สามปีต่อมา
“มะมี้ มะมี้ฮ้าบบบ น้องภีร์มาแย้ววว” เสียงเล็กใสดังก้องทั่วร้านอาหารพร้อมกับร่างป้อม ๆ วิ่งเตาะแตะเข้าหาอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางอุ้มเด็กชายขึ้น เจ้าตัวเล็กถูไถใบหน้าจิ้มลิ้มกับหน้าอกแม่อย่างออดอ้อน “ห๊อมหอม คิดตึ้งมามี้ทิ้ฉุดเยย”
“มามี้ก็คิดถึงน้องภีร์จ้ะ ไหน ให้มามี้ดูหน่อยซิว่าเจ้าตัวแสบของมามี้ไปเที่ยวซนได้แผลมาบ้างหรือเปล่าน้า” มือบางช้อนใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสำรวจ จับหมุนซ้ายหมุนขวาพลางบีบแก้มเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว เจ้าตัวเล็กหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจ ซุกไซ้แก้มนุ่มนิ่มกับฝ่ามือเธอไม่หยุด
“น้องภีร์ม่ายซนเยย น้องภีร์เปงเด็กดีฮะ ม่ายเจื้อถามลุงภพจิฮะ”
ร่างสูงที่เพิ่งเดินตามหลังเด็กชายเข้ามาพร้อมสองมือพะรุงพะรังหันมายิ้มให้สองแม่ลูก
“ใช่ ๆ น้องภีร์เป็นเด็กดีมาก ๆ ไม่ดื้อไม่ซนเลยสักนิด”
“แหม ถ้าพี่ภพบ่นว่าน้องภีร์ดื้อก็แปลกแล้วล่ะค่ะ ต่อให้เจ้าตัวแสบเผาร้านพี่ภพก็คงยิ้มชมอยู่ดีล่ะมั้งคะ คิก ๆ” น้อยหน่ายื่นหน้าออกมาจากหลังเคาท์เตอร์ยิ้มแซวเจ้านายหนุ่ม เพ็ญศรีรีบตีไหล่ลูกสาวเป็นเชิงปราม
“ปากไม่เป็นมงคลอีกแล้วนังเด็กคนนี้ เผาเผ่ยร้านอะไรกันล่ะ อัปมงคลจริง ๆ เล้ย!”
“โธ่แม่! น้อยก็แค่พูดเล่นเองนะ เนอะ ๆ พี่ชม” น้อยหน่าวิ่งออกมาเกาะแขนชมจันทร์เพื่อหาตัวช่วย หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจช่วยบังน้อยหน่าจากแม่ได้จนมิด แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เพราะตอนนี้เธอตัวเล็กบางกว่าน้อยหน่าเสียอีก
สามปีมานี้มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือรูปร่างของชมจันทร์ที่ไม่ได้อวบอ้วนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หลังจากเธอคลอดรภีร์ เธอเลี้ยงลูกด้วยตนเองมาตลอด ทั้งอดหลับอดนอน ทั้งเลี้ยงด้วยนมแม่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำหนักของเธอลดลงเรื่อย ๆ จากอดีตสาวอวบร้อยกิโลตอนนี้กลายเป็นสาวสวยหุ่นเพรียวบางในที่สุด นอกจากนี้เธอยังออกกำลังกายกระชับสัดส่วนจนผิวหนังที่เคยยวบย้วยเวลานี้กลับมาเรียบเนียนไร้ไขมันส่วนเกินแล้ว
“มามี้ฮะ น้องภีร์หิวแย้ว อยากกิงนมจังเยยฮะ” เจ้าตัวเล็กวัยสามขวบในอ้อมกอดยกมือเล็ก ๆ ขยี้ตาท่าทางง่วงงุนเต็มที่
“เดี๋ยวน้อยพาน้องภีร์ไปนอนเองพี่ชม พี่อยู่หน้าร้านไปเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ” น้อยหน่าเข้ามารับเด็กน้อยไปจากวงแขนชมจันทร์ เธอมองตามลูกชายจนลับสายตาก่อนหันกลับมาหาชายหนุ่มเจ้าของร้าน เขากำลังจัดแจงหยิบข้าวของออกจากถุงจำนวนหลายใบ ซึ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นของเล่นและขนมของเด็กทั้งสิ้น
“ทำไมของเยอะแยะขนาดนี้ล่ะคะ”
“อ้อ พวกนี้เป็นของที่น้องภีร์ชอบพี่ก็เลยซื้อมาให้”
“นี่มันเยอะมากเลยนะคะ พี่ไม่เห็นต้องตามใจน้องภีร์ขนาดนี้เลย ชมเกรงใจนะคะ” เธอมองของที่วางเต็มโต๊ะด้วยความรู้สึกเกรงใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สามภพตามใจรภีร์ แต่มันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขามักจะซื้อของมากมายมาให้เธอกับลูกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักมีของมาฝากตลอดจนเธอรู้สึกเกรงใจมากจริง ๆ
“เกรงใจอะไรกัน เห็นพี่เป็นคนอื่นคนไกลไปแล้วหรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ” เธอทำหน้าลำบาก หากทว่ายังไม่ทันพูดอะไร มีน้ำเสียงของใครอีกคนดังมาจากด้านหลังคนทั้งคู่ซะก่อน
“ไหนภพบอกว่ามีธุระไงคะ?” ร่างเพรียวระหงเดินเข้ามาในร้าน สายตาไม่พอใจตวัดมองชมจันทร์ เพียงแวบเดียวก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อสบตากับสามภพ “แหม ที่แท้ก็มีธุระที่ร้านนี่เอง”
“สวัสดีค่ะคุณยูริ ถ้างั้นฉันขอตัวขึ้นไปดูน้องภีร์ก่อนนะคะ” ชมจันทร์เอ่ยทักทายเป็นมารยาทก่อนทำท่าจะหลบฉากออกไปเหมือนทุกครั้ง
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่สุด เพราะคู่หมั้นของสามภพเป็นคนขี้หึงมาก ๆ เธอเคยถูกยูริต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับสามภพ เพราะไม่อยากให้ทั้งคู่มีปัญหากัน จึงได้แต่ก้มหน้าอดทนและพยายามเว้นระยะห่างจากชายหนุ่มแทน
“เดี๋ยวพี่ช่วยถือของขึ้นไปเก็บบนห้องนะ” สามภพรวบถุงบนโต๊ะมาถือเดินตามหลังมา เธอรีบแย่งถุงในมือเขามาถืออย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวชมถือขึ้นไปเอง”
“มันหนักนะ พี่ช่วยถือดีกว่า”
ทั้งคู่ยื้อยุดกันเล็กน้อยท่ามกลางสายตาเดือดดาลของคู่หมั้นสาว ยูริกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์คุกรุ่นในใจ
ชมจันทร์เห็นท่าไม่ดีจึงปล่อยมือออก ถอยหลังมายืนห่างจากร่างสูง
“ให้ภพถือขึ้นไปเถอะจ้ะ จริงสิ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอพอดี” ปลายน้ำเสียงยูริติดเย็นเหยียบเล็กน้อย เธอยิ้มมองคู่หมั้นหนุ่ม “ภพคะ ภพเอาของขึ้นไปเก็บเถอะค่ะ ยูริขอคุยเรื่องผู้หญิง ๆ กับชมสักหน่อย ภพไม่ว่ากันนะคะ”
“อ้อ ได้สิ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขึ้นไปดูน้องภีร์ให้เอง คุยกันเสร็จแล้วค่อยขึ้นไปตามนะ” สามภพเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ชมจันทร์สูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมรับแรงอารมณ์จากหญิงสาวตรงหน้า และไม่ผิดไปจากที่คิด ยูริขยับเข้ามายืนใกล้เธอพลางกดเสียงต่ำคล้ายจงใจให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เมื่อไหร่เธอสองคนแม่ลูกจะไปจากที่นี่สักที? เห็นภพใจดีกับพวกเธอหน่อยก็คิดจะเกาะเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือไง”
“…” คำพูดร้ายกาจเหล่านี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชมจันทร์ได้ยินจากปากของยูริ ตลอดเวลาสามปีมานี้ เธอได้ฟังมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“ก่อนหน้านี้ฉันก็พอเข้าใจนะว่าลูกเธอยังเล็ก จะให้กระเตงเด็กทารกไปอยู่ที่อื่นก็คงลำบากน่าดู แต่นี่มันสามปีแล้วนะ ลูกเธอก็โตแล้ว กำลังจะเข้าเรียนแล้วนี่ หรือคิดจะให้ภพส่งเสียลูกเธอเรียนด้วย?”
ชมจันทร์รู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความจริงที่สามภพคิดจะส่งเสียรภีร์เรื่องเรียน เขาเพิ่งคุยเรื่องนี้กับเธอเมื่อหลายวันก่อนตอนนำโบชัวร์โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่งมาให้เธอ เขาอยากจะส่งรภีร์เข้าเรียนที่นี่ เธอไม่เห็นด้วยเพราะค่าเทอมมันแพงเกินไป แต่เขากลับยืนยันว่าจะส่งเสียรภีร์เอง ทำให้เธอรู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้มาก
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะคุยกับพี่ภพเองค่ะ”
“ฮึ เธอก็พูดแบบนี้ตลอด แล้วยังไง? สุดท้ายภพก็ช่วยเธอสองแม่ลูกอยู่ดี”
“ฉันหมายถึง… ฉันจะคุยกับเขาเรื่องไปจากที่นี่ค่ะ”
ยูริหรี่ตามองอย่างจับผิด ก่อนจะหยักยิ้มพอใจเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของชมจันทร์
“ดี ฉันจะรอดูแล้วกัน”
.
.
.
“คุยกันเสร็จแล้วเหรอ แล้วยูริล่ะ?” สามภพละสายตาจากเด็กน้อยที่กำลังหลับปุ๋ยมามองร่างบางที่เดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างลูกชาย เธอลูบศีรษะรภีร์แผ่วเบาด้วยความรักใคร่
“เธอกลับไปแล้วค่ะ” น้ำเสียงหวานเว้นช่วงเล็กน้อย “ชมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ เราไปคุยกันข้างนอกดีไหมคะ?”
“อืม ได้สิ”
ทั้งสองเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึก บริเวณนี้เป็นลานกว้างแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นโซนสำหรับตากผ้า อีกฝั่งเป็นมุมนั่งเล่นซึ่งพวกพนักงานขึ้นมาทำเอาไว้สำหรับนั่งพักผ่อน ชมจันทร์เดินมานั่งตรงมุมโปรด สองตาเหม่อมองตึกรามบ้านช่องที่รายล้อมอยู่รอบร้าน
“ไม่ได้ขึ้นมาบนนี้นานแล้วแฮะ ล่าสุดก็เมื่อหลายเดือนก่อนใช่ไหม ตอนที่ชมกับน้อยหน่าขึ้นมานั่งกินหมูกระทะกันบนนี้”
“ใช่ค่ะ วันนั้นเป็นวันเกิดน้อยหน่า”
“จำได้ว่าเธอแอบป้าเพ็ญดื่มเหล้าจนเมา เช้ามาถูกตีแขนแดงเลยด้วยนี่”
“จริงด้วยค่ะ”
ทั้งคู่ยิ้มขำให้กับความแสบสันของน้อยหน่า บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลง ชมจันทร์รวบผมยาวสีดำพลางหลุบสายตาลงทอดมองถนนเบื้องล่าง ก่อนตัดสินใจพูดสิ่งที่ตั้งใจออกไป
“ชมกับลูกจะย้ายออกจากที่นี่…”
สามภพเงียบงันไปเกือบนาที เขาคิดว่าตนเองหูฝาด หันมองหญิงสาวข้างกายด้วยสีหน้างุนงง
“ชมพูดว่าอะไรนะ?”
“ชมจะย้ายออกจากที่นี่ค่ะ”
“เมื่อไหร่…”
“อีกสองเดือนค่ะ”
“ไม่สิ… พี่หมายถึง… ชมจะย้ายออกไปทำไม? แล้วจะไปอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนะ พี่ขอตั้งสติแป๊บ” ชายหนุ่มหมุนตัวยืนหันหลังให้เธอ ยกฝ่ามือลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ เรื่องที่เพิ่งได้ยินมันทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน หลังจากตั้งสติได้จึงหันกลับมา “โอเค พี่ถามใหม่นะ ชมจะย้ายออกไปจากที่นี่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ ชมวางแพลนเอาไว้สักพักหนึ่งแล้ว ชมตั้งใจว่าจะบอกพี่หลังจากทุกอย่างมันลงตัวแล้ว”
“วางแพลนเอาไว้แล้ว? หมายความว่ามีที่ที่คิดจะย้ายไปแล้วเหรอ… ที่ไหน?”
“บ้านเกิดชมค่ะ”
เมื่อปีที่แล้วชมจันทร์พารภีร์กลับบ้านเกิดตนเองเพื่อพาหลานไปไหว้หลุมศพตายายในวันครบรอบวันตายของพวกท่าน ที่แห่งนั้นเธอบังเอิญพบกับ รินดา เพื่อนสนิทของแม่ที่แวะมาไหว้ทุกปีเช่นกัน รินดาเป็นฝ่ายเข้ามาทักก่อนเพราะชมจันทร์หน้าเหมือนแม่มาก รินดาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของเธอให้ฟังมากมาย
และหนึ่งในเรื่องเล่านั้นก็คือก่อนจะเสียชีวิตแม่ของชมจันทร์วางแผนว่าจะเปิดร้านดอกไม้เล็ก ๆ ที่บ้านเกิดของเธอ แม่ดูทำเลและวางเงินมัดจำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดร้านก็มาเสียชีวิตไปซะก่อน ปัจจุบันร้านนั้นจะหมดสัญญาปลายปีนี้ ชมจันทร์จึงตัดสินใจจะสานต่อความฝันของแม่และของตัวเธอเอง เพราะเธอก็มีความฝันอยากจะเปิดร้านดอกไม้เล็ก ๆ เช่นกัน
“ชมฝันมาตลอดว่าอยากจะมีร้านดอกไม้เล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ชมอยากมีบ้านที่สามารถเลี้ยงดูน้องภีร์ให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง อยากมีสถานที่ที่ตัวเองกับลูกสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุขตลอดไป”
“ที่ร้านนี้คงไม่ใช่ที่แบบนั้นสินะ…”
“พี่ภพ… มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” ชมจันทร์หันกลับมาสบตากับสามภพ เธอรู้สึกผิดกับเขามาโดยตลอด เธอกับลูกพึ่งพาเขามามากเกินพอแล้ว มันถึงเวลาที่เธอต้องก้าวต่อไป… เพื่ออนาคตของรภีร์
ไม่ใช่ว่าที่ร้านอาหารแห่งนี้ไม่ดี มันดีมาก… ทั้งดี ทั้งอบอุ่น ทุกคนเปรียบเสมือนครอบครัวของเธอ ที่ผ่านมาชมจันทร์ตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตของลูก เพื่อสักวันเธอกับลูกจะได้ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชมจันทร์รู้ดีว่าเธอกับลูกไม่สามารถพึ่งพาสามภพได้ตลอดไป เธอไม่อยากเป็นภาระเขา และก็ไม่อยากทำให้คู่หมั้นของเขาต้องไม่พอใจอีก การจากไปของเธอกับลูกจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ชมขอบคุณพี่ภพมากนะคะ พี่คือผู้มีพระคุณของชม ถ้าไม่มีพี่ที่ช่วยดึงมือชมในวันนั้นอาจจะไม่มีชมกับลูกในวันนี้…”
“นั่นมันไม่ใช่บุญคุณอะไรเลย บอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก พี่ช่วยชมก็เพราะอยากจะช่วย มันคือความพอใจของพี่”
“ชมทราบค่ะ พี่ภพเป็นคนดี เป็นคนที่ดีมาก ๆ พี่ใจดี มีน้ำใจ และคอยช่วยเหลือคนอื่นเสมอ พี่ดีกับชมกับลูก ชมรู้สึกขอบคุณพี่จากใจจริง ๆ ค่ะ จากนี้ไปไม่ว่าชมกับลูกจะอยู่ที่ไหน ชมอยากให้พี่รู้ไว้นะคะว่าพี่คือคนสำคัญของพวกเราตลอดไป พี่สามารถมาหาพวกเราได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเมื่อไหร่ชมกับลูกยินดีต้อนรับพี่เสมอนะคะ”
สามภพยืนเงียบงันสบตาคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในหัวใจ เขารู้ดีว่าไม่อาจยื้อหรือรั้งผู้หญิงตรงหน้าไว้ได้ แม้จะเป็นห่วงเธอกับลูกมากแค่ไหนแต่ก็ทำได้เพียงเคารพการตัดสินใจของเธอ เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ชมจันทร์เป็นผู้หญิงที่ภายนอกดูเหมือนจะอ่อนแอแต่แท้จริงแล้วภายในจิตใจแข็งแกร่งมาก นับตั้งแต่วันที่เธอมีรภีร์ ความคิด ทัศนคติ และการใช้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สังเกตได้จากการดูแลสุขภาพตนเองจนสามารถลดน้ำหนักลงมาผอมเพรียวได้ เธอต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างหนักหนาแค่ไหน ตอนนี้เธอกลายเป็นสาวสวยสะพรั่ง สวยวันสวยคืนจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นพี่ขอดูแลเรื่องการย้ายของชมกับลูกทั้งหมดได้ไหม เพื่อความสบายใจของพี่ด้วย ขอให้พี่ได้เห็นกับตาว่าชมกับลูกสามารถอยู่ที่นั่นได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข พี่จะได้วางใจ”
ชมจันทร์ทำหน้าลำบากใจ เธอไม่อยากรบกวนเขาเลย แต่รู้ดีว่าถ้าปฏิเสธสามภพก็คงเป็นห่วงไม่หยุด งั้นคงต้องปล่อยให้เขาทำตามใจ เพื่อความสบายใจของเขา
การก้าวต่อไปครั้งนี้ของเธอคือการเริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง