม่กล้ามองตัวเองเลยด้วยซ้ำ...ฉันถอนหายใจออกมา พลันคิดว่าร่างกายของฉันมันช่างน่าอับอายเหลือเกิน ไม่ทันที่ฉันจะคิดตัดพ้อ หรือน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตัวเอง เสียงสัญญาณลิฟต์ก็ดังขึ้น พร้อมประตูที่เปิดออก
บุรุษข้างกายของฉันผายมือให้ฉันเป็นผู้เดินนำเข้าไปก่อนอย่างสุภาพ ฉันใช้สองแขนโอบกอดกระเป๋าเดินเข้าไปด้านใน ตามด้วยคุณกฤตลิน การกระทำเช่นนี้มันยิ่งทำให้ฉันตกหลุมพรางของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“จริงๆ คุณปุณธิดา เรียกผมว่าองศาก็ได้นะครับ เรียกกฤตลินมันแปลกๆ น่ะครับ เหมือนแม่ชอบเรียกชื่อนี้เวลาโกรธผม...แล้วคุณปุณธิดาสะดวกให้ผมเรียกชื่อเล่นไหมครับ?” ระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนที่ไปด้านบน เราสองคนไม่มีบทสนทนาต่อกัน มันค่อนข้างน่าอึดอัดสำหรับฉัน มือไม้ไม่รู้จะต้องวางไว้ตรงไหน แต่เสียงทุ้มนุ่มละมุนนั้นก็เอ่ยขึ้นมา ทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัด แม้ชายหนุ่มคนนี้จะดูพูดน้อยก็ตาม แต่เมื่อไรที่บรรยากาศกำลังย่ำแย่ เขาเองก็พร้อมที่จะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น เขาพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ฉันสะดุ้งยามชายหนุ่มขยับใบหน้าเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันกำลังเหม่อลอย
“บังเอิญค่ะ เรียกว่าเอิญก็ได้” ฉันเคยพูดประโยคนี้ออกมาเมื่อสามเดือนก่อน ฉันหวังเหลือเกินว่าเขาจะจำใบหน้าและน้ำเสียงของฉันได้ แต่ฉันก็ต้องผิดหวัง ในเมื่อผู้ชายตรงหน้าฉันทำเพียงพยักหน้ารับ โดยที่ไม่เอ่ยทักว่าเราเคยเจอกันมาก่อน
เขาจำฉันไม่ได้สักนิด แม้แต่เสี้ยวความทรงจำ เขาก็จำฉันไม่ได้เลย...
“ครับคุณเอิญ ถึงแล้ว...เชิญทางนี้ครับ” ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับที่ชายหนุ่มผายมือให้ฉันเดินนำออกไปก่อนตามมารยาท ฉันก้มหัวให้เขาเล็กน้อยและเอ่ยขอบคุณเสียงไม่ดังมาก เมื่อเดินออกมานอกลิฟต์ฉันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกโกรธตัวเองที่แสดงอาการออกมาชัดเจนเหลือเกินว่ากำลังทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้เขา
ไม่ว่ายามอยู่ใกล้ สบตา หรือแม้แต่ได้มองเขาจากมุมข้างๆ ฉันก็ไม่สามารถทำให้ใจของตัวเองเป็นปกติได้ ฉันหวั่นไหวกับเขาอีกแล้ว...ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันพยายามตัดใจ เพราะคิดว่าเราสองคนคงไม่เจอกันอีก
แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า เจ้าของห้องพักที่ฉันต้องการเช่าต่อจะเป็นเขา
คอนโดมิเนียมแห่งนี้ไม่ได้หรูหรามากนัก เพราะไม่ได้อยู่ในย่านธุรกิจหรือย่านคนรวยเหมือนแถวทองหล่อ เอกมัย ไม่ได้ติดกับรถไฟฟ้า แต่ด้านหน้าก็มีการขนส่งที่พอจะเข้าถึงได้อย่างเช่นรถเมล์หรือรถแท็กซี่ ที่นี่ค่อนข้างเรียบง่าย แม้ว่าเดินออกไปด้านหน้าคอนโด จะมีผู้คนพลุกพล่านก็ตาม แต่ยังไงก็ดีกว่าที่พักที่เก่าของฉัน ถ้าให้คะแนนเต็มร้อย ที่นี่ก็คงได้พัน ส่วนหอพักที่กำลังจะกลายเป็นอดีตก็คงมีคะแนนติดลบล้าน
มันต่างกันมาก ทั้งที่ราคาค่าเช่าสี่พันห้า สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีพอที่ฉันจะสามารถทำงานได้อย่างสงบ ไม่เหมือนที่พักที่ฉันอาศัยอยู่ปัจจุบัน ที่มีแต่เสียงทะเลาะไม่เว้นแต่ละวัน เสียงเอะอะของนักเลงวงเหล้าชั้นล่าง บางทีก็โหวกเหวกโวยวายยามที่พวกเขาขึ้นมาเข้าที่พัก รวมไปถึงบรรยากาศหลอนๆ ประหนึ่งหนังสยองขวัญ ไฟติดๆ ดับๆ เทียบกันแล้วมันต่างกันจนฉันสามารถตัดสินใจอยากเซ็นสัญญาเช่าโดยไว
ขณะนั้นคุณองศาก้มหัวให้ฉันเล็กน้อย และปลีกตัวเดินนำหน้าเพื่อเปิดประตูห้องพัก ห้องพักที่นี่เข้าห้องโดยใช้รหัสในการปลดล็อก ระบบความปลอดภัยถือว่าแน่นหนามาก คุณองศาเปิดประตูห้องเพื่อให้ฉันเข้าไปสำรวจดู ซึ่งพื้นที่ในห้องแบ่งออกเป็นสี่ส่วนหลักๆ คือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัวเล็กๆ ติดระเบียง
ห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่มันเพียงพอต่อการอยู่คนเดียวแบบสบายๆ ห้องสีขาวสะอาดตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน ภายในมีกลิ่นหอมจากเครื่องไม้ปรับอากาศ แสงจากอาทิตย์ยามสายของวันสาดส่องลอดผืนม่าน
“ดีจัง...” ฉันพึมพำกับตัวเอง มองซ้ายขวาสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ฉันก็ลืมไปเสียสนิทว่าด้านหน้ามีใครบางคนยืนอยู่ ทันทีที่นึกได้ฉันก็รีบหันหน้ากลับไปมองว่าคุณองศาจะขบขันกับท่าทางของฉันหรือไม่ เมื่อฉันหันหน้าไปมองชายร่างสูงตรงหน้า ปรากฏว่าใบหน้าของฉันปะทะกับแผ่นอกของคุณองศาเข้าอย่างจัง
“ขอโทษค่ะ!” ฉันรีบเอ่ยขอโทษ พลางช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของห้องอย่างรู้สึกผิด ตั้งแต่มาถึงฉันก็แสดงความป้ำๆ เป๋อๆ ใส่เขาหลายรอบ จนฉันแอบเห็นเขาอมยิ้มอยู่หลายครั้ง ฉันชักเท้าถอยหลังกลับเมื่อพบว่าใบหน้าของตัวเองอยู่ห่างจากแผ่นอกคุณองศาเพียงปลายจมูก
เขาก้มหน้าลงมองหน้าฉัน พลางส่ายหัวและบอกว่า
“ไม่เป็นไรครับ” ฉันเห็นเขาเซถอยหลัง ตอนที่ฉันปะทะชนกับร่างกายของเขา...อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่ให้ทำยังไงได้ ในเมื่อฉันเกิดมาอ้วน คนอ้วนก็มักจะเป็นตัวตลกต่อคนรอบข้างไม่ใช่หรือไง
“ห้องเป็นยังไงบ้างครับ คุณเอิญชอบไหม?”
“ชอบค่ะ” ดวงตาของเราทั้งสองประสานกัน เพียงฉับพลันฉันก็รีบละสายตา เมื่อเห็นว่าคุณองศาส่งรอยยิ้มละมุนละไมเกินกว่าหน้าที่ของเจ้าของห้องพัก คำว่า ‘ชอบ’ ของฉัน เขาจะรู้ไหมว่ามันคือคำพูดที่ฉันเอ่ยเชยชมห้องพักด้วยความรู้สึกจากหัวใจ
อีกนัยหนึ่ง ฉันกำลังบอกชอบเขา ทั้งที่ฉันก็รู้ว่า...เขาไม่มีทางรับรู้ถึงความรู้สึก และไม่มีทางชอบฉันอย่างแน่นอน
“ครับ ผมก็ชอบเหมือนกัน” คำตอบเช่นนี้มันทำให้ฉันคิดไปเอง ว่าเขากำลังมีใจให้ไม่ต่างกัน เรามองหน้ากัน ดวงตาประสานราวกับใจส่งถึงใจ แต่นั่นมันคือสิ่งที่ฉันเผลอคิดไปไกล...
“ผมชอบห้องนี้เหมือนกันครับแต่ไม่ค่อยได้มาอยู่ โบ๊ทเพื่อนผมก็เลยเสนอว่าให้ผมลองปล่อยเช่า ดีกว่าซื้อปล่อยทิ้งไว้เปล่าๆ” เขาไม่ได้ชอบฉันหรอก ไม่มีทางจะชอบเลยด้วยซ้ำ ฉันเพียงยิ้มและเดินสำรวจห้องต่ออีกสักพัก จนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงตรง
“ตกลงฉันเช่าที่นี่นะคะ” ฉันหันไปตอบคุณองศา ขณะที่เขากำลังจับแจกันเซรามิกสีไข่กา ก่อนจะวางลงไป
“ครับ ยังไงเดี๋ยวเรื่องสัญญาผมจะนัดคุยอีกทีนะครับ”
“เอ่อ ขอโทษนะคะ แต่ถ้าทำสัญญาวันนี้เลยได้ไหมคะ คือฉันอยากย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ก่อนน่ะค่ะ แต่ถ้าคุณองศาไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ” ฉันนึกว่าเราสองคนจะคุยกันรู้เรื่อง เรื่องการทำสัญญาเช่าแล้วนะ แต่ทำไมคุณองศาถึงเลื่อนนัดการทำสัญญา ทั้งที่มันควรจะเป็นวันนี้ตามข้อตกลงของเรา เหมือนตอนที่เราคุยกันในโทรศัพท์ก่อนหน้าที่จะนัดเจอกันวันนี้
ตั้งแต่ที่ฉันได้คุยกับนับสิบ และพินิจห้องพักจากภาพถ่าย ประกอบกับราคาด้วยแล้ว มันทำให้ฉันตัดสินใจไม่ยากที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลังจากที่ฉันคุยโทรศัพท์กับคุณกฤตลินในตอนค่ำเสร็จ ฉันก็ตัดสินใจเก็บของทุกอย่างในห้องใส่กล่องเตรียมขนย้าย ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะย้ายออกจากห้องพักวันนั้นด้วยซ้ำ คุณกฤตลินเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำเร่งเร้าของฉัน และนั่นทำให้ฉันได้สติว่า ไม่ควรแสดงท่าทางไร้มารยาทเช่นนี้ออกไป
“คือเอกสารสัญญาเช่าของผมยังไม่พร้อมเท่าไรน่ะครับ ยังไงคุณเอิญสะดวกตอนกลางวันนี้ไหมครับ ผมว่าเราออกไปหาอะไรทาน แล้วคุยเรื่องนี้กันต่อก็ได้”
“ค่ะ” ฉันรีบตอบโดยไม่คิดอะไร ไม่ได้เอะใจเลยด้วยซ้ำว่าวิธีการของชายคนนี้มันน่าแปลกพิลึก คุณองศายิ้มรับก่อนที่จะเดินเข้ามาหา ท่าทางเขาดูผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่าตอนแรกมาก ผิดกับฉันที่อยู่กับเขานานๆ ก็ยิ่งเกร็งมากกว่าเดิม
“ผมรู้จักร้านก๋วยเตี๋ยวแถวนี้ อร่อยแล้วก็ถูกด้วย ผมอยากให้คุณเอิญลอง”
“ค่ะ แล้วเรื่องสัญญาล่ะคะ?” ฉันยังคงกังวลเรื่องสัญญาเช่า ทั้งที่ฉันยังไม่ได้บอกกล่าวเจ้าของห้องพักเก่าเสียด้วยซ้ำ หากย้ายออกมากะทันหันคงได้โดนด่าหูฉีกแน่นอน เพราะป้าเจ้าของหอพัก และสัญญาการเช่าอยู่ในที่พักเก่า หากมีการย้ายออกต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนหนึ่งเดือน
หากฉันไปแจ้งออกวันนี้ และย้ายพรุ่งนี้ก็คงไม่ได้ ฉะนั้นฉันต้องยอมเสียค่าเช่าอีกหนึ่งเดือนและปล่อยค่าสัญญาไป...อย่างน้อยฉันก็ได้สิ่งแวดล้อมใหม่ อย่างที่เงินก็ไม่สามารถซื้อได้
แต่มันติดตรงที่คุณองศาคนนี้ยังไม่พร้อมจะเซ็นสัญญาเช่านี่สิ
“ตอนเช้าผมยังไม่ได้กินข้าวมาเลย ผมขอกินไป แล้วก็คุยได้ไหมครับ?” เหมือนฉันทำความผิดซ้ำซาก คุณองศาลูบท้องเชิงบอกว่ากระเพาะของเขาบดขยี้ตัวเองจนท้องปั่นป่วนไปหมด ใบหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไรกัน ดวงตาคมกำลังมองฉันปริบๆ อย่างนั้นหรือ ไหนจะริมฝีปากที่เบ้ลงมาอย่างออดอ้อน
ฉันหลุบตาต่ำ ก้มหน้า เพื่อปิดบังใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
“เรารีบไปกันดีไหมคะ? เที่ยงแล้ว คนจะเยอะนะคะ” ฉันชี้อากาศและเอ่ยเบี่ยงประเด็น ไม่กล้าสบตาชายหนุ่มตรงหน้าสักนิด เขาไม่ควรทำอย่างนี้ต่อผู้หญิงที่หัวใจบอบบางอย่างฉัน
ตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะตัดใจจากเขาแล้วนะ...แต่เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง ฉันขอยืนยันตรงนี้ว่า
ฉันจะกลับไปชอบเขาเหมือนเดิม!
ไอ้เอิญนะไอ้เอิญ ทำไมใจของเธอไม่เข้มแข็งเอาเสียเลย พอเป็นเรื่องของผู้ชายคนนี้ ทุกอย่างมันเลยกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฉันไปหมด
แสงแดดยามเที่ยงถูกบดบังด้วยเมฆสีหม่นหมอง เสียงคำรามจากฟากฟ้า บ่งบอกว่าอีกไม่นานคงมีหยาดน้ำฟ้าตกลงมายังเบื้องล่าง สายลมพัดปลิวเหมือนมีพายุขนาดเล็กพัดผ่าน ภายในร้านอาหารในตรอกซอย ห่างจากที่พักประมาณห้าร้อยเมตร หนาตาไปด้วยผู้คน เสียงของเจ้าของร้านและลูกชายตะโกนกันไปมา รวมไปถึงเด็กเสิร์ฟในร้านก็ทำหน้าที่ไม่ได้หยุด
“เล็กพิเศษสามชาม หมี่พิเศษหนึ่ง กากเครื่องหนึ่ง (กากหมูเจียวทรงเครื่อง) ลวกจิ้มใหญ่หนึ่ง” เสียงของลูกชายตะโกนเอ่ยรายการเมนูที่คุณองศาพึ่งสั่งไปเมื่อครู่ อาหารที่สั่งมาล้วนเป็นของคุณองศาทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนกินเยอะขนาดนี้ จนฉันเองก็ตกใจยามที่เขาเอ่ยปากสั่งเส้นเล็กพิเศษสามชาม
“น้ำไรดีพี่ เก๊กฮวยเหมือนเดิมไหม?”
“คุณเอิญจะดื่มอะไรดีครับ?”
“น้ำเปล่าก็ได้ค่ะ”
“งั้นเอาเป็นเก๊กฮวยสองแก้วครับน้อง” ไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้ฉันกำลังมีสีหน้าอย่างไร ทั้งที่ในใจอยากขมวดคิ้วแทบตาย แต่ฉันก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้คุณองศา ฉันไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนขี้เล่นหรือกวนประสาทกันแน่ ถ้าจะสั่งน้ำเก๊กฮวยตั้งแต่แรกแล้วจะมาถามฉันทำไม
“เก๊กฮวยที่นี่อร่อยน่ะครับ ผมเลยอยากสั่งให้คุณเอิญลอง”
“ขอบคุณค่ะ”
“ก๋วยเตี๋ยวที่นี่ก็อร่อยมาก มาแถวนี้ทีไร ผมต้องแวะร้านนี้ตลอด”
“ถึงว่า คุณองศาถึงสั่งเยอะเลย”
“ให้น้อยน่ะครับ” หางตาของฉันกระตุก และฉันก็เผลอกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ฉันมีคำตอบในใจแล้วว่าคุณองศาคนนี้ ไม่ใช่คนขี้เล่น แต่เป็นคนกวนประสาทชัดๆ
“ล้อเล่นน่ะครับ ร้านนี้อร่อยจริงๆ นะ ถ้าไม่อร่อยมื้อนี้ผมเลี้ยงคุณเอิญเลย...อีกอย่างผมเห็นคุณเอิญเกร็งๆ ผมเลยอยากทำให้คุณเอิญผ่อนคลายน่ะครับ”
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณองศาอึดอัด”
“ไม่ได้อึดอัดครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณเอิญ คุณเอิญคงไม่โกรธผมนะครับ”
“ไม่ค่ะๆ ไม่เลย” ฉันยกมือปฏิเสธพัลวัน เบิกตากว้าง เมื่ออีกคนคิดมากว่าฉันกำลังโกรธ จริงๆ ก็ไม่ได้โกรธสักนิด เห็นมุมแบบนี้ของคุณองศามันก็น่ารักดี...น่ารักมากๆ เลยล่ะ
“งั้นเราคุยเรื่องสัญญาดีไหมครับ ถ้าเอาจริงๆ ใบสัญญาทั้งหมด คงจะดำเนินการไม่เกินอาทิตย์หน้า” ผิดหวังกับคำตอบที่ได้ยิน จนฉันแสดงออกมาทางสีหน้า
“เหรอคะ...”
“แต่คุณเอิญย้ายเข้ามาอยู่ก่อนได้นะครับ เรื่องสัญญาค่อยว่าทีหลังก็ได้”
“คะ?”
“ช่วงนี้ผมติดธุระเรื่องประชุมน่ะครับ เลยสะเพร่าเรื่องเอกสารสัญญาเอง ยังไงคุณเอิญย้ายของแล้วมาอยู่ก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจะให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดอีกรอบ แล้วก็เปลี่ยนผ้าม่านให้ใหม่” ฉันอยากกระโดดและร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่ต้องเก็บอาการไว้เพราะกลัวว่าคนรอบข้างจะแตกตื่นกันเสียก่อน ฉันยิ้มกว้างให้คุณองศา ไม่รู้จะขอบคุณเขาอย่างไรเหมือนกันที่ฉันเร่งเร้าเขาขนาดนี้
“ขอบคุณมากๆ นะคะ”
“ยินดีครับ ขาดเหลืออะไรก็บอกผมนะครับ” หลังจากเราสนทนากัน ก๋วยเตี๋ยวที่เราสั่งก็มาวางเสิร์ฟตรงหน้า ก๋วยเตี๋ยวชามพิเศษเช่นนี้ มันไม่ได้น้อยอย่างที่คุณองศาว่า แต่มันเยอะมากจนฉันคิดว่าก๋วยเตี๋ยวสามชามที่อยู่ตรงหน้าคุณองศา คงจะเหลือไว้ให้ร้านเททิ้ง
แต่เปล่าเลย...
“ต่อบะหมี่พิเศษครับ” คุณองศากินเยอะจนน่าแปลกใจ ระหว่างที่รอเขาฉันก็ก้มหน้าแอบเล่นโทรศัพท์ใต้โต๊ะไปพลางๆ หากยกขึ้นมากดเล่นตรงหน้าคุณองศา คงจะเสียมารยาทไม่ใช่น้อย ขณะนั้นเองฉันได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยทักทายคุณองศาอย่างสนิทสนมรักใคร่
“พี่องศา! มาได้ยังไงคะเนี่ย?” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียง ก็เห็นผู้หญิงที่ฉันคุ้นตาวิ่งเข้ามาหาคุณองศา เธอยิ้มกว้างสดใส ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มน่าอิจฉา รูปร่างเล็กบอบบาง ต่างจากฉันทุกกระเบียดนิ้ว
“พี่พาคุณเอิญมาดูคอนโดน่ะครับ”
“ที่พี่โบ๊ทบอกให้พี่องศาปล่อยเช่าน่ะเหรอคะ?” คุณองศาพยักหน้าตอบรับเธอคนนั้น ท่าทางคุณองศาจะดูรักใคร่ผู้หญิงตรงหน้ามาก จากสายตาของเขามันช่างอ่อนโยนละมุนละไมเหลือเกิน...ตอนนี้ฉันเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า ‘อิจฉา’ อีกครั้ง
จำได้แล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ร้านกาแฟแห่งนั้น วันที่ฉันร้องห่มร้องไห้โทรไปหานับสิบเพื่อระบายความในใจออกมา ผู้หญิงที่เป็นแฟนของคุณองศา และวันนี้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง ฉันอยากจะร้องไห้ออกมา แต่หัวใจของฉันมันปวดจนร้องออกมาไม่ได้
ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าฉันไม่เหมาะสม
แต่ฉันก็ดันไปรักคนมีเจ้าของซะแล้ว
“ใช่ครับ นี่คุณบังเอิญ...คุณเอิญครับ นี่น้ำเย็น น้องสาวผม”
“สวัสดีค่ะพี่บังเอิญ” ให้ตายเถอะ...ฉันเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนของคุณองศา ทั้งที่เธอเป็นเพียงน้องสาว ยิ่งมองหน้าเขาทั้งสองสลับกันไปมา น้องน้ำเย็นเหมือนคุณองศาในคราบผู้หญิงชัดๆ !