เวลา 06.30 นาฬิกา
ท้องฟ้าสีครึ้มหม่น เสียงดังคำรามเป็นทอดๆ ภายในห้องนอนสีสะอาดตา มีหญิงสาวร่างอวบนอนห่มผ้าถึงลำคอ เธอหลับอย่างสบายใจเพราะอากาศแสนสบาย ปากคลี่ยิ้มเล็กน้อยราวกับฝันดี แต่แล้วความฝันของเธอก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงดังจากโทรศัพท์ดังขึ้นเนื่องจากเธอตั้งปลุกเวลานี้ ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นทันที พลางบิดกายเกลือกกลิ้งไปบนเตียงนอน
ฝนตกอีกแล้วสินะ...เสียงซู่ซ่าจากด้านนอกดังขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่ลืมขึ้น
หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน และเดินไปเปิดโน้ตบุ๊กด้านนอกที่วางทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพร้อมกับหนังสือภาษาต่างประเทศหนึ่งเล่ม ขณะเดียวกันเธอก็เปิดทีวีรับข่าวสารยามเช้า เดินไปในห้องครัวขนาดเล็กเสียบกาต้มน้ำให้ร้อนจัดเพื่อชงเครื่องดื่มแก้ง่วง ในตู้เย็นมีอาหารที่เหลือจากเมื่อวานอยู่ในกล่อง เธอหยิบมันเข้าตู้ไมโครเวฟ ก่อนจะหันมาหยิบขวดน้ำเปิดดื่มเพื่อดับกระหาย
บังเอิญ
ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เกือบหนึ่งอาทิตย์ สภาพแวดล้อมที่นี่มันทำให้ฉันนอนเต็มอิ่มและหลับอย่างสบายใจ เมื่อมีงานก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีคนเมาที่ไหนมาร้องเพลงส่งเสียงรบกวนเหมือนที่เก่า เสียงกาน้ำเดือดดังแข่งกับเสียงสายฝนยามเช้า จากนั้นจึงเดินเข้าไปหยิบซองกาแฟสำเร็จรูป แม้จะดื่มกาแฟเพื่อคลายความง่วงแต่ฉันก็ไม่ใช่คอกาแฟขนาดนั้น ฉันฉีกซองและเทมันลงไปในแก้วเซรามิกสีเขียวไข่กา เติมน้ำร้อนในปริมาณที่พอเหมาะพอดี
อาหารที่เวฟก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนพอดี หยิบมันออกจากไมโครเวฟและนำไปวางบนโต๊ะไม้ญี่ปุ่นสีซีด พร้อมนั่งลงบนพื้นที่ปูพรมสีครีม ช่วงนี้ข่าวมักจะออกเรื่องการเมืองบ่อยครั้ง บางคนบอกว่ามันคือเรื่องน่าปวดหัวและน่ารำคาญ หรือไม่ก็บอกว่าการเมืองก็คือเรื่องของนักการเมือง ประชาชนอย่างเราจะไปยุ่งทำไม แต่สำหรับฉันการเมืองคือเรื่องของทุกคน จะมีกินหรืออดอยากมันก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใหญ่ทั้งนั้น รวมไปถึงชีวิตการเป็นอยู่ในสังคมชนชั้นกลางอย่างฉัน
ถึงแม้ว่าข่าวการเมืองช่วงนี้ร้อนระอุแค่ไหน แต่ข่าวที่กำลังมาแรงแซงการเมืองก็คือเด็กมัธยมมีเรื่องตบตีกันในโรงเรียน ต้นเหตุมาจากคู่กรณีล้อว่าเธออ้วนอยู่ทุกวัน มันคงถึงขีดสุดของความอดทนแล้วก็ได้ จึงทำให้เธอลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองด้วยกำลัง จากที่ฉันตามข่าวนี้มาสักระยะ เด็กสาวนามสมมติว่าเอคนนี้เล่าว่า เธอโดนเพื่อนล้อทุกวัน บางทีก็โดนแกล้งให้อาย บอกครูแล้วแต่เขาก็ไม่สนใจ และมองว่ามันคือเรื่องของเด็ก แค่ถูกล้อเรื่องรูปร่างไม่เห็นจะน่าโกรธเคืองตรงไหน
สังคมมันก็เมินเฉยกับทุกอย่างนั่นแหละ ถึงได้บอกว่าการเหยียดรูปร่าง สีผิว หรือแม้กระทั่งเชื้อชาติเป็นเรื่องปกติในสังคม
“พอเกิดเรื่องก็มาโทษเด็กว่ารับไม่ได้ว่าตัวเองอ้วนเนี่ยนะ” ฉันอยากจะหัวเราะเย้ยหยันระคนกับเหนื่อยใจ ตั้งแต่เล็กจนโตจนเรียนจบปริญญาตรี ฉันได้ยินคำว่าอ้วนหรือการด่าเหยียดเสียดสีเรื่องรูปร่างของฉันนับครั้งไม่ถ้วน มันบั่นทอนสภาพจิตใจและตอกย้ำว่าความอ้วนคือสิ่งผิดปกติ ทั้งที่จริงมันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีรูปร่างต่างกัน ทว่าสังคมกลับมองว่าความอ้วนคือความผิดปกติ จนกลายเป็นว่ามันเป็นรูปร่างที่น่ารังเกียจ
นึกย้อนไปในช่วงเวลานั้นทีไร มันก็มีแต่ความเจ็บปวดและบาดแผลมากมายจากคนรอบข้าง
เด็กหญิงวัย 14 ปี กำลังเดินขึ้นรถประจำหลังเลิกเรียนด้วยความเร่งรีบ ฝีเท้าของเธอเสียดสีไปกับพื้นปูนหยาบ แก้มกลมๆ ของเธอเคลื่อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะการก้าวเท้า สองมือแน่นไปด้วยเนื้อหนังอวบจับกระเป๋าสะพายอย่างมั่นคง ใบหน้าของเธอมีเหงื่อไหลลงมา รวมถึงชุดนักเรียนสีขาวก็เปียกแนบไปกับลำตัว สภาพของเธอเหมือนหมาน้อยตกน้ำ หากพินิจพิเคราะห์ให้ดี ช่วงนี้ก็ไม่ใช่ฤดูฝนแต่อย่างใด และคงไม่มีใครเล่นสงกรานต์ในเดือนตุลาคมนี้ แต่ทำไมเด็กหญิงถึงได้ตกอยู่ในสภาพเปียกปอน ผมสั้นของเธอลู่ลงแนบศีรษะ ชุดนักเรียนสีขาวหม่นเปียกน้ำจนเห็นเสื้อซับใน
“ไงอ้วน ไม่เปลี่ยนเสื้อเหรอมึงอะ เปียกเป็นพะยูนเกยตื้นเลย” เด็กหญิงคนนั้นพยายามกลั้นน้ำตา มือของเธอกำแน่นเพื่อระบายความโกรธภายในจิตใจ เพื่อนร่วมชั้นเรียน รูปร่างต่างจากเธอมากโข พวกเขากำลังเกาะกลุ่มและหัวเราะเย้ยหยันใส่ ปากสีจัดจากน้ำอุทัยทิพย์สีแดงฉีกยิ้มกว้างสะใจ ไม่เหมาะกับเด็กมัธยมต้นสักนิด
“อีเอิญมึงจะรีบไปไหนวะ” ผู้หญิงคนนั้นกระชากกระเป๋า จนร่างของเด็กสาวเซล้มลงไปบนพื้น เธอทรงตัวไม่อยู่และไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น กระโปรงนักเรียนของเธอเลิกขึ้น จนเห็นกางเกงชั้นในสีดำสนิท ไวกว่าความคิด เด็กหญิงก็รีบปิดกระโปรงและลุกขึ้นเดินต่อ ส่วนคู่กรณีก็ยืนหัวเราะ รวมไปถึงนักเรียนที่กำลังทยอยกันกลับบ้านหันมามองเธอเป็นตาเดียว สะใจที่เห็นคนร่างใหญ่แต่ใจปลาซิววิ่งไม่คิดชีวิตเพราะความอาย
“อีเอิญ วิ่งเบาๆ หน่อย เดี๋ยวแผ่นดินแยก ฮ่าๆ” เธอเกลียดคำพูดของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ไม่สิ...คนนั้นไม่ใช่เพื่อน แต่พวกเขาเป็นใครก็ไม่รู้ ที่บังเอิญไม่อยากใกล้ชิดสนิทสนมด้วยสักนิด เมื่อพ้นประตูโรงเรียนเธอก็รีบวิ่งขึ้นรถประจำ โดยถูกชายหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งขวางทางประตูไล่ให้ไปนั่งด้านในสุด
“มาช้าจังวะอีเอิญ คนอื่นเขารอมึงนานแล้วเห็นไหม” คนนั้นเขาคือพี่ผู้ชายที่เรียนอยู่คนละโรงเรียน เอ่ยพูดจากเบาะยาวด้านหน้า สีหน้าเขาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจเด็กหญิงรูปร่างอ้วนท้วมเป็นอย่างมาก รอยบากบนใบหน้าของพี่คนนั้น มองก็รู้ว่าคงเป็นบาดแผลที่ได้จากการยกพวกตีกันไม่เว้นวันจนถูกเรียกเข้าห้องปกครอง
รถตู้นักเรียนประจำทาง มักถูกถอดเบาะเดี่ยวออก และแทนที่ด้วยเบาะยาวสามตัวเพื่อที่จะบรรจุเด็กนักเรียนให้ได้มากกว่าที่นั่งจริง รถคันนี้มีนักเรียนนั่งโดยสารทั้งหมดสามสิบห้าคน ทั้งที่รถตู้อย่างมากสุดก็บรรทุกคนได้เพียงแค่สิบห้าคนเท่านั้น บังเอิญเป็นเด็กโรงเรียนแรกๆ ที่คนขับรถจะมารับ เพราะฉะนั้นเธอจะถูกไล่ให้มานั่งด้านหลังสุด และถึงบ้านคนแรกๆ เช่นกัน มันค่อนข้างลำบากเวลาบังเอิญจะเดินเข้าออกบนรถคันนี้
“มึงนี่ปากดีไอ้ต้ม มึงก็พึ่งมาเมื่อกี้ ยังจะไปด่าคนอื่นเขาอีก” คนขับรถอาวุโสมีนามว่าอาแปะหนุ่ม เขาดุเด็กที่เขาสนิทสนมเป็นอย่างดี บังเอิญนั่งกอดกระเป๋าและหันหน้าไปมองทางอื่น ทั้งที่ใจของเธอมันอยากร้องไห้ออกมาเพราะทนไม่ไหว
เธอเกลียดคำพูดของคนพวกนี้ เกลียดที่ถูกมองเป็นตัวตลกในสายตาใครต่อใคร
“แปะอย่าพูดมาก ออกรถไป โรงเรียนอื่นเขาจะรอ” ต้ม คือชื่อของผู้ชายคนนี้ เขาเป็นพี่แถวบ้านของบังเอิญแต่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรด้วย นิสัยของเขาก็คือนักเลง อันธพาล เรียกจิกหัวคนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ ขึ้นไอ้ขึ้นอีน่ารังเกียจ
ขณะรถโดยสารเคลื่อนที่ไปบนท้องถนน ความรู้สึกในใจของเด็กสาวร่างอวบเพิ่มพูนขึ้นเหมือนระยะทางที่รถคันนี้เคลื่อนที่ไป วันนี้เป็นวันที่แย่สำหรับบังเอิญ...แย่ที่สุด จนอยากหายไปจากตรงนี้
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รถโดยสารคันนี้ก็รับเด็กนักเรียนทั่วทุกพื้นที่ในเขตตัวเมืองจนครบ เสียงจอแจของเด็กนักเรียนตั้งแต่ประถมจนไปถึงมัธยมพูดคุยเอะอะโวยวาย แต่เอิญไม่มีใครคุยด้วย นอกเสียจากเสียงในความคิดของตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร แค่นี้เอง’
รถตู้โดยสารจอดเทียบบริเวณข้างทาง พี่ผู้หญิงจากด้านหลังสุดในรถฝั่งซ้ายเดินฝ่านักเรียนนับสามสิบคนที่เบียดเสียดกันอย่างทุลักทุเล แต่ไม่มีใครปริปากบ่นเธอสักนิด แม้บางคนจะแสดงสีหน้าเหยเกว่าเขาพยายามขยับถอยสุดความสามารถ บ้านหลังต่อไปที่รถคันนี้จะไปจอดก็คือบ้านของเด็กหญิงร่างอ้วนท้วมคนนี้ บังเอิญมีสีหน้าหนักใจไม่ใช่น้อย มองขาที่เบียดกันไปมาระหว่างสองที่นั่ง เมื่อรถจอดลงเทียบกับประตูทางเข้าบ้าน เด็กสาวจึงลุกขึ้นกอดกระเป๋าและเดินฝ่าออกไป
“โหย ตัวใหญ่” เสียงของเด็กคนหนึ่งพูดเมื่อบังเอิญเดินเบียดขาของเธอออกไป เด็กสาวแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดนั้น ในระหว่างที่กำลังจะก้าวเดินลงจากรถ ก็มีเสียงไล่หลังจากผู้ชายนามว่าต้ม เอ่ยออกมาอย่างเย้ยหยันอีกครา
“อีเอิญมึงเดินเร็วๆ ได้ไหม อีอ้วน” พยายามแล้วจริงๆ ที่จะไม่สนใจคำพูดของเขาคนนั้น
“อีช้างน้ำเอ๊ย” เด็กหญิงกัดฟันข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าเด็กในรถนับสิบ สุดท้ายแล้วความพยายามของบังเอิญก็ถึงขีดสุด เธอร้องไห้ออกมาขณะที่กำลังเดินเข้าบ้าน ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ ว่าทำไมทุกคนต้องรังเกียจรูปร่าง พูดจาเหยียดหยาม จนเป็นบาดแผลในใจ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความหวาดกลัวของบังเอิญก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป
เธอมักคิดในแง่ร้าย ว่าความอ้วนของเธอเป็นภัยต่อคนอื่น...
รูปร่างเช่นนี้คงทำให้คนอื่นลำบากใจ กินข้าวไม่อิ่ม เงินไม่พอใช้...คงจะเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้พวกเขารังเกียจคนอ้วนก็ได้มั้ง
เสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้องแผ่นหยาบ แข่งกับเสียงสายฝนที่โหมกระหน่ำไม่หยุดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของวัน ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่า หลังจากที่ดื่มกาแฟ กินข้าว ดูข่าวเช้า และทำงานอีกเล็กน้อย ฉันก็เดินเข้ามาอาบน้ำ หวังให้น้ำเย็นสายนี้ชโลมจิตใจที่บอบช้ำให้ดีขึ้น แต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้นเลย
ว่าแล้วไม่มีผิด ไม่มีสิ่งไหนที่สามารถลบล้างความเจ็บปวดของฉันได้
หยดน้ำกระทบผิวกาย ทำให้ฟองสีขาวสะอาดไหลลงตามทางน้ำ เมื่อร่างกายสะอาดก็ปิดฝักบัวและใช้ผ้าขนหนูผืนหนาห่มร่างประหนึ่งว่ามันคือชุดเกาะอก กระจกสะท้อนบริเวณอ่างล้างหน้า มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าฉันจะกลายเป็นคนใหม่ในไม่ช้า ใบหน้าฉันตอบลง แขนและช่วงลำตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันไม่ได้ตั้งใจให้ร่างกายผอมลงเช่นนี้ แต่เพราะความเครียด และการทำงานที่ไม่เป็นเวลา ลืมวันลืมคืน ตื่นขึ้นตอนพระอาทิตย์ดับ และหลับใหลยามดวงจันทร์หายลับไปจากฟ้า เหตุนี้จึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยปริยาย
ฉันหยิบเสื้อยืดตัวโคร่ง คอยืดย้วย กับกางเกงสีดำขาสั้นที่พึ่งซื้อมาใหม่ สวมใส่ก่อนจะออกไปนั่งประจำหน้าโน้ตบุ๊กตัวเก่าที่ใช้ทำงานตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนกระทั่งตอนนี้ แต่แล้วโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้กันก็ส่งเสียงร้องดัง พร้อมเบอร์ที่ไม่ปรากฏชื่อ ฉันกดรับสายอย่างไม่เร่งรีบนัก ปลายสายเป็นน้ำเสียงของหญิงสาว เนื้อเสียงนุ่มนวลชวนน่าฟัง
(สวัสดีค่ะ ดิฉันติดต่อจากเดอะเบสต์นะคะ ต้องการเรียนสายกับคุณปุณธิดาค่ะ)
“เรียนสายอยู่ค่ะ” ตอนนี้หัวใจฉันเต้นตึกตัก เนื่องจากปลายสายที่โทรเข้ามาคือบริษัทที่ฉันส่งประวัติเพื่อสมัครงานไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
(ตอนนี้คุณปุณธิดามีความประสงค์ที่จะสัมภาษณ์งานอยู่ไหมคะ?)
“ค่ะๆ”
(ทางหัวหน้าฝ่ายคอนเทนต์ได้ดูผลงานของคุณปุณธิดา แล้วสนใจงานเขียนมากค่ะ เลยอยากจะนัดสัมภาษณ์ ไม่ทราบว่าคุณปุณธิดาสะดวกวันไหนคะ?)
“สัปดาห์หน้าได้ไหมคะ?”
(ได้ค่ะ วันที่ยี่สิบสามและยี่สิบหก ไม่ทราบว่าคุณปุณธิดาสะดวกไหมคะ?)
“งั้นเป็นวันที่ยี่สิบสามค่ะ”
(เวลาสิบโมงกับบ่ายสาม คุณปุณธิดาสะดวกเวลาไหนเอ่ย?) ถึงจะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับงาน แต่ปลายสายก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเครียดหรือกังวล
“บ่ายสามค่ะ”
(สรุปเป็นวันที่ยี่สิบสามเวลาบ่ายสามโมงนะคะ ยังไงเดี๋ยวทางเราจะส่งรายละเอียดเอกสารที่ต้องเตรียม และวิธีการเดินทางให้ในอีเมลนะคะ แล้วเจอกันนะคะคุณปุณธิดา)
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” เมื่อเอ่ยจบเขาก็วางสายไป ทิ้งให้ฉันโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างกายและเอนตัวลงนอน พร้อมกับเต้นไถไปมาบนพื้นพรม หวังว่าการสัมภาษณ์งานครั้งนี้จะเป็นไปได้ด้วยดี บางทีการสัมภาษณ์งานครั้งนี้มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตของฉันเลยก็ได้...ใครจะไปรู้
ปลายปากกาหัวแหลมจรดบนเนื้อกระดาษสีขาวพิมพ์ลายเป็นตัวอักษรภาษาไทย เนื้อหาบนแผ่นกระดาษและเอกสารทดสอบจำนวนห้าแผ่นทำให้ฉันกุมขมับ ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่นัก ด้านในตกแต่งเพียงกระถางต้นไม้ประดับที่วางอยู่ใกล้ริมกระจก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากไม้หอมปรับอากาศทำให้ง่วงกว่าทุกวัน
พลิกแผ่นกระดาษมาจนถึงหน้าสุดท้าย คือการกรอกใบสมัครงาน ฉันไม่เร่งรีบมากนัก ใช้เวลาในการอ่านและทบทวนคำถามอยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้ผิดพลาด ตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาในบริษัท ทุกอย่างมันดูแปลกใหม่และแปลกตาสำหรับคนที่ทำงานในระบบเก่าอย่างฉันมาก พนักงานที่อยู่ด้านล่างถือจอยเล่นเกมหัวเราะสนุกสนาน บ้างก็ตั้งโต๊ะเล่นบอร์ดเกม รวมไปถึงห้องข้างๆ ที่เป็นสนามกีฬาในร่มขนาดย่อม ให้พนักงานถือไม้ปิงปองและหวดลูกพลาสติกสีส้มตอบโต้กันอย่างเมามัน
ทุกอย่างมันดูไม่เป็นระบบระเบียบ และดูไม่จริงจังเอาเสียเลย...
แต่เมื่อฉันได้ก้าวเข้ามาก็พบว่าแบบทดสอบของที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายและเด็กอย่างที่คิดสักนิด ฉันถูกเชิญให้มานั่งอยู่ในห้องนี้ เพียงลำพัง ไม่มีเสียงรบกวน นอกเสียจากเสียงนกร้องด้านนอก หลังจากที่ฉันเขียนเสร็จ ก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พร้อมมองไปหลังประตูสีขาวบานใหญ่บานนั้น
เสียงเคาะประตูดัง ก่อนจะมีใครบางคนเปิดเข้ามาและยิ้มให้
“เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ?” ฉันยันกายลุกขึ้นนั่ง จัดท่าทางให้ดูดี ไม่เสียมารยาท พยักหน้าตอบกลับเธอ ขณะที่มือก็รวบกระดาษหลายแผ่นมาซ้อนกันไว้ ส่งคืนให้พี่สาวหน้าตาน่ารักคนนี้
“เดี๋ยวพี่จีน หัวหน้าคอนเทนต์จะเข้ามาสัมภาษณ์นะคะ ส่วนอันนี้เดี๋ยวพี่ให้พี่อาร์ท ทำคอนเทนต์เหมือนกันมาตรวจให้เนอะ” เธอบอกฉันอย่างใจดีและหยิบเอกสารออกจากห้องไป เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ประตูเปิดออกพร้อมกับหญิงสาวแต่งตัวจัดหนึ่งคน และหญิงสาวที่แต่งตัวเรียบง่าย แต่ทั้งสองก็ดูดีไม่ต่างกัน ดูท่าทางพวกเธอคงจะอายุไล่เลี่ยกัน ไม่น่าจะเกินเลขสาม แต่ก็ไม่น่าจะต่ำกว่ายี่สิบห้าอย่างแน่นอน
ฉันยืนขึ้นและยกมือไหว้เธอทั้งสอง ท่าทางแสนใจดีของพวกเธอทำให้ฉันผ่อนคลายลงได้มาก ในมือของหญิงสาวคนหนึ่งมีแผ่นกระดาษ น่าจะเป็นใบประวัติและผลงานที่ฉันส่งมาให้ทางบริษัทพิจารณา
“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทายก่อนเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องเคว้งคว้าง พวกเธอก็ยินดีรับไหว้แต่โดยดี ไม่มีเกี่ยงงอนหรือเชิดหน้าใส่เหมือนบริษัทเก่าที่ฉันเคยทำงาน
“ไม่ต้องตื่นเต้นเนอะ ที่นี่สบายๆ”
“ค่ะ” ถึงจะตอบรับคำไปเช่นนั้น แต่ในใจของฉันกลับพะวงว่าคำถามจะยากเกินไปจนไม่สามารถรับมือได้หรือเปล่า
“แนะนำตัวให้พี่สองคนรู้จักหน่อยเร็ว” หญิงสาวคนที่แต่งกายเรียบเอ่ยออกมา เธอเปิดอ่านประวัติของฉันไปด้วย ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และมองหน้าเธอทั้งสอง ฉันเอ่ยปากแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แม้ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจะแสดงความมั่นใจเกินล้าน แต่เชื่อเถอะว่าใจฉันมันฝ่อเท่าเม็ดถั่วเขียว
“สวัสดีค่ะชื่อปุณธิดา นันทิวากุล ชื่อเล่นว่าบังเอิญค่ะ อายุยี่สิบสี่ปี จบจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ และสาขาวิชาโทการแสดงค่ะ ตอนนี้ทำงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการเขียนคอนเทนต์ พิสูจน์อักษร แล้วก็มีวาดภาพประกอบอีกนิดหน่อยค่ะ” พี่สาวทั้งสองพยักหน้าอย่างให้ความสนใจ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่มั่นใจว่าเธอทั้งสองคนนั้นจะแสร้งทำเป็นรับฟัง แต่แท้จริงอาจจะหูทวนลมปล่อยคำพูดของฉันลอยผ่านไปก็ได้
“ในใบสมัครเห็นว่าลาออกจากที่ทำงานเก่าด้วยเหรอ?” คำถามนี้ทำให้ฉันเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า ตัวเองจะสามารถตอบคำถามอย่างไรไม่ให้มันดูย่ำแย่เท่ากับสภาพในวันนั้น
“ค่ะ”
“ลองบอกเหตุผลกับพี่สองคนหน่อยได้ไหม?” คำตอบนี้อาจจะเป็นคำตอบชี้ขาดว่า ฉันจะได้ร่วมทำงานกับบริษัทนี้หรือไม่ แน่นอนว่าคำตอบในใจของฉันคือ ‘ไม่’ อย่างแน่นอน เธอทั้งสองคงมองว่าฉันเป็นเด็กอ้วนขี้โมโห ยอมรับความจริงไม่ได้
“คือ...มันเป็นเรื่องของระบบมั้งคะ จริงๆ หนูไม่ได้ลาออกหรอกค่ะ แต่เขาเชิญหนูออกจากงาน หนูไม่ชินกับการทำงานของที่นั่น ทั้งระบบอาวุโส เราต้องนอบน้อมตลอดเวลา ค้านความคิดใครไม่ได้ เสนอความเห็นอะไรไม่ได้ พอเสนอก็มักจะบอกว่าความคิดของเรามันแย่ ทั้งที่พวกเขายังฟังไม่จบด้วยซ้ำ มันเลยรู้สึกว่าเราแปลกแยกน่ะค่ะ” ฉันพูดกลั้วหัวเราะเล็กๆ ไม่ให้มันดูเป็นเรื่องเครียดจนเกินไป ใบหน้าของพี่สาวทั้งสองทั้งเวทนาและสมเพชฉัน ฉันมองคนรอบข้างในแง่ดีไม่ได้เลยจริงๆ
ทุกสิ่งรอบตัวที่ฉันเจอมา ทำให้ฉันเอาแต่สร้างอคติ
“แล้วทำไมถึงคิดอยากสมัครที่นี่ล่ะ?”
“หนูอ่านคอนเทนต์ของเพจเดอะเบสต์เยอะมาก แล้วก็คิดว่ามันมีแต่คอนเทนต์ที่น่าสนุก อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ เอาคอนเทนต์จากตัวหนังสือมาสร้างเป็นวิดีโอ แล้วก็มีทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าหลายตัว เป็นทั้งสื่อที่สร้างงานเอง แล้วก็เป็นเบื้องหลังให้กับงานคนอื่นๆ อีกที อีกอย่างหนูลองไปดูภาพกิจกรรมแล้วก็งานของบริษัทดู รู้สึกว่าที่นี่ให้อิสระกับพนักงาน เปิดรับความเห็น แล้วก็อายุ ความคิดก็คงใกล้เคียงกัน หนูเลยสมัครเข้ามาดู”
“ถึงจะเห็นว่าที่นี่อิสระ แต่เรื่องงานพวกพี่ไม่ปล่อยนะ ถ้างานเสร็จไม่ทันเวลา เรื่องตำแหน่งหน้าที่ของพี่ก็ต้องทำตามขั้นตอนเหมือนกัน”
“ค่ะ หนูทราบดี หนูไม่ได้ติดใจในตำแหน่งหน้าที่เลยค่ะ หนูเคารพคนรอบตัวหนู แต่อย่างหนึ่งที่หนูอยากได้จากการทำงาน คือการเปิดรับความเห็นจากอีกฝ่ายที่ร่วมงานด้วย ไม่บอสซี่ชี้นิ้วสั่ง...อาจจะดูเป็นคำพูดที่ก้าวร้าวนะคะ แต่หนูคิดว่าระบบแบบนี้มันไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สักนิด”
“โอเค จากที่พี่อ่านงานของเราในพอร์ตนะ เราดูน่าจะชอบเขียนบทความวิจารณ์วิเคราะห์ พี่อ่านแล้วสนุกดี แต่น้องเอิญคงรู้ใช่ไหมว่าคอนเทนต์เรามันคงไม่ได้ออกไปทางวิชาการมาก อาจจะมีแทรกเข้ามาบ้าง แต่อย่างน้อยก็ต้องมีความบันเทิงให้คนอ่านด้วย แบบนี้เราจะโอเคไหม?”
“ได้ค่ะ จริงๆ หนูก็มีเขียนนิยายลงเว็บบ้าง ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ได้จริงจังเหมือนกับตัวเขียนบทความ”
“เวลาเราคิดงานเนี่ย เราจะคิดออกตอนไหน?”
“ส่วนใหญ่ตอนกลางคืนค่ะ หัวจะแล่นเป็นพิเศษ”
“แต่บางทีบทความที่ต้องลงเว็บกับเพจในหนึ่งวันมันอาจจะต้องคิดและทำตอนนั้นเลย เราจะทำได้ไหม แต่ก็คงไม่ใช่บทความเชิงลึกอะไรมาก อย่างน้อยหนึ่งวันคอนเทนต์แบบนี้ต้องได้สักสองบทความ”
“ได้ค่ะ หนูทำได้” หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันเล็กน้อยเรื่องของการทำงาน เวลาทำงาน ฉันนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับพี่หัวหน้าคอนเทนต์อีกสองคน จากตอนแรกที่รู้สึกกังวล มันก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ฉันก็ได้ค้นพบว่าการสนทนากับคนแปลกหน้าก็ไม่ใช่เรื่องแย่สักเท่าไร พี่ทั้งสองคนไม่ใช่เจ้านายหรือหัวหน้างานอย่างที่ฉันคิด
“เดี๋ยวสักครู่นะคะ” พี่เอ้กหรือพี่สาวหน้าตาน่ารัก แต่งตัวเรียบสะอาด เอ่ยปากขอตัวเมื่อโทรศัพท์ของเธอสั่นในช่วงเวลาการสัมภาษณ์ใกล้จบลง เธอเดินออกไปรับโทรศัพท์ที่มุมหนึ่งของห้อง พลางหันหน้ามามองฉันและพยักหน้าตอบรับคนจากปลายสาย เธอเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม
“พี่อาร์ทตรวจแบบทดสอบแล้วนะ ออกมาดีเลย” ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่ได้ยินคำตอบนั้น ระหว่างนั้นเองพี่เอ้กก็กระซิบบางอย่างให้กับพี่จีนฟัง
“ส่วนของพี่สองคนเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราก็รอที่นี่สักสิบนาทีนะ เดี๋ยวจะมีสัมภาษณ์อีกรอบ” ฉันเบิกตากว้างมองพี่สาวทั้งสองด้วยความตกใจ หากนับตั้งแต่ฉันเหยียบเท้าเข้ามาในบริษัทนี้ ก็คงเป็นเวลาสองชั่วโมงพอดิบพอดีและไม่มีทีท่าว่าฉันจะได้กลับไปโยนตัวลงนอนที่ห้องพัก
“มีอีกเหรอคะ หนูนึกว่าสัมภาษณ์กับแค่พวกพี่”
“จริงๆ ส่วนใหญ่ก็มีพี่เอ้กสัมภาษณ์น้องๆ เป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนพี่ก็จะมาสัมภาษณ์ถ้ามีน้องผ่านรอบแรกเข้ามาสัมภาษณ์ฝ่ายคอนเทนต์ ส่วนพี่องศาเนี่ย...ถ้าวันไหนเป็นวันเข้าออฟฟิศตรงกับพี่องศา ก็จะถูกเรียกไปสัมภาษณ์เหมือนกัน แต่ของเราเดี๋ยวพี่องศาจะเข้ามานะ”
“ค่ะ”
“พวกพี่ไปก่อนนะ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะคะน้องเอิญ” พี่ทั้งสองยิ้มและเดินออกจากห้อง ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง วันนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นซ้ำซ้อนจนฉันว้าวุ่นใจ ด่านสัมภาษณ์ของบริษัทนี้คือถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ หากอาวุธไม่รุนแรงก็ไม่สามารถระเบิดถ้ำได้ มันแข็งแกร่งเกินกว่าที่ฉันคาดไว้มาก คราวนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
ปรากฏร่างสูงสง่า เหมือนหลุดออกมาจากเว็บไซต์หรือนิตยสารแฟชั่น ดูดีเกินไปแล้ว...ไม่มีคำไหนเหมาะกับคุณองศาเท่ากับคำนี้จริงๆ วันนี้เขาสวมสูทสีกรมท่าดูดี ผมถูกจัดทรงเปิดให้เห็นใบหน้า จนฉันไม่สามารถสบตาเขาได้นานดั่งใจคิด
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ” ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเพราะเหตุใดกันแน่ ที่ฉันต้องเจอกับผู้ชายคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้ง ณ เวลานี้เขาคือคนที่มีอำนาจสูงสุดในบริษัท มันต่างจากคราวก่อนที่เราเจอกันในฐานะผู้เช่าและผู้ให้เช่าห้องพัก
ตอนแรกก็ว่าเกร็งแล้ว ยิ่งเจอคุณกฤตลินวันนี้ก็ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่
“บังเอิญสมกับชื่อคุณเอิญเลยนะครับ” เขามีท่าทีสบาย ไม่ได้วางมาดยิ่งใหญ่ หรือแสดงแววตาด้วยอำนาจ คุณกฤตลินมีแก้วกาแฟร้อนหนึ่งแก้วที่ถือมาพร้อมกัน เขาวางมันลงบนโต๊ะขาวสะอาด กลิ่นหอมของมันทำให้ฉันเบาใจลงได้เยอะ
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ สบายๆ ผมไม่ได้ถามคำถามยาก คุณเอิญตอบตามที่ใจคิดเลยครับ” ฉันพยักหน้าตอบรับคุณองศาในคราบคุณกฤตลิน เขาจิบกาแฟเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“พี่เอ้กกับพี่จีนคงสัมภาษณ์ไปเกือบหมดแล้วเนอะ จริงๆ ผมอยากมาพูดเรื่องการใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของเดอะเบสต์มากกว่า คุณเอิญคงเห็นใช่ไหมครับว่าเราให้อิสระกับพนักงานทุกคน เราเป็นบริษัทสื่อทั้งของตัวเอง แล้วก็ให้คนอื่น ทางเราจะแบ่งเป็นออฟฟิศสองส่วนคืองานของเดอะเบสต์เอง แล้วก็งานที่ต้องทำกับลูกค้า ซึ่งบางทีแล้วสองออฟฟิศจะต้องมาทำงานร่วมกันหากเป็นโปรเจกต์ใหญ่ เราก็อยากให้ทุกคนมีความสุขในที่ทำงาน เพราะผมคิดว่าถ้ามีความสุข งานที่ออกมาก็คงออกมาดี”
“ค่ะ”
“แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีเรื่องจริงจังขึ้นมาก็ต้องพร้อมรับมือนะครับ งานคอนเทนต์ที่ลงเว็บไซต์บางหัวข้อ กับงานวิดีโอทุกงาน ผมจะตรวจก่อนลงเผยแพร่ลงในออนไลน์เสมอ แล้วก็จะคอมเมนต์งานอย่างจริงจัง คือมันมีแรงกดดันจากคำวิจารณ์ค่อนข้างเยอะ คุณจะโอเคไหม หากต้องได้รับคำวิจารณ์ที่แย่ๆ”
“ได้ค่ะ...”
“ผมขอถามอีกคำถามหนึ่งได้ไหมครับ คุณคิดว่าคุณมีข้อดีอะไรที่จะทำให้ผมรับคุณเข้าทำงาน?” คำถามจากอีกฝ่ายเล่นเอาฉันนิ่งงัน ฉันคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีคำถามนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน ก็มักจะมีคำถามนี้พ่วงท้ายมาเสมอ
ฉันน่ะมีดีที่งานเขียน ฉันตั้งใจทำงาน ฉันกล้าเสนอความเห็นต่าง...ฉันเหมาะที่จะทำงานที่นี่
แต่คำพูดเหล่านี้มันถูกกลืนหายไปเพราะสายตาของคุณองศา และฉันก็นึกขึ้นได้ว่า คำตอบที่ฉันอยากตอบ ก็คือคำตอบที่ฉันเคยตอบบริษัทเก่าไป ผลสุดท้ายก็อย่างที่เห็น ตกงาน ถูกด่าทอเหมือนไม่ใช่คนจากเพื่อนร่วมงาน
ฉันเขียนงานดี ตั้งใจทำงาน กล้าเสนอความต่าง สุดท้ายก็แพ้ระบบอุปถัมภ์ในบริษัทอยู่ดี
“ไม่มี ไม่มีค่ะ” ฉันตกใจที่พูดออกไปเช่นนั้น ทันใดนั้นเมื่อฉันรู้สึกตัว ก็รีบยืดตัวขึ้น เบิกตาโพลง พร้อมยกมือปฏิเสธรัว
“ไม่มี?”
“ไม่ใช่ค่ะ คือเอิญ”
“ใจเย็นๆ ผมรู้ว่าคุณเอิญตื่นเต้น ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ตอบก็ได้ครับ”
“คือเอิญตั้งใจทำงานค่ะ แล้วก็คิดว่าความรู้ที่เอิญมีหรือความต่างที่เอิญมี น่าจะสามารถคิด สร้างไอเดียใหม่ๆ ให้กับบริษัทได้...ค่ะ” อยากจะเอาหัวโหม่งกำแพงสักล้านรอบ แล้วก็ลงไปนอนแดดิ้นบนพื้น เหตุเพราะขัดใจตัวเองที่เผลอทำตัวแบบนั้น ฉันไม่กล้าสบตาคุณองศา ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตา เขาคงหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ
“ผมขออนุญาตเรียกคุณว่าเอิญนะครับ”
“ได้ค่ะ ได้”
“ส่วนเอิญก็เรียกผมว่าพี่องศา”
“เอิญว่ามันคงไม่เหมาะสมนะคะ” ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรผิดพลาด คุณองศายกยิ้มมุมปากหลังจากที่ฉันพูดจบ หากคิดในแง่ของการทำงาน การเรียกหัวหน้าระดับสูงกว่าตัวเองหลายขั้นว่าพี่ คงจะแปลกไม่ใช่น้อย...ฉันกลัวว่าหากทำตัวสนิทสนมคุณองศากว่าคนอื่น อาจจะทำให้คนอื่นมองฉันว่าเกาะแข้งเกาะขาหัวหน้า เพื่อต้องการเข้ามาทำงาน
“ไม่เหมาะตรงไหนครับ”
“คุณองศาเป็นหัวหน้า ส่วนเอิญ...”
“บริษัทเราเรียกแบบนี้กันทุกคนแหละครับ คุณเอิญเรียกผมว่าพี่องศา ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เหมาะสมหรือว่าถูกคนอื่นมองไม่ดี” หน้าแตกอีกแล้วไอ้เอิญ คุณองศาไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรสักหน่อย ฉันยิ้มเจื่อนตอบกลับคุณองศา ดวงตาคู่นั้นยังชอบมองจ้องอย่างที่ชอบทำ จนบางทีฉันพลั้งเผลอคิดไปเอง
ว่าเราสองคนต้องใจตรงกันแน่ๆ
“แล้วเสร็จจากสัมภาษณ์เอิญมีนัดต่อหรือเปล่า?” คุณองศาเปลี่ยนวิธีการพูดทันทีจนฉันตั้งตัวไม่ทัน ฉันส่ายหน้าตอบกลับ เพราะหลังจากนี้ฉันคงรีบกลับห้องพัก อาบน้ำ ทำงานที่ยังค้างต่อให้เสร็จ
“ไม่มีค่ะ คงจะกลับห้องเลย”
“ถ้าอย่างนั้นดีเลยครับ พี่จะไปหาน้ำเย็นด้วย...เดี๋ยวพี่ไปส่งเราด้วยเลย”
หากฉันตัดใจจากคุณองศาไม่ได้ ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่า คนที่ทำให้ฉันตกบ่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือเขานั่นแหละ