"ผมยี่สิบหกปีแล้ว ผมไม่ใช่คุณหนูแล้ว"
"ค่ะ ๆ คุณเขื่อนยี่สิบหกก็ยี่สิบหก"
ทั่วทั้งห้องมีแต่เสียงของความหงุดหงิดและความวุ่นวายอยู่นานหลายนาที เพราะตั้งแต่คุณปิ่นแต่งงานเข้ามาบ้านนี้ ป้าเนียมก็เหมือนกับได้พัก เพราะคุณปิ่นดูแลคุณเขื่อนทุกอย่างตั้งแต่ตื่นยันหลับ แม้เธอจะอายุแค่สิบแปดปี แต่หลาย ๆ อย่างกลับสามารถจัดการได้ดีราวกับเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
"ป้าเนียม ถุงเท้า"
"นี่ค่ะ ๆ"
แม่บ้านเก่าแก่ยื่นให้อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ เพราะคุณป้าเองก็แทบไม่ได้เข้ามาในห้องนี้เลย มีแต่คุณปิ่นดูแลทั้งหมด แม้แต่การพาสาวใช้ขึ้นมาทำความสะอาด
"ผมไม่เอาถุงเท้าคู่นี้มันหนา เวลาไปประชุมมันอึดอัด ปิ่นเขายังรู้ทำไมป้าไม่รู้"
"เดี๋ยวป้าหาให้ใหม่นะคะ"
"นาฬิกาผมด้วย"
"เอา ๆ เรือนไหนคะ คุณหนู"
"Rolex Cosmograph อย่าเรียกผมว่าคุณหนู"
"ป้าไม่รู้จักค่ะคุณหนู"
"ป้าเนียมมมม!"
เสียงแห่งความวุ่นวายดังขึ้นอยู่หลายนาทีกว่าจะสงบลง ตามมาด้วยเสียงวิ่งลงบันไดด้วยความเร่งรีบ ตอนนี้เขาสายมากแล้วสำหรับงานประชุมสำคัญของโพรเจกต์ใหม่ เรื่องติดต่อปิ่นมุกไม่ได้ก็ช่างกวนใจเหลือเกิน จนลืมหยิบโน่นหยิบนี่วุ่นวายไปหมดทั้งบ้าน ถ้าหากเธอไม่รับเงิน ถ้าหากเธอไม่ยอมทำตามข้อสัญญาแล้วยังพยายามติดต่อเขาอยู่ล่ะ???
สำนักงานใหญ่ภูมิพัฒน์ดีเวลลอปเมนต์
สิปปกร ภูมิพัฒน์ วัยยี่สิบเจ็ด ปี หุ้นส่วนสำคัญของ "ภูมิพัฒน์ ดีเวลลอปเมนต์" และเป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของเขื่อนยืนพิงสะโพกมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของญาติผู้น้องที่เพิ่งจะเป็นโสดด้วยความเวทนา เพราะเขาก็พอรู้อะไรมาบ้างจากการได้พบทนายประจำบริษัท
"หึ ในรอบปีเลยนะเขื่อนที่มึงทำตัวเหมือนพวกตกงานได้สมจริงขนาดนี้"
สายตาของญาติผู้พี่กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจเบา ๆ
"มึงแต่งตัวอะไรของมึงวะ เชิ้ตลายทางกับเนกไทลายทาง จะไปร้องเพลงลูกทุ่งหรือไง แล้วไหนกระดุมข้อมือ? วันนี้นักลงทุนรายใหญ่ทั้งนั้นที่มาประชุมกัน แล้วดูสภาพมึงมันดูได้ซะที่ไหนกันหนวดเคราก็ไม่โกน"
เสียงตำหนิของผู้พี่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด เพราะหลายวันมานี้เขาเองก็ติดต่อน้องชายตัวดีไม่ได้เหมือนกัน
"มึงเลิกบ่นกูสักทีได้ไหมครับ"
"ทำไมกูจะบ่นมึงไม่ได้วะไอ้เขื่อน วันนี้ไม่ต้องเข้าประชุมเพราะกูส่งมือหนึ่งของบริษัทไปแทนมึงแล้ว"
"นี่มันโพรเจกต์ของกูนะครับ"
"กูถามจริง ๆ เถอะ หลายวันมานี้ที่ติดต่อมึงไม่ได้มึงทำอะไรอยู่"
เขื่อนพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด เพราะเขารู้ว่าญาติผู้พี่ของเขาเอ็นดูปิ่นมุกมาก ๆ ถ้าให้มันรู้เรื่องการหย่าก็คงคัดค้านสุดชีวิต ดังนั้นการปิดทุกช่องทางการติดต่อง่ายที่สุดและให้ทุกคนติดต่อผ่านทนายแทน
"กูก็แค่อยู่บ้าน"
"มึงตามกูมานี่สิ"
สิปปกรเดินนำน้องชายไปยังร้านกาแฟประจำสำนักงาน สั่งเครื่องดื่มเย็นให้พร้อมกับแซนด์วิช เพราะเห็นสภาพมันแล้วคงยังไม่ได้กินอะไรมาแน่นอน ก่อนจะเดินนำไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ไม้ริมระเบียง
เขื่อนถอดเนกไทออกด้วยความหงุดหงิดแล้วหย่อนตัวลงนั่งตามผู้พี่อย่างเซ็ง ๆ เพราะวันนี้เขาจะตั้งใจมาร่วมประชุมแต่กลับถูกตัดสิทธิ์ไปโดยปริยาย
"กูบังเอิญได้ยินเรื่องหย่าจากคุณเอนก"
"อือ เมื่อวาน"
สิปปกรมองหน้าน้องชายที่ตอบอย่างไม่แยแส เพราะตั้งแต่ต้นการแต่งงานก็มาจากคำว่า "ความรับผิดชอบ" เขาเองก็รู้ดี เพราะทุกครั้งที่ไปดื่มกันมันก็มักจะพล่ามแต่เรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าเขาชอบดื่มอะไรขนาดนั้น แต่จะปล่อยให้นาวินทร์เมาเพียงลำพังไม่ได้ เพราะมีเรื่องทุกครั้งที่เมา
"มึงไม่สงสารน้องปิ่นเหรอวะ เป็นหม้ายตอนอายุสิบเก้าปี ยังเด็กมากเลยนะมึง"
"เอออออ ถ้ารู้ว่าตัวเองเด็กก็ไม่ควรเข้าหากูสิวะ นี่ฉวยโอกาสตอนกูเมาแล้วเข้าหากู จนกูเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิ พอเรื่องเลยเถิดขึ้นมาจะมาโทษว่าเป็นความผิดกูได้ยังไง"
"งั้นคนอื่นก็จีบน้องปิ่นได้แล้ว?"
"ถ้าคนอื่นตาต่ำขนาดนั้นก็แล้วแต่เลยไอ้สิบ กูหลุดพ้นแล้ว"
มือใหญ่ม้วนเนกไทใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความรำคาญ ก่อนหยิบแซนด์วิชขึ้นมากัดคำใหญ่ด้วยความหงุดหงิด วันนี้ไม่มีอะไรเป็นใจสักอย่าง ทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องญาติผู้พี่ที่นั่งฝันตาฉ่ำเยิ้มอยู่ตอนนี้ ก่อนหน้านี้มันเคยเห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่าง แต่วันนี้กลับจะคิดมาตีท้ายครัวเขา แถมตอนนี้ยังมานั่งยิ้มกวนตีนตรงหน้าอีก
"ไอ้สิบ ไอ้ชั่วเอ๊ย"
เขื่อนเอาแต่หงุดหงิดกับชีวิตที่ไม่ได้ดังใจ แต่อีกคนกลับไม่มีแม้แต่เวลาจะหงุดหงิดกับอะไรทั้งนั้น เธอในวัยสิบเก้าปี กับลูกในท้องยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ควรจะเดินไปทางไหน