ตอนที่ 5 บังเอิญหัวใจทำงานหนัก

3955 Words
บังเอิญ “ขอบคุณมากนะมึงที่มาช่วย” สองมือพะรุงพะรังไปด้วยถุงกระดาษบรรจุของ พร้อมกับนิ้วกลางและนิ้วนางที่เหลือ เกี่ยวกระเป๋าเดินทางใบขนาดกลางที่บรรจุไปด้วยหนังสือนับสิบเล่มของฉัน ข้างกายคือนับสิบเพื่อนสนิทที่เจียดเวลาที่มีอยู่น้อยนิดมาช่วยฉันขนของและจัดห้อง “เออไม่เป็นไร พอดีพี่โบ๊ทมันอยากได้ภาพแต่งห้อง มุมน่ารักๆ ไปลงกับบทความตัวใหม่ กูว่าห้องมึงเหมาะมาก เอาของที่มึงมีตกแต่งอีกหน่อยนะ สุดยอดไปเลย” “มาเพราะผลประโยชน์สินะ” “ใครว่า ก็อยากมาช่วยมึงนี่แหละ แต่ก็มีผลพลอยได้ด้วยไงจ๊ะเพื่อนรัก” นับสิบยื่นมือมาบีบแก้มของฉันอย่างเคยชิน ไม่รู้ว่านิสัยมันเขี้ยวเรี่ยราดของนับสิบแบบนี้เมื่อไรจะหาย เจอหน้ากันทีไรฉันต้องเป็นอันปวดแก้มตลอด “ว่าแต่คุณเจ้าของห้องนี่ก็ใจดีเหมือนกันนะมึง ขนาดเรื่องสัญญายังไม่เรียบร้อย แต่เขาก็ให้มึงเข้ามาอยู่เลย...นิสัยรวยแบบนี้ อยากเห็นหน้าจริงๆ ว่าจะหล่อแค่ไหน” ฉันพึ่งนึกได้อีกอย่าง ว่าฉันยังไม่ได้บอกนับสิบเรื่องเจ้าของห้องพักที่บังเอิญเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันแอบชอบและโทรไปร้องห่มร้องไห้ตัดพ้อว่าเขามีแฟนกับนับสิบ แต่ที่ไหนได้ ฉันก็พึ่งรู้ว่าความจริง ผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณองศา “มึงกูมีอะไรจะบอก” “เกริ่นมาแบบนี้ ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของกูสั่นเลยค่ะไหนเล่ามาซิ” นับสิบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าอยากรู้อยากเห็นตามปากว่าจริงๆ ดวงตาประกายใสฉายแววชัด จนฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยปากบอกเธอไป “เจ้าของห้องเขาชื่อองศา เป็นคนที่กูแอบชอบคนนั้น” “หา!” “เสียงดังทำไมเล่า” ใช้แขนกระทุ้งนับสิบเบาๆ ที่ทำตัวเอะอะโวยวายจนคนที่นั่งอยู่ด้านล่างหันมามองเป็นตาเดียว ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจ มันคืออาการเดียวกับฉันที่รู้ว่าคุณองศาคือเจ้าของห้องพักแห่งนี้ มันเป็นเรื่องบังเอิญของบังเอิญจริงๆ ไม่รู้ว่าโลกมันกลมหรือพรหมลิขิตกันแน่ที่เราสองคนได้มาเจอกัน “บังเอิญโคตร แล้วอย่างนี้เขาก็จำมึงได้อะดิ” นึกแล้วก็อดผิดหวังไม่ได้ ที่คุณองศาจำฉันไม่ได้ แม้แต่ในเสี้ยวความทรงจำก็ไม่มี ฉันส่ายหน้าตอบกลับนับสิบ ดวงตาของเพื่อนรักก็สลดทันทีเมื่อเห็นฉันมีสีหน้าเช่นนั้น นับสิบรู้ดีว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับคุณองศา ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมความรักของฉันก็เหมือนกับโจทย์คณิตศาสตร์ที่ไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรือแก้ไขโจทย์ปัญหา ความรักมันเป็นเรื่องซับซ้อนและยากมาก ในชีวิตฉันไม่เคยเข้าใจคำว่าชอบใคร จนมาเจอกับผู้ชายคนนี้ “จำไม่ได้” “ทักว่าคุ้นหน้าสักนิดไหม?” “ไม่อะ สักนิดก็ไม่มี” นับสิบเดินไปกดปุ่มลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นไปชั้นบน ของหนักๆ ส่วนใหญ่ฉันจ้างรถขนส่งของมาส่งตั้งแต่เช้า ส่วนของตกแต่ง หนังสือ และของใช้เกี่ยวกับงาน นับสิบเป็นคนบอกว่าให้ฉันเป็นคนขนเองและจะมาช่วยจัดของ “สมองปลาทองหรือไงวะ จำไม่ได้ขนาดนี้เลย” “แล้วอีกอย่าง...” “อะไร?” ฉันกัดริมฝีปากลังเลใจเพียงชั่วครู่ กำลังจะเอ่ยปากบอกเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณองศาและน้องน้ำเย็น ที่ฉันคิดไปไกลว่าเขาเป็นแฟนจนร้องห่มร้องไห้ โทรไประบายให้นับสิบฟังเหมือนคนบ้า แต่แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดอ้าพร้อมกับที่หญิงสาวคุ้นหน้าคุ้นตาสบตาเราสองคนพอดิบพอดี น้องน้ำเย็น มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน “อ้าว สวัสดีค่ะพี่บังเอิญ” เธอยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยทักทายฉันอย่างเป็นมิตร ยกมือไหว้ฉันและนับสิบอย่างสุภาพ เธอสวมเสื้อผ้าใส่สบายตัวโคร่งและกางเกงวอร์มขายาว ผมถูกมัดรวบเป็นหางม้าสูง...นับสิบมองเด็กสาวในลิฟต์พลางมองหน้าฉันสลับไปมา “สวัสดีค่ะน้องน้ำเย็น” “ย้ายเข้าวันนี้เหรอคะ ของเยอะมากเลย...เดี๋ยวหนูช่วยนะคะ” จู่ๆ เธอก็เดินเข้ามาหยิบถุงกระดาษหลายใบไปไว้ในมือ ฉันเอ่ยปากปฏิเสธแต่ไม่มีแรงยกมือห้าม เพราะของมันหนักเกินกว่าที่ฉันจะรีบคว้ากลับมาและโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะน้องน้ำเย็น” “วันนี้หนูว่างทั้งวันไม่มีเรียน ให้หนูช่วยพี่บังเอิญได้นะคะ ห้องหนูอยู่ตรงข้ามพี่บังเอิญด้วย ขาดเหลืออะไรบอกหนูได้เลยนะ” สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นับสิบยืนงงเป็นไก่ตาแตก ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คือใคร แล้วทำไมถึงมาทำตัวสนิทสนมกับฉันขนาดนี้ ทั้งที่ในชีวิตจริง...นับสิบสามารถระบุได้เลยว่าคนที่เข้ามาอยู่ในชีวิตฉันมีใครบ้าง แน่นอนว่าตอนนี้ฉันปฏิเสธเท่าไร แต่น้องสาวเจ้าของห้องพัก ก็ยังยืนกรานคำเดิมว่าจะช่วยถือของขึ้นไปข้างบน ทั้งที่ตัวเองพึ่งจะได้ลงมาแท้ๆ แต่กลับต้องขึ้นไปใหม่เพราะช่วยฉันขนของ ระหว่างที่เราอยู่ในลิฟต์ นับสิบยืนอยู่ด้านหลังกับฉันก็สะกิดถามด้วยสีหน้าสงสัยเต็มที ว่าเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนี้คือใครกัน “มึงๆ ใครอะ?” “น้องสาวคุณองศา” ฉันกระซิบบอกนับสิบด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะขยิบตาหนึ่งข้างเตือนอีกคนว่าอย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้จะเป็นการดีที่สุด จังหวะที่ลิฟต์เปิดออก น้องน้ำเย็นก็ผายมือให้ฉันและนับสิบเดินออกมาก่อน เหมือนจะเป็นนิสัยเคยชินของสองพี่น้องคู่นี้ ทั้งสุภาพ พูดจาดี แล้วก็ยังติดนิสัยขี้เล่นมาด้วยอีกต่างหาก ฉันเดินเข้ามาเปิดประตูห้องพัก และรีบวางของลงเพราะความหนัก ส่วนนับสิบที่พึ่งเข้ามาก็กระโดดลง และเอนตัวนอนบนโซฟาอย่างสบายใจ ของมากมายยังกองอยู่กลางห้อง ฉันมองสำรวจพินิจห้องอีกครั้งว่าควรเริ่มจัดการส่วนไหนของห้องพักก่อน ทว่าเสียงของเด็กสาวหน้าตาละม้ายคล้ายกับคุณองศาก็เอ่ยทักขึ้นว่า “เดี๋ยวหนูช่วยนะคะพี่บังเอิญ” “ไม่เป็นไรค่ะน้องน้ำเย็น เดี๋ยวพี่กับเพื่อนจัดกันเองก็ได้ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” “หนูอยากช่วย นะคะๆ รับรองว่าจะไม่จุ้นจ้านให้พี่บังเอิญต้องรำคาญแน่นอน” สายตาออดอ้อนของหญิงสาวคนนี้ ทำให้ฉันใจอ่อนขึ้นมาทันทีทันใด ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นน้องสาวของคุณองศา แต่ท่าทางน่ารัก พูดแสนสุภาพเช่นนี้ ทำให้หลายคนเอ็นดูได้ไม่ยาก “แต่พี่เกรงใจ” “ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ พี่องศาบอกว่า ให้หนูดูแลพี่เอิญ...ถ้ามีอะไรขาดเหลือพี่เอิญบอกหนูได้เลยนะคะ แล้วหนูจะไปบอกพี่องศาให้อีกทีค่ะ” “ขอบคุณนะคะ เอ่อ...นี่เพื่อนพี่ค่ะ ชื่อนับสิบ” ตาของเด็กสาวประกายสดใสยามได้ยินชื่อเพื่อนรักของฉัน ท่าทางน้องน้ำเย็นดูจะชอบนับสิบเอามากๆ ตั้งแต่เห็นกันตอนนั้นฉันก็พอจะเดาได้ว่าน้องน้ำเย็นคงเป็นเด็กที่ชอบแต่งตัวคนหนึ่ง ไลฟ์สไตล์คงคล้ายกับนับสิบ แล้วดวงตาของเด็กสาวก็ชัดเจนเหลือเกินว่า เธอชื่นชมนับสิบทั้งที่พึ่งได้เจอกัน “หนูชื่อน้ำเย็นนะคะ หนูเคยเห็นพี่ในงานวิดีโอของเดอะเบสต์ด้วย ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานช่างภาพ พี่ตอบคำถามดีมากเลยอะ” เดอะเบสต์ (THE BEST) ที่น้องเขาหมายถึงก็คงจะเป็นบริษัทผลิตสื่อแล้วก็คอนเทนต์ออนไลน์ที่มีคนเข้าใช้สูงสุดในสองปีที่ผ่านมา ถ้าจำไม่ผิดนับสิบเคยบอกว่า เจ้านายของเธอเป็นเพื่อนสนิทกับผู้ที่ก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา แต่ฉันก็จำไม่ได้ว่าเขาคนนั้นชื่ออะไร “อ๋อ แต่พี่พึ่งถ่ายไปเมื่อสามวันก่อน พี่ยังไม่เห็นเพจเขาลงเลยอะ น้องน้ำเย็นดูที่ไหนเหรอคะ เดี๋ยวพี่จะตามไปดูตัวเองบ้าง” นับสิบถามน้องสาวเจ้าของห้องพักอย่างขบขัน “หนูดูตอนที่พี่องศากำลังตรวจคลิปอยู่น่ะค่ะ ยังไม่ได้เอาลงเพจ พี่นับสิบจะดูก่อนไหม เดี๋ยวหนูไปบอกพี่องศาให้ค่ะ” คำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้ฉันและนับสิบนิ่งค้าง หันหน้ามาสบตากันอีกครั้ง ตั้งแต่ได้ห้องพักใหม่ก็ดูเหมือนว่าชีวิตจะมีแต่เรื่องน่าประหลาดใจและน่าตกใจมากขึ้นทุกวัน “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ล้อเล่น เดี๋ยวพี่รอติดตามก็แล้วกันเนอะ” ฉันพึ่งนึกได้ว่าฉันได้สมัครงานกับบริษัทนี้แต่ยังไม่มีการตอบกลับให้ทำแบบทดสอบหรือเรียกตัวไปสัมภาษณ์ หากจำไม่ผิดตอนที่ฉันได้อ่านประวัติคร่าวๆ ของบริษัทนี้มีผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่ แน่นอนว่าเหตุผลนี้ทำให้ฉันเลือกที่จะสมัครกับบริษัทนี้ มันคงจะมีระบบและวิธีการทำงานไม่เหมือนบริษัทที่ผ่านมา “ว่าแต่พี่ชายของน้องน้ำเย็นทำงานที่นี่เหรอคะ?” นับสิบถาม “ใช่ค่ะ” “ฝีมือพี่ชายของน้องน้ำเย็นคงดีมากแน่ๆ ถึงได้ทำงานที่เดอะเบสต์แบบนี้ ขนาดพี่สมัครไปตอนเรียนจบใหม่ๆ นะ พอได้เห็นแบบทดสอบที่ทางบริษัทส่งมา พี่ถึงกับไปไม่เป็นเลย...ก็อย่างว่าแหละ พี่ไปสมัครทำงานคอนเทนต์ ไม่ถนัดเท่างานกราฟิก ถ่ายภาพ อะไรแบบนี้” นับสิบพูดพลางรื้อของออกจากกล่อง ขณะที่ฉันก็กำลังเปิดกระเป๋าเดินทางเพื่อหยิบหนังสือนับสิบเล่มมาวางบนชั้นใกล้ๆ ส่วนน้องน้ำเย็นก็ช่วยหยิบของตกแต่งจากในถุงกระดาษออกมาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่น “ถึงว่า ในคลิปมีโชว์ภาพที่พี่นับสิบถ่ายไว้ด้วย สวยดีนะคะ หนูอยากได้กล้องถ่ายรูปโปรๆ สักตัว แต่พอขอพี่องศาทีไรก็บอกว่า เทอมนี้ต้องได้เอทุกตัวถึงจะยอมให้ซื้อ” “น้องน้ำเย็นก็ใช้กล้องโทรศัพท์ก่อนก็ได้ เดี๋ยวนี้ฟังก์ชันมันเยอะมากนะ บางตัวนี่เทียบเท่ากับกล้องโปรเลย...ว่าแต่พี่ชายน้องน้ำเย็นทำตำแหน่งอะไรในเดอะเบสต์เหรอคะ?” “อ๋อ ผู้บริหารน่ะค่ะ” เดี๋ยวนะ...ผู้บริหารอย่างนั้นหรือ ฉันนึกย้อนไปตอนหาประวัติของบริษัทและการแนะนำองค์กร ก็จำได้ว่าผู้บริหาร THE BEST นี้ชื่อว่า ‘กฤตลิน อัครวรวงศ์กุล’ ไอร้อนจากหม้อลอยคลุ้งขึ้นบนอากาศ จนเห็นเป็นควันขาวกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เสียงน้ำเดือดเคล้ากับเสียงพูดคุยของคนนับสิบในร้านชาบูแห่งนี้ ยิ่งเพิ่มอรรถรสให้แก่คนทานเป็นอย่างมาก อาหารสดมากมายวางเรียงรายอยู่ในตู้แช่เย็น พร้อมกับอาหารปรุงร้อนๆ ในหม้อบุฟเฟต์นับสิบอย่าง บนโต๊ะของฉันมีถาดอาหารนับสิบวางกองตั้งเหมือนตึกในเมืองหลวงสูงใหญ่ไล่ระดับกัน ตรงหน้าฉันคือผู้ชายที่ฉันแอบชอบ ข้างเขาคือเด็กผู้หญิงที่อายุห่างจากฉันสามปี ส่วนฉันคนนี้ก็นั่งเกร็งใช้เท้าสะกิดนับสิบอยู่บ่อยครั้ง นับสิบดูไม่เกร็งสักนิดยามที่คุณองศาเอ่ยทักหรือสอบถาม จนตอนนี้ทั้งโต๊ะพูดคุยกันสนุกสนาน ผิดกับฉันที่นั่งเงียบไม่ยอมปริปาก เขาถามมา ฉันก็ตอบไปตามมารยาท วันนี้คุณองศาสวมเสื้อผ้าดูดีไม่ต่างจากวันอื่น แต่ผมหน้าของเ­ขาเปิดขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าและสันกรามที่ชัดเจน ฉันพึ่งสังเกตว่าเขาแต่งหน้าเพียงเล็กน้อย ตามประสาผู้ชายดูแลตัวเอง แต่ก็ไม่ได้แต่งจัดจนน่าเกลียด แน่นอนว่าทุกส่วนของใบหน้าเขาดูดีจนฉันละสายตาจากเขาไม่ได้ เขาดูมีหลายบุคลิกในคนเดียว มีมุมขี้เล่นเหมือนเด็ก ท่าทางการวางตัวสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ใบหน้าเรียบนิ่งของเขาสะกดให้ใครต่อใครลุ่มหลงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน เนื้อหลายชิ้นถูกจุ่มลงในน้ำร้อนจัดเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะเข้าไปอยู่ในปากของชายหนุ่มตรงหน้า ชายหนุ่มที่ก้มหน้า เงยหน้าขึ้นมาหลังจากคีบผักเข้าปาก เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาสบตาฉันพอดี เราสองคนมองตากัน แต่ฉันเป็นฝ่ายเบือนใบหน้าหนี จู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนหูก็แดง ทั้งที่ร้านอาหารนี้ติดแอร์และเป็นห้องกระจกทั้งร้าน ฉันคิดว่ามันคงเป็นเพราะหม้อร้อนตรงหน้า จึงทำให้ฉันรู้สึกถึงอุณหภูมิบนใบหน้าที่ขึ้นสูง “คุณเอิญไม่กินเหรอครับ?” “กินค่ะ กิน” ฉันรีบตอบเขาและคว้าตะเกียบคีบลูกชิ้นในหม้อเข้าปาก ก่อนจะคายมันออกมาเพราะความร้อน นับสิบเห็นอย่างนั้นจึงรีบหยิบแก้วน้ำให้ฉันดื่ม พอที่จะลดความร้อนได้บ้าง “คุณเอิญไม่ชอบร้านนี้เหรอครับ?” “คะ? เอ่อ...คือชอบค่ะ อร่อยดี” แม้จะกินไปได้ไม่กี่คำ แต่ฉันก็รับรู้ถึงรสชาติอาหารว่าอร่อยแค่ไหน แต่ที่ไม่ยอมกินก็เพราะความว้าวุ่นใจ มัวแต่มองหน้าคุณองศาจนกินอะไรไม่ลง “ผมเห็นคุณเอิญทานน้อย นึกว่าไม่ชอบซะอีก” “พอดีเอิญงดทานมื้อเย็นน่ะค่ะ คุณองศาตามสบายเลย” ที่จริงฉันไม่ได้งดมื้อเย็นอย่างที่บอก ฉันแค่ทำตัวไม่ถูก กลัวทำตัวน่าเกลียดยามอยู่ใกล้เขา หากฉันกินเยอะตามใจปากเหมือนทุกครั้ง ก็กลัวเขาจะมองว่าฉันตะกละ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันขอไม่กินมันเลยดีกว่า “ถ้าไม่ทานมื้อเย็นเลยผมว่ามันจะไม่ดีนะครับ ลองเป็นสลัดไหม เดี๋ยวผมสั่งให้” “ดีค่ะคุณองศา เอิญมันชอบบ่นบ่อยๆ ว่าหิวเวลาที่ไม่ได้กินมื้อเย็น” นับสิบชิงตอบก่อนที่ฉันจะพูดปฏิเสธ ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนรักพร้อมถลึงตาใส่มัน และใช้เท้าสะกิดขาใต้โต๊ะแรงๆ แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทจะไม่สะทกสะท้าน “งั้นคุณเอิญอยากทานสลัดอะไรดีครับ ปูอัดหรือแซลมอนดี?” “แซลมอนก็ได้ค่ะ” เห็นความตั้งใจที่อีกคนอยากสั่งให้ ฉันก็ไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธ คุณองศายิ้มให้ฉันเพียงเล็กน้อย และยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งในส่วนของอาหารจ่ายแยกจากบุฟเฟต์ เขาดูเอาใจใส่คนรอบข้างเป็นอย่างดี เวลาน้ำดื่มใครหมดเขาก็จะคอยรินน้ำให้เสมอ ฉันเห็นเวลาน้องน้ำเย็นอยากทานอะไร คุณองศาก็จะตักให้อย่างไม่อิดออด หรือนี่คือนิสัยปกติของคุณองศาโดยเฉพาะ มันคงไม่ใช่การกระทำที่พิเศษไปกว่าใคร “เดี๋ยวผมรินน้ำให้ครับ” หลังจากที่ฉันดื่มน้ำจนหมดแก้ว คุณองศาขออนุญาตก่อนจะหยิบแก้วเพื่อรินน้ำจนเต็มและวางมันไว้ที่เดิม การกระทำทุกอย่างของเขาทำให้ฉันเผลอเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงมีใจแน่นอน ทว่าหากฉุกคิดสักนิดก็จะรู้ทันทีว่านิสัยเช่นนี้ มันคือนิสัยปกติของคุณองศา “ขอบคุณค่ะ” อาหารมื้อนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอิ่มท้องหรืออิ่มใจกันแน่ หลังจากคุณองศาเรียกพนักงานเก็บเงิน ฉันและนับสิบก็รีบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา แต่แล้วเสียงของชายหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้ฉันหยุดชะงัก “ไม่เป็นไรครับ มื้อนี้ผมจ่ายเอง” “ไม่เป็นไรค่ะๆ เดี๋ยวพวกเราจ่ายในส่วนของเราให้ ราคามันแพงเกินไป ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” ฉันรีบเอ่ยบอกเขาทันที แต่คุณองศากลับยิ้มพร้อมส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่เป็นไรสักนิด และเขาเต็มใจที่ทำเช่นนี้ โดยไม่เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยตามหลัง “ไม่เป็นไรครับ” “คุณองศา...” ฉันเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่มักใช้กับนับสิบเวลากระเง้ากระงอด หรือไม่พึงพอใจอะไรสักอย่าง หลังจากที่พนักงานเดินมายื่นใบเสร็จ คุณองศาก็หยิบแบงก์พันหลายใบในกระเป๋ายื่นส่งให้ทันที โดยที่ไม่ยอมให้ฉันได้ดูตัวเลขในใบเสร็จสักนิด จะมีก็แต่นับสิบที่ชะเง้อคอยาว ดวงตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า ก่อนหันมาบอกฉันด้วยลมปากว่า “หกพันห้า” ค่าหัวร้านบุฟเฟต์ก็ตกไปคนละพันกว่า ไหนจะอาหารจานเดียวที่สั่งมาอีกหลายจาน ยิ่งเป็นแบบนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่ต้องให้อีกฝ่ายเป็นคนจ่าย ทั้งที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรมากมาย นอกจากสถานะผู้เช่าและผู้ให้เช่าห้องพัก ฉันให้คนอื่นจ่ายค่าอาหารในราคาครึ่งหมื่นคนเดียวไม่ได้ “หารสามก็ได้นะคะ” “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ถือว่าผมเลี้ยงให้คุณเอิญที่ได้ย้ายเข้ามาใหม่” รู้ว่ารวย แต่ก็ไม่คิดว่าจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวเรื่องเงินขนาดนี้ ตอนที่น้องน้ำเย็นบอกว่าจะทานชาบูร้านนี้ ฉันและนับสิบก็มองหน้าแล้วมองหน้าอีก ก่อนจะตัดสินใจเข้ามาในร้าน “แต่มันครึ่งหมื่นเลยนะคะ ให้พวกเราหารเถอะนะคะ” นับสิบช่วยพูดกับคุณองศาอีกแรง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล “ไว้คราวหน้าก็ได้ครับ” คิดแล้วก็ยิ่งกุมขมับ หากเป็นมื้อหน้าฉันก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงอาหารเขาด้วยราคาเท่านี้หรอก อย่างมากก็ได้แค่ปิ้งย่างหรือชาบูที่ราคาไม่เกินสี่ร้อยบาท “ให้ผมเลี้ยงนะครับ” เอาเป็นว่าไม่มีใครสามารถลบล้างความตั้งใจของคุณองศาได้ ฉันและนับสิบจึงเก็บกระเป๋าสตางค์ไว้ตามเดิม หลังจากนั้นพวกเราก็เดินกันออกมาจากร้าน นับสิบขอตัวแยกย้ายกลับห้องพักที่อยู่แถวพระรามสาม ส่วนคุณองศาและน้องน้ำเย็นก็คงกลับรถส่วนตัว ส่วนฉันก็คงยืนโหนรถเมล์หรือไม่ก็โบกแท็กซี่แถวนี้ ตอนมาฉัน นับสิบ และน้องน้ำเย็นนั่งแท็กซี่มาลงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ส่วนคุณองศาก็ขับรถส่วนตัวมาติดๆ โดยบอกว่าวันนี้มีประชุมแถวนี้พอดีเลยแวะมาทานข้าวกับน้องน้ำเย็นได้ “ไปก่อนนะมึง ไว้เจอกัน...สิบกลับก่อนนะคะคุณองศา น้องน้ำเย็น” “ครับ” “เจอกันใหม่นะคะพี่นับสิบ” น้องน้ำเย็นโบกมือลาพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับเพื่อนของฉัน นับสิบเดินหันหลังไปแล้ว เหลือแต่ฉันคงนี้ที่ทำตัวไม่ถูกยามอยู่ใกล้คุณองศา โชคดีที่ตรงนี้มีน้องน้ำเย็นยืนคั่นกลาง ไม่อย่างนั้นฉันคงทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะพูดกับคุณองศาว่าอะไร “เอิญขอตัวกลับก่อนนะคะ” “เดี๋ยวผมไปส่งครับ ผมจะไปส่งน้ำเย็นพอดี” คำว่าฉิบหายยังน้อยไปสำหรับฉันด้วยซ้ำ อุตส่าห์หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงการอยู่คอนโดเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ทันคุณองศาอยู่ดี “ไม่เป็นไรค่ะ เอิญว่าจะเดินเล่นแถวนี้ก่อน คงจะซื้อของไปแต่งห้องอีกนิดหน่อย คุณองศากับน้องน้ำเย็นกลับไปก่อนก็ได้นะคะ” “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้ำรอ ใช่ไหมคะพี่องศา?” “ครับ” สายตาคู่นั้น และคำตอบเรียบนิ่งแสนสุขุม มันทำให้ฉันรู้สึกหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉันยิ้มแก้เก้อและพยักหน้ารับเชิงตอบตกลง ฉันคงปฏิเสธเขาไม่ได้จริงๆ ฉันตัดสินใจเดินเข้าร้านเสื้อ คิดไว้ว่าจะซื้อเสื้อที่ไม่หลวมเกินมาใส่แทนตัวเก่าที่หลวมโคร่ง ระหว่างที่เลือกดูเสื้อผ้า ก็มีคู่พี่น้องเดินตามอยู่ห่างๆ ฉันเห็นน้องน้ำเย็นหยิบเสื้อในราวและทาบตัวพี่ชายเพื่อดูว่า มันเข้าหรือไม่เข้ากับพี่ชายของเธอ ภาพตรงหน้าทำให้ฉันยกยิ้ม คุณองศาดูเป็นคนตามใจน้องสาวมาก ไม่ว่าน้องน้ำเย็นอยากทำอะไร คุณองศาก็ไม่มีเกี่ยงงอน พร้อมที่จะตามใจอีกคนทุกอย่าง แต่บางทีก็มีมุมดุบ้างตามประสาพี่ชายหวงน้องสาว เห็นแล้วก็ทำให้ฉันอยากมีพี่ชายแบบนี้สักคน มันคงจะน่ารักไม่ใช่น้อย ฉันอยากมีคนปกป้อง ยามที่คนรอบตัวฉันเป็นอันธพาลเอ่ยคำพูดเหยียดหยามต่อร่างกายของฉัน “เดี๋ยวน้ำไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวมา” หญิงสาวรีบวิ่งออกจากร้านและตรงไปทางห้องน้ำทันที ทิ้งให้ฉันอยู่กับเสื้อผ้านับร้อยตัว และพี่ชายของเธอที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หัวใจเต้นแรงอีกแล้ว และไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนลงยามที่คุณกฤตลินเดินเข้ามา หัวใจของฉันเหมือนทำงานหนัก ฉันหลับตาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า และทำเป็นเฉยชาต่อผู้ชายที่เดินเข้ามาใกล้ “ตัวนี้น่ารักดีนะครับ เหมาะกับคุณเอิญเลย” ให้ตายเถอะ...หัวใจเจ้ากรรมทำไมถึงสั่นอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ด้วย คุณองศาพูดพลางชี้เสื้อตัวที่ฉันถืออยู่ มันเป็นเสื้อสีพื้นธรรมดา แต่มันกลับดูเข้าตาฉันอย่างบอกไม่ถูก คุณองศาก็คิดเหมือนกันว่าตัวนี้เหมาะกับฉัน เผลอบีบมือลงน้ำหนักบนไม้แขวนเสื้ออย่างแรง จนเสื้อยับยู่ยี่ไม่น่าดู ฉันยิ้มแห้งตอบกลับให้คุณองศาเพียงเล็กน้อย ก่อนหลบสายตาอีกตามเคย กับคนอื่นฉันกล้าที่จะพูดและมองหน้าปะทะสายตาด้วยเสมอ แต่ทำไมกับผู้ชายคนนี้ฉันถึงได้แพ้พ่ายยามสบตาเพียงแค่เศษเสี้ยววินาที “คุณเอิญไม่ชอบผมหรือเปล่าครับ หากผมทำให้คุณเอิญอึดอัดบอกผมได้นะ” “เปล่าค่ะๆ ไม่ใช่นะคะ” “ผมแค่รู้สึกถูกชะตากับคุณเอิญน่ะครับ หากผมทำให้อึดอัดต้องขอโทษคุณเอิญด้วยจริงๆ” “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” ฉันแค่รู้สึกว่าหัวใจของฉันทำงานหนักเวลาอยู่ใกล้คุณต่างหาก สีหน้าของฉันอยากจะร้องไห้เสียเต็มประดา ผิดกับอีกคนที่ยิ้มออกมาผ่านใบหน้าที่เย็นชาแต่น่ามอง ก็แค่หัวใจฉันทำงานหนัก ไม่ได้อึดอัดคุณสักหน่อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD