ธิเบตยื่นสำเนาเอกสารชุดหนึ่งให้สุพรรณิการ์อย่างเงียบๆ คนรักสองคนกำลังทะเลาะกัน เขาที่เป็นเพียงคนนอกก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยนักหรอก หากแต่ยิ่งคุยกันเรื่องราวกลับยิ่งยืดเยื้อลุกลาม จนเขาเห็นว่าเริ่มออกทะเลไปกันใหญ่ จึงยอมที่จะยื่นจมูกเข้ามาร่วมเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเคลียร์กันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมจนจบเรื่อง
สุพรรณิการ์กลั้นหายใจ พยายามควบคุมสติก่อนจะหันมารับเอกสารจากคนข้างๆ แล้วโยนลงบนโต๊ะทำงานของอิศราเข้าโครมใหญ่ เร่งกำชับให้เขาอ่านโดยละเอียดเพื่อให้ความเป็นธรรมกับเธอในฐานะคู่หมั้น ไม่ใช่ไปเข้าข้างคนอื่นที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้
“แหกตาดูซะนะ ทั้งหมดนี่คือหลักฐานที่พี่ทิวไปขอมาให้จากกระทรวงดิจิตัล ในนั้นระบุว่าข้อความที่ส่งถึงฝ้ายมาจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและโทรศัพท์ของใครกันแน่ ละเอียดถึงขนาดรู้ได้ว่าใครเป็นคนครอบครองอุปกรณ์นั้น และจุดที่ส่งข้อความคือบ้านเลขที่ตามเอกสารของตำรวจ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่” หญิงสาวอธิบายโดยละเอียดตามประสาคนที่ใช้เหตุผลเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ผิดกับอีกฝ่ายที่กำลังนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยควบคุมอารมณ์ตนเองเอาไว้ไม่อยู่
“มันเป็นที่อยู่ของใคร พี่เอ๊ะคงรู้ดีกว่าฝ้ายมากนะคะ และฝ้ายก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีนั่นมันเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับพี่ถึงขั้นไหนแล้ว ถามหน่อยเถอะ ที่ผ่านมาพี่เอ๊ะเคยซื่อสัตย์กับฝ้ายบ้างหรือเปล่า ไหนๆเราก็มาถึงขั้นนี้แล้วพี่ พูดกันให้จบตรงนี้ไปเลยดีกว่าไหม?”
“เออ...นั่นเมียกูเองแหละ แล้วมึงจะทำไม!” อิศราตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นชี้หน้าเธอด้วยความเกรี้ยวกราด จนหญิงสาวต้องถอยหลังไปจนชิดตัวธิเบตที่กำลังคอยปกป้องเธออยู่ห่างๆด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“อ้อ…เมียเลยเหรอคะ ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? เราหมั้นกันมาหกปีแล้วนะพี่เอ๊ะ ทำไมพี่มีเมียแล้วฝ้ายไม่รู้ล่ะ พี่กำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวไหม?” ความเจ็บปวดทำให้เธอถึงกับหลั่งน้ำตา เพราะความจริงที่เพิ่งทราบ ไม่ต่างจากใบมีดที่กรีดลงหัวใจเธอสักเท่าไหร่…
“กูก็เพิ่งจะมีเพราะมึงหวงตัวนี่แหละ อย่าพยายามโยนความผิดให้กูเชียวนะอีฝ้าย เพราะถ้ามึงไม่เรื่องมาก กูก็คงไม่ไปยุ่งกับใครให้มีเรื่องปวดหัวแบบนี้หรอก” อิศราพยายามหาเหตุผลมากลบเกลื่อนความผิดของตนเอง ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน ด้วยเจ็บปวดจากความเป็นจริงที่เพิ่งได้รับรู้...
เขาหยาบคาย และเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนเธอรับไม่ได้ ความรักในตัวเขาที่เคยมีอยู่จนล้นใจทำให้เธอเจ็บปวดจนเหมือนใจจะขาด เขานอกใจเธอ เพียงเพราะเธอไม่ยอมมีอะไรลึกซึ้งกับเขาเลยแค่นั้นหรือ...
“ผู้หญิงอะไร แม่งน่าเบื่อฉิบหาย คิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์ลงมาเกิดหรือไงวะ แหม...รอวันแต่งงานนะคะพี่เอ๊ะ...อีกระแดะ นึกว่ากูไม่รู้เหรอว่าตัวตนจริงๆของมึงน่ะแรดร่านมากขนาดไหน น้องโบว์เขาบอกกูมาหมดแล้ว เขานั่งทางในจนเห็นความร่านของมึงไปถึงไหนๆแล้ว หยุดสร้างภาพตอแหลตบตาคนเสียทีเถอะ” อิศรายังไม่ยอมหยุด ยิ่งพูด ความเลวร้ายของเขาก็ยิ่งแผ่รังสีออกมาจนทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องนี้เริ่มจะรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เขาบอกว่ามึงกับไอ้พี่ชายปลอมๆนี่ ไปเอากันจนถึงไหนต่อไหนแล้ว มึงสองคนร่วมมือกันสวมเขาให้กูมาตลอด นึกว่ากูจะโง่จนมองไม่ออกเลยรึไงวะ” เขาหึงหวงในความสัมพันธ์ของธิเบตและสุพรรณิการ์จนอดไม่ได้ที่จะเก็บไประบายให้หญิงอื่นฟัง จนกลายเป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายเก็บข้อมูลมาใส่ร้ายสุพรรณิการ์จนทำให้เขาเชื่อมันได้อย่างสนิทใจตามที่เห็น
“ผมว่าเริ่มจะไปกันใหญ่แล้วนะครับ คุณทนาย” ธิเบตเอ่ยปากออกมาบ้างเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังถูกพาดพิงอย่างเผ็ดร้อน
“ผมไม่เคยแตะต้องน้องฝ้ายเกินระดับความสัมพันธ์ที่ควรมี และคงสถานะเสมอพี่ชายมาโดยตลอด ต่อให้คุณเข้าใจผิดหรือระแวงขนาดไหนก็ควรใช้วิธีอื่นเพื่อแก้ข้อสงสัยของตนเอง ไม่ใช่พูดลอยๆกักขฬะหยาบคายจนสะท้อนถึงภูมิหลังและความเป็นตัวตนที่เลวทรามออกมาแบบนี้ มันไม่ใช่วิธีที่ลูกผู้ชายทุกคนพึงกระทำ” คำด่ากลับอย่างสุภาพของธิเบต ทำให้อิศราได้แต่กำหมัดแน่น พยายามตอกกลับให้ทันเกม แต่ธิเบตกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนอย่างไวว่อง
“คู่หมั้นของคุณเป็นผู้หญิงที่ชาตินี้ทั้งชาติคุณก็หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ผมจะไม่ออกความเห็นใดๆในเรื่องความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองคนให้มากความ แต่ถ้าคุณยังหยาบคายและไร้เหตุผลอยู่แบบนี้ ผมคงต้องขออนุญาตพาน้องสาวกลับไปก่อน”
“และจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติ ยาวไปจนถึงชาติหน้าภพหน้า ถ้ามันมีจริงก็อย่ากลับมาเจอกันอีกเลย เราขาดกันวันนี้แหละ ไปตายซะ ไอ้พี่เอ๊ะ ไอ้ชั่ว ไอ้คนสารเลว!” สุพรรณิการ์ถอดแหวนหมั้นโยนใส่คนร่างสูงที่ยืนโกรธจนตัวสั่นอยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากสำนักงานของอิศราทั้งรอยน้ำตา โดยมีเสียงของอีกฝ่ายตะโกนไล่หลังมาด้วยแรงโทสะ
“เออ ดี มึงไปเลย! ไปจากชีวิตกูไกลๆเลยนะ อีนางชี แล้วอย่าซมซานกลับมาหากูอีกล่ะ คนจืดชืดอย่างมึง ชาตินี้ทั้งชาติคงหาผัวยากอยู่หรอกนะ เรื่องเยอะฉิบหาย ทำกูเสียเวลามาตั้งหกปี อีประสาทแดกเอ๊ย”
สุพรรณิการ์ปล่อยโฮออกมาทันทีโดยไม่อายใคร โลกทั้งโลกเหมือนหยุดเคลื่อนไหวไปแล้วสำหรับเธอ ได้แต่ยืนสะอื้นอย่างคนที่พังสิ้นในทุกๆความคาดหวัง สองขาเรียวได้แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะใช้ในการก้าวเดินต่อ ปล่อยให้ธิเบตต้องเป็นฝ่ายประคองเธอขึ้นรถไปราวกับตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต...