บทที่เก้า #จับคู่

2555 Words
สองปีต่อมา รถยนต์คันหรูสีดำขลับแล่นบนถนนไฮเวย์มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ร่างสูงในชุดสูทราคาแพงยกกาแฟขึ้นจิบขณะสายตาคมกริบจับจ้องหน้าจอแมคบุคอย่างใช้สมาธิ บรรยากาศภายในรถเงียบงันตลอดทาง “ใกล้จะถึงตัวเมืองแล้ว เราต้องแวะร้านดอกไม้ก่อนเข้าไร่ใช่ไหม?” เลขาหนุ่มผู้รับหน้าที่ขับรถมองเจ้านายผ่านกระจกส่องหลังเมื่อรถแล่นเข้าสู่ตัวเมือง สองฝั่งทางเริ่มมีบ้านเรือนแทนที่ป่าเขา “แม่ฉันสั่งนายมาว่ายังไงก็ตามนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยเนือย ๆ เล็กน้อย เขาเพิ่งจะได้กลับเมืองไทยในรอบหกเดือน ยังไม่ทันจะได้พักผ่อนก็ต้องตรงดิ่งจากสนามบินขับรถขึ้นเหนือเพราะมารดาบังเกิดเกล้าสั่งเสียงเฉียบขาดว่าให้กลับมาหาทันทีที่เท้าเหยียบแผ่นดินไทย สิบนาทีต่อมารถยนต์คันหรูเลี้ยวจอดข้างฟุตบาทหน้าร้านดอกไม้แห่งหนึ่ง ป้ายชื่อหน้าร้านตรงกับชื่อในข้อความคำสั่งทางแชทบ่งบอกว่าพวกเขามาถูกร้านแล้ว “ท่านสั่งให้นายเข้าไปซื้อดอกไม้ที่ร้านนี้ กำชับว่านายต้องเข้าไปซื้อด้วยตัวเอง” กวินน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำสั่งแปลก ๆ ของคุณนายใหญ่แห่งบ้านอิศยนานนท์ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง “นายเข้าไปซื้อเถอะ ฉันไม่ว่าง” แต่คำสั่งมันใช้ไม่ได้กับลูกชายแท้ ๆ “แต่คุณท่าน…” “รีบเข้าไปซื้อให้จบ ๆ เหอะ ฉันไม่ว่างนั่งรอทั้งวันนะ” แดนรบปราดสายตามองเลขาคนสนิทผ่านกระจกส่องหลัง ระยะเวลาหลายปีมานี้ชายหนุ่มมีนิสัยเย็นชาขึ้นมาก เขานิ่งขรึม เย็นชา เข้มงวดและเด็ดขาดกับทุกเรื่อง กาลเวลาเปลี่ยนตัวตนของแดนรบให้กลายเป็นคนจริงจัง เขาต้องแบกรับภาระหน้าที่มากมายจนแทบไม่เหลือเวลาให้กับตนเองเลยด้วยซ้ำ ดั่งคำกล่าวที่ว่า ยิ่งเติบโตรอยยิ้มยิ่งจางหาย… ยิ่งเติบใหญ่ความสุขยิ่งน้อยลง… ก๊อก ๆ เสียงเคาะกระจกรถเรียกสายตาคมกริบละจากหน้าจอแมคบุค เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังยื่นหน้าเข้ามาแนบกับกระจก ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ พยายามมองเข้ามาด้านในรถ ครืด… กระจกรถเลื่อนลงช้า ๆ ปรากฏใบหน้าขาวจิ้มลิ้ม แวบแรกที่เห็นหน้าเด็กชายชัด ๆ ซีอีโอหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งด้วยความประหลาดใจ “คุณลุงฮะ ช่วยขยับรถให้ผมหน่อยได้ไหมฮะ” เสียงสดใสเอ่ยเรียกดึงสติร่างสูงกลับมา เขากะพริบตามึนงงชั่วขณะก่อนมองใบหน้าเด็กชายอย่างละเอียดอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้… มันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ? ทำไมกัน… ทำไมเด็กผู้ชายคนนี้หน้าตาเหมือนเขาตอนเด็ก ๆ ราวกับคนเดียวกันแบบนี้ล่ะ! “คุณลุงฮะ?” “ฮะ… อ้อ ว่าไงนะ?” แดนรบพยายามควบคุมสติ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาสติหลุดแบบนี้ ปกติเขาเป็นคนควบคุมสติและอารมณ์ได้ดีมาก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เด็กคนนี้ทำเขาสติหลุดจริง ๆ “ช่วยขยับรถให้หน่อยได้ไหมฮะ ผมทำมิ้วน้อยตกไปตรงนั้นอ่ะฮะ” เขาเพิ่งสังเกตว่าเด็กชายตรงหน้าสวมชุดนักเรียนอนุบาลและสะพายกระเป๋านักเรียนอยู่ ดวงตาคมหลุบมองตามนิ้วป้อม ๆ ที่ชี้ไปใต้รถ คำว่ามิ้วน้อยของเด็กชายน่าจะหมายถึงอะไรบางอย่างที่เผลอทำหล่นไปใต้ท้องรถแน่ ๆ ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถแล้วก้มมองของบางสิ่งตามทิศทางการชี้นั่น เมื่อเห็นว่ามีตุ๊กตาตัวเล็กตัวหนึ่งตกอยู่ใต้รถจริง ๆ เขาจึงเอื้อมหยิบมาส่งให้เด็กชาย คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำตามคำขอร้องของเด็กคนนี้ด้วย “ขอบคุณฮะ! มิ้วน้อยเกือบโดนรถเหยียบซะแล้ว โอ๋ ๆ น้องภีร์ขอโทษนะ ๆ” เด็กชายตัวน้อยโอบกอดตุ๊กตารูปร่างคล้ายแมวพลางโยกตัวไปมาเบา ๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นกว่าเดิม ยิ่งเห็นใกล้ ๆ ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนเขาตอนเด็กราวกับแกะ! “เกิดอะไรขึ้น?” เลขาหนุ่มเดินหอบดอกไม้ช่อใหญ่ออกมาจากทางหน้าร้าน เขาขมวดคิ้วมองเจ้านายหนุ่มที่ลงมายืนข้างรถ สีหน้าแดนรบแสดงออกทางอารมณ์มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับกวินน์มาก “ไม่มีอะไร ซื้อเสร็จแล้วใช่ไหม?” “อืม แล้วเด็กคนนี้…” คำถามของกวินน์ขาดหายไปทันทีเมื่อเห็นหน้าเด็กชายตัวน้อยชัด ๆ สองตาของเขาเบิกกว้างหันขวับมองแดนรบสลับกับเด็กน้อยไปมา “ไม่ต้องพูด ก็แค่เด็กหน้าโหล รีบขึ้นรถซะ ฉันเสียเวลามาเยอะแล้ว” แดนรบตัดจบด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาเปิดประตูขึ้นนั่งเบาะหลังตามเดิม ก่อนปิดประตูสายตาคมเหลือบมองเด็กชายเล็กน้อย ดวงตากลมโตจ้องมองเขาตาแป๋ว ความรู้สึกประหลาดแล่นวาบเข้ามาในหัวใจแกร่ง เขารีบสะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งแล้วปิดประตูดังปึง เป็นจังหวะเดียวกับร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากหน้าประตูร้านดอกไม้ เธอหยุดสายตามองที่ร่างเล็กป้อมของเด็กชายตัวน้อยก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา “น้องภีร์ มายืนทำอะไรตรงนี้คะ?” กวินน์หันมองตามเสียงเรียกและพบกับสาวเจ้าของร้านดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อดอกไม้ด้วยเมื่อครู่ เธอจับมือเด็กชายแล้วเงยหน้ามองลูกค้าหนุ่มเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” “อ้อ… ไม่มีอะไรครับ ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” “ค่ะ” หญิงสาวผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อยก่อนจูงมือเด็กชายกลับเข้าร้าน เลขาหนุ่มละสายตากลับมาเปิดประตูรถวางช่อดอกไม้บนเบาะด้านข้างคนขับก่อนแทรกตัวเข้ามานั่งในรถ เขามองกระจกส่องหลังเห็นเจ้านายหนุ่มกำลังใส่หูฟัง สายตาจับจ้องแมคบุคอย่างไม่สนใจความเคลื่อนไหวรอบตัว แปลว่าแดนรบไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้านนอกรถ . . . รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้าสู่ประตูรั้วขนาดใหญ่ซึ่งมีป้าย ‘อิศยไวน์เนอรี่ฟาร์ม’ ปักอยู่หน้าทางเข้า ขับต่อมาเกือบหนึ่งกิโลเมตรจึงพบกับคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้และไร่องุ่นสีขจีทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แดนรบก้าวลงจากรถพลางรับช่อดอกไม้จากกวินน์มาถือ ร่างสูงเดินเข้ามาภายในคฤหาสน์ เมื่อเห็นร่างบอบบางของมารดากำลังนั่งถักไหมพรมอยู่บนโซฟาห้องรับแขก รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏขึ้นมุมปากหนา “ผมกลับมาแล้วครับแม่” “อ้าว ตาแดน กลับมาแล้วเหรอลูก” ดารินยิ้มต้อนรับลูกชายสุดที่รัก เธอรีบลุกขึ้นเดินเข้าหาร่างสูง ดวงตาอ่อนโยนมองช่อดอกไม้ในมือเขา “นี่ดอกไม้ที่แม่ชอบครับ” “ขอบใจจ้ะ นี่ลูกเข้าไปซื้อมาด้วยตัวเองหรือเปล่า” ดารินรับช่อดอกไม้มากอดพลางดมกลิ่นหอมด้วยความอารมณ์ดี “แน่นอนสิครับ” “ถ้างั้นลูกก็เจอกับหนูชมแล้วน่ะสิ” หนูชม… ใครกัน? แดนรบเหลือบตามองกวินน์ซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลัง เลขาหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ ตอนนี้แดนรบเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ของเขาถึงสั่งให้เขาเข้าไปซื้อดอกไม้ด้วยตนเอง คงไม่พ้นเรื่องจับคู่อีกแน่ ๆ “หนูชมเป็นยังไงบ้างล่ะ สวยมากเลยใช่ไหม นิสัยก็อ่อนหวาน พูดจาก็ไพเราะ…” ดารินเริ่มสาธยายคุณสมบัติหญิงสาวให้ลูกชายฟัง แดนรบทำเหมือนจะฟัง แต่จริง ๆ ไม่ได้เข้าหูเขาเลยสักนิด ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาพลางคลายเนกไทออกหลวม ๆ นี่คงเป็นจุดประสงค์หลักที่แม่เรียกตัวเขากลับมาครั้งนี้ ครู่ต่อมาบนบันไดปรากฏร่างสูงของผู้เป็นประมุขของบ้าน “กลับมาแล้วเหรอไอ้ตัวดี” “สวัสดีฮะพ่อ” “ฮึ ถ้าแม่แกไม่เรียกตัวกลับมา ชาตินี้คงจะไม่ได้เห็นหัวซะแล้วละมั้ง” ดนัยเดินมานั่งโซฟาตัวประจำ เหลือบมองช่อดอกไม้ในอ้อมแขนภรรยาก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “ดอกไม้จากร้านยัยหนูนั่นอีกแล้วล่ะสิ” “โธ่คุณคะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ คุณดูดอกไม้พวกนี้สิคะ ทั้งสวย ทั้งสด ทั้งหอม การจัดช่อก็ดูดีมาก ๆ” “พอเถอะ ๆ ผมไม่อยากฟังคุณเยินยอถึงยัยหนูนั่นแล้ว” ดนัยบอกปัดเสียงเนือย ๆ ช่วงเวลาหลายเดือนมานี้เขาได้ยินเรื่องของยัยหนูเจ้าของร้านขายดอกไม้จากปากภรรยามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ตั้งแต่ดารินรู้จักร้านดอกไม้นั่นเธอก็กลายเป็นลูกค้าประจำมาตลอด แจกันในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้จึงไม่เคยเว้นว่างจากดอกไม้เลยสักวัน “ฉันไม่ได้เยินยอสักหน่อย หนูชมเธอทั้งสวย ทั้งน่ารัก แถมยังจิตใจดี มีน้ำใจ ใคร ๆ ก็ชื่นชมเธอทั้งนั้น” นั่นปะไร… ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งไม่อยากฟัง ยิ่งจะได้ฟังไม่หยุด “ถ้างั้นผมขอตัวขึ้นไปพักก่อนนะฮะ” แดนรบลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินหนี แต่ถูกเสียงมารดาเรียกรั้งเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนสิตาแดน ลูกยังไม่ตอบแม่เลยนะว่าเจอกับหนูชมแล้วเป็นยังไงบ้าง” “เฮ้อ…” แดนรบหันกลับมามองมารดาด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน เมื่อไหร่แม่จะเลิกจับคู่ให้เขาสักทีนะ ต้องให้เขาพูดสักกี่ครั้งว่ายังไม่อยากแต่งงาน ยังไม่อยากมีชีวิตคู่ตอนนี้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่บริษัทกำลังเติบโต ห้าปีมานี้แดนรบขยายสาขาการส่งออกไปในหลายประเทศ เขาสามารถพาบริษัทเข้าสู่ตลาดโลกได้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่กี่ปี มันเป็นช่วงที่ควรกอบโกยผลประโยชน์ เขาจึงไม่มีเวลามาคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ “ไม่ต้องมาเฮ้อเลยนะ เราจะสามสิบแล้วนะตาแดน จะครองตัวโสดแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ พ่อกับแม่อยากอุ้มหลานจะแย่แล้วนะ” ดารินทำเสียงน้อยอกน้อยใจ เธอทำไปเพราะหวังดีกับลูกหรอกนะ หลายปีมานี้เธอพยายามมองหาผู้หญิงดี ๆ ให้ลูกอยู่ตลอด แต่ลูกชายตัวดีก็ชอบบ่ายเบี่ยงเสียทุกครั้ง เธอล่ะเหนื่อยใจกับลูกชายคนนี้จริง ๆ “อะไรกัน นี่อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะจับคู่ตาแดนกับยัยหนูนั่น” ดนัยเพิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาขมวดคิ้วมองภรรยา ดารินหันมายิ้มกริ่มให้สามี “จับคู่อะไรกันคะ ฉันก็แค่อยากให้ตาแดนลองทำความรู้จักกับหนูชมเฉย ๆ” นั่นมันเรียกว่าจับคู่ครับแม่… “ไม่ได้เด็ดขาด” ประมุขของบ้านปฏิเสธเสียงขรึม แดนรบเลิกคิ้วมองบิดาด้วยความทึ่ง ปกติพ่อเขาเกรงใจแม่อย่างกับอะไร ทำไมวันนี้กลับทำตัวเป็นเสือเข้มไปได้ซะล่ะ “ทำไมไม่ได้คะ? คุณมีปัญหาอะไรกัน?” “มะ ไม่ใช่ว่ามีปัญหา” น้ำเสียงขรึมในตอนแรกแผ่วปลายลง แดนรบถึงกับลอบกลอกตา ที่แท้ก็เสือกระดาษนี่นาพ่อเขา “ถ้าไม่มีปัญหาแล้วจะแย้งทำไมคะ” “ผมไม่ได้แย้ง แค่คิดว่ามันไม่เหมาะเฉย ๆ” “ไม่เหมาะยังไงคะ หนูชมทั้งสวย ทั้งเก่ง น่ารัก อ่อนโยน นิสัยดี มีตรงไหนที่ไม่เหมาะ? หรือคุณคิดว่าลูกเราไม่เหมาะกับหนูชม?” ดารินหันมองลูกชายพลางพินิจพิเคราะห์ “จะว่าไปก็จริงแฮะ” อ้าว… เดี๋ยวสิครับแม่ นี่จะบอกว่าลูกชายแม่ไม่เหมาะกับผู้หญิงคนนั้นเหรอครับ? ผู้ชายโปร์ไฟล์ระดับเทพอย่างผมเนี่ยนะ? คิดว่าเธอคนนั้นเป็นนางฟ้ามาจุติหรือยังไงกันเนี่ย แดนรบยืนมองพ่อกับแม่คุยกันด้วยความรู้สึกไม่พอใจนิด ๆ “เรื่องจับคู่อะไรนั่น แม่เลิกคิดเถอะครับ ผมยังไม่พร้อมจะแต่งงานตอนนี้” “ลูกพูดแบบนี้มาหลายปีแล้วนะ ไม่รู้แหละ แม่ชอบหนูชม ลูกควรไปทำความรู้จักกับเธอไว้” ดารินพูดตัดบทอย่างแสดงอำนาจ ดนัยขมวดคิ้วยุ่ง บ่นอุบอิบ “แต่ยัยหนูนั่นมีลูกแล้วนา…” หืม… ผู้หญิงคนนั้นมีลูกแล้วด้วยเหรอ? นี่แม่คิดจะจับคู่เขากับแม่หม้ายลูกติดงั้นเหรอ? น่าประหลาดใจเกินไปแล้ว… “มีลูกแล้วยังไงคะ?” ดารินหันขวับมองแรงใส่สามีทันที “ตาหนูภีร์น่ารักออกขนาดนั้น คุณเองก็ถูกชะตากับเด็กคนนั้นไม่ใช่หรือไงคะ” “มันก็จริง…” ดนัยยอมรับเสียงอ่อย “แต่ที่ผมรู้สึกถูกชะตาเป็นเพราะเด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนเจ้าแดนตอนเด็ก ๆ ต่างหาก” หน้าเหมือนเขาตอนเด็ก ๆ งั้นเหรอ… หรือจะหมายถึงเด็กผู้ชายคนนั้น… “นั่นสิ ตาหนูภีร์หน้าเหมือนตาแดนมากจริง ๆ นั่นแหละ นี่ถ้าไม่รู้จักนิสัยลูกชายตัวเองดี แม่คงอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าลูกแอบไปไข่ทิ้งไว้หรือเปล่า” คำพูดของดารินทำร่างสูงสะดุ้งหน่อย ๆ ซีอีโอหนุ่มหันขวับมองเลขาคนสนิทอย่างนิ่งงัน ไม่หรอกมั้ง… เขาเคยทำเรื่องผิดพลาดไปแค่ครั้งเดียวเอง มันคงไม่บังเอิญปุบปับรับโชคขนาดนั้นหรอกมั้ง “เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่เหรอฮะ ที่ว่าหน้าเหมือนผม” เขาลองเชิงถาม พยายามทำน้ำเสียงไม่ใส่ใจ ไม่ให้มีพิรุธ ดารินทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ปีนี้ห้าขวบแล้วมั้ง” เรื่องผิดพลาดคืนนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันนะ… ตอนเขาอายุยี่สิบสี่หรือเปล่า… ถ้าลองนับดูงั้นก็ผ่านมาเกือบหกปีแล้ว บ้าน่า… ไม่ใช่หรอก… ไม่มั้ง… ฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว “ถ้างั้นผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะฮะ ตอนนี้ผมเหนื่อยมากเลย” “เฮ้อ… เอาเถอะ ๆ ลูกขึ้นไปพักเถอะ เอาไว้เย็น ๆ ค่อยลงมาทานข้าวกับพ่อแม่นะ” ดารินยอมปล่อยลูกชายไปในที่สุด เมื่อเห็นสีหน้าแดนรบซีดเผือด สงสัยจะอ่อนเพลียมากจริง ๆ ร่างสูงหมุนตัวเดินขึ้นบันไดโดยมีกวินน์เดินตามขึ้นมาด้วย ห้องพักของกวินน์อยู่ถัดจากห้องเขาไปสองห้อง เวลาทั้งคู่กลับมาที่ไร่ก็มักจะค้างที่นี่คืนสองคืนเสมอ “เรื่องเด็กคนนั้น…” “ไม่ใช่หรอก มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” เขาพูดตัดบทเลขาหนุ่ม “แต่เด็กนั่นหน้าตาเหมือนนายมากเลยนะ” แดนรบหยุดยืนหน้าประตูห้อง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “…แค่ครั้งเดียวมันคงไม่ฟลุ๊คขนาดนั้นหรอกมั้ง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD