“เฮ้ยยย งานแต่งแกโคตรโรแมนติกเลย” น้ำหยกเดินเข้ามานั่งข้างๆ ฉัน ตอนนี้ฉันกำลังนังอยู่บนพื้นทรายสีขาว ตะวันลาลับขอบฟ้า เสียงเพลงดังแว่วมาพอให้ได้ยินเอื่อยๆ เสียงคลื่นดังกระทบฝั่งมันช่างเป็นบรรยากาศที่ดีจริงๆ
“อืม แล้วยัยเจสล่ะ”
“กลับแล้วเห็นบอกว่ามีงานต่อ ช่วงนี้คุณเธอรับงานหนักมาก” น้ำหยกพูดขึ้น พร้อมยื่นแก้วในมือที่ถือออกมาให้ฉัน “ดื่มกับฉันสักแก้ว คืนนี้จะได้มีความกล้าที่จะเข้าหอไง”
ฉันรับแก้วแล้วยกขึ้นชนกับแก้วของน้ำหยก เราพูดคุยกับอยู่นาน ก่อนที่เธอเดินกลับเข้าไปในงาน ตอนนี้แขกผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงเพื่อนของพี่ตรีกลุ่มหนึ่งและเพื่อนของพี่ชาย ฉันลุกเดินเล่นไปตามชายหายมือหนึ่งถือแก้วยกจิ๊บไปพลางอย่างสบายอารมณ์
อิสระ!! มันเป็นของฉันแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องทำตามคำสั่งของพ่อ ไม่ต้องมีตารางเวลา อยากทำอะไรก็ได้ทำตามใจของตัวเอง เกลียวคลื่นซัดสาดกระทบฝั่ง ฉันเอาเท้าเปลือยเปล่าเหยียบเม็ดทรายสีขาว เดินลงไปใกล้น้ำทะเลสัมผัสกับน้ำที่เย็นในเวลาพลบค่ำ ฉันหอบเอาอากาศตอนนี้เข้าเต็มปอด ไม่เคยรู้สึกสบายใจแบบนี้มาก่อน เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
สายลมพัดมากระทบร่างกาย ตอนนี้ฉันเริ่มหนาวจนต้องห่อไหล่เข้าหากัน ฉันมองไปรอบบริเวณตอนนี้เงียบสงบจนน่าตกใจ ฉันเดินเพลินออกมาใกล้จากที่จัดงาน มองเห็นแสงไฟเพียงดวงเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป
“ว้าว!! ไม่คิดจะมีสาวสวยเดินเล่นอยู่คนเดียว”
ฉันหันมองไปทางต้นเสียง ที่ได้ยินทุกถ้อยคำชัดเจน ผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ฉัน ด้วยสัญชาตญาณที่เกิดความหวาดกลัว เท้าเปล่าเริ่มถอยหลังเตรียมวิ่ง ตอนนี้สิ่งที่คิดเอาไว้คือ วิ่ง!! ความปลอดภัยของฉันมีไม่ถึง 50% คิดได้แค่นั้น ฉันก็ทิ้งแก้วในมือลงพื้นทรายแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า โดยไม่หันหลังกลับไปมองด้านหลังเลยด้วยซ้ำ
หัวใจในอกด้านซ้ายมันเต้นอย่างบ้าระห่ำ มองแสงไฟที่เริ่มมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างตรงด้านหน้า และฉันมองเห็นใครบางคนที่เดินมาทางนี้ ฉันรีบร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลนั้นทันที
“โอ๊ย!!” ในความซวยซ้ำซวยซ้อนของฉัน เท้าเปล่าเหยียบเข้ากับอะไรสักอย่าง ก็ไม่อาจรู้ รู้เพียงตอนนี้มันเจ็บแทบขยับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บุคคลด้านหน้าเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ตอนนี้ฉันได้มองไปทางด้านหลังตัวเองที่วิ่งหนีจากชายร่างใหญ่ มันพบเพียงความว่างเปล่าแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจแม้แต่น้อย
“มาทำอะไรที่นี่” เสียงผู้ชายตรงหน้าดังขึ้น ฉันแหงนมองไปตามเสียง ตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนพื้นทราย พร้อมเอามือกุมเท้าที่เจ็บและมีเลือดไหลออกมาเต็มฝ่ามือ
“คุณเป็นเพื่อนพี่ชายเป้ย” ฉันเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนหลบสายตาของเขา ชายหนุ่มตรงหน้าก็คือผู้ชายที่ได้ช่อดอกไม้ในงานแต่งของฉัน เขานั่งลงข้างๆก่อนจะดึงมือฉันออกจากฝ่าเท้าที่เต็มไปด้วยเลือด
“เดินไหวไหม”
ฉันส่ายหน้าเป็นการตอบคำถาม เจ็บขนาดนี้จะเดินไหวได้ไง และฉันต้องตกใจ ไม่อยู่ๆ ร่างของฉันก็ลอยจากพื้น ฉันตกใจรีบเอามือกอดคอของเขาโดยอัตโนมัติ กลัวตัวเองจะตกลงพื้นทราย เขาออกเดินไม่เร่งรีบแม้แต่น้อย บางครั้งฉันก็คิดว่าเขาแกล้งเอาคืนเรื่องดอกไม้นั้นหรือเปล่า กว่าจะได้ทำแผลมีหวังฉันต้องตายก่อนเพราะเลือดหมดตัวเป็นแน่
ฉันถูกวางลงบนเก้าอี้ข้างริมสระน้ำ พี่ตรีมองเห็นจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก คงเพราะเป็นห่วง เมื่อเห็นเลือดที่ไหลลงบนพื้นกระเบื้อง
“เป้ยเป็นอะไร ใครทำอะไร บอกพี่มา”
พี่ตรีถามฉันเสียงดัง จนทุกคนเริ่มเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ พี่ตรีรีบให้ลินดาไปเอากล่องยามาทำแผลให้กับฉัน เจ็บ!! แสบ!! จนฉันน้ำตาแทบไหล บาดแผลไม่ได้ลึกมาก ฉันคงเหยียบโอน อะไรสักอย่างที่เป็นของมีคม อาจเป็นเปลือกหอย ฉันคิดแบบนั้น แล้วคนที่ช่วยฉันหายไปไหนแล้ว ยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย เดี๋ยวเขาจะหาว่าฉันไม่มีมารยาทไม่รู้จักบุญคุณอีก
“เป้ยมองหาใคร” พี่ชายของฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
“เพื่อนพี่นะคะ เขาช่วยเป้ย เป้ยอยากขอบคุณเขา”
“อ้อ มันกลับแล้วไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่บอกมันให้เป้ยเอง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวพี่พาไปหาหมอ” ฉันพยักหน้ามีพี่ตรีคอยพยุง แต่เมื่อเขาเห็นฉันเดินลำบาก จึงอุ้มฉันขึ้นมา แล้วเดินไปยังห้องที่เตรียมเอาไว้เป็นเรือนหอในคืนนี้ “พี่ตรี ปล่อยเป้ยลงเถอะค่ะ ถึงห้องแล้ว” ฉันพูดไม่ทันขาดคำ เขาก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้ จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่กำลังราดรดพวงแก้ม ก่อนที่เขาจะสูดดมเอาความหอมเขาปอดของตัวเอง
“พี่ไม่อยากอดทนแล้ว เจ็บมากไหม” เขามองไปที่เท้าของฉันอย่างเป็นห่วง “เปลี่ยนชุดก่อน ให้พี่เปลี่ยนให้ไหม ดูเหมือนเป้ยจะไม่สะดวกทำเอง”
ใช่ฉันไม่สะดวก แค่เท้าใช้งานไม่ได้ข้างเดียวเองนะ มือยังใช้ได้ค่ะ ฉันส่ายหน้าไปมา ก่อนบอกให้พี่ตรีออกไปรอด้านนอกฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า มันก็ลำบากจริง ยืนก็เหมือนกระต่ายขาเดียว ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ที่ตรีเดินเข้ามาอุ้มฉันลงไปด้านล่าง ตอนนี้พี่ชายของฉันเอารถมาจอดรอและมีลินดานั่งข้างคนขับมาพร้อม
“ดาขอไปด้วยนะคะ พอดีรู้สึกไม่สบายค่ะ” ลินดาพูดขึ้น พร้อมยิ้มเล็กน้อยส่งมาให้ฉันกับพี่ตรี ฉันจึงถามออกไปอย่างเป็นห่วง เธอบอกแค่ว่ารู้สึกเวียนหัว ไม่สบายท้องคล้ายกลับท้องอืด อาหารไม่ย่อย จึงอยากไปให้หมอตรวจดูอาการหน่อย
“ดาไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” พี่ตรีถามขึ้นอีกคน น้ำเสียงของเขาเป็นห่วงลินดาไม่น้อย แต่ฉันกลับเคยชินมันเสียแล้ว เพราะเขาคอยเป็นห่วงเป็นใยคนใกล้ตัวของฉันเสมอ จนเลิกแปลกใจไปนานมากแล้ว
“ดาโอเคค่ะ ไปหาหมอคงดีขึ้น”
ในขณะการเดินทางไปโรงพยาบาล ที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึง20 นาที รถยนต์ก็เลี้ยวเข้ามาใต้อาคารผู้ป่วยนอก พี่ตรีรีบเดินไปเอารถเข็นมาให้ฉันนั่ง ก่อนที่พี่ชายของฉันและลินดาจะไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ ซึ่งมีพยาบาลคอยให้บริการแก่ผู้มาใช้บริการ ฉันถูกเข็นเข้ามาให้ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน หมอได้เข้ามาดูแผลและสรุป ต้องได้รับการเย็บแผล ฉันที่กลัวเข็มเป็นทุนเดิมแค่เห็นปลายเข็มฉีดยาชาหัวใจมันก็เต้นเร็วขึ้น จนต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น