ตึก ตึก ตึก
ร่างสูงกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหน้าห้องคลอด ใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อไปหมด เขาไม่ได้สนใจร่างบางที่กำลังวิ่งตามหลังมา ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดโฟกัสไปที่หญิงสาวในห้องคลอดหมดแล้ว
“ชมเป็นยังไงบ้าง?”
กรองแก้วลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาหา สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนรนใจไม่ต่างจากน้อยหน่าและเพ็ญศรี
“ยัยชมมีภาวะตกเลือด เมื่อครู่ก่อนเข็นเข้าห้องคลอดหมอแจ้งว่าเด็กมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ทำให้คลอดธรรมชาติยาก หากจำเป็นจริง ๆ อาจต้องผ่าคลอดด่วนค่ะ”
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน?”
“คือว่า… วันนี้ชมเดินลงมาด้านล่างค่ะ พวกเรานั่งคุยกันได้สักพักเธอก็เจ็บท้องจะคลอด เราโทรหารถพยาบาลแล้ว แต่มันเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนรถเลยมาช้า ชมปวดท้องมากจนมีเลือดไหลออกมาแล้วหมดสติไป พวกเราไม่มีใครขับรถเป็นเลยค่ะ โชคดีที่มีลูกค้าท่านหนึ่งอาสาขับรถมาส่งที่โรงพยาบาลทัน…” กรองแก้วก้มหน้าอธิบาย
สามภพหลับตาแน่นพลางถอนหายใจหนัก ๆ เป็นเพราะเขาเอง ถ้าวันนี้เขาอยู่ที่ร้านด้วย ชมจันทร์คงไม่ต้องรอรถนานจนถึงขั้นตกเลือดแบบนี้
มันเป็นความผิดของเขา…
“แล้วลูกค้าคนนั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไปขอบคุณเขา”
“กลับไปแล้วค่ะ เขาให้คนขับรถมาส่ง ส่วนตัวเขากลับรถอีกคันไปค่ะ พวกเราร้อนใจมากจึงไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยขอบคุณเขาเลยค่ะ”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ครู่ต่อมาประตูห้องคลอดเปิดออกพร้อมพยาบาลในชุดผ่าตัดเดินออกมา
“ญาติคุณชมจันทร์ค่ะ”
“ผมครับ เธอกับลูกเป็นยังไงบ้างครับ?” สามภพเดินเข้าหาพยายามบาลทันที คนอื่น ๆ เดินตามหลังเขามาด้วย
“คุณเป็นสามีคนไข้หรือเปล่าคะ?” คำถามของพยาบาลเรียกความเงียบงันจากทุกคน สามภพตั้งสติได้ก่อน เขาส่ายหน้าตอบ
“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นเจ้านายเธอ”
“ถ้าอย่างนั้นพอจะติดต่อสามีหรือญาติคนไข้ได้ไหมคะ ตอนนี้คนไข้อยู่ในภาวะเสียเลือดมาก ทางเราจำเป็นต้องผ่าคลอดด่วน แต่ต้องให้ญาติคนไข้เซ็นยินยอมก่อนถึงจะทำการรักษาได้ค่ะ”
จิตใจคนฟังร้อนรนอย่างกับไฟ ยิ่งได้ยินคำว่าเสียเลือดมากเขายิ่งกังวล สามภพเรียนจบหมอมา เขารู้ดีว่าภาวะเสียเลือดมากมันหมายถึงอะไร มันหมายถึงว่าชีวิตของชมจันทร์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความเป็นความตาย…
“เธอไม่มีญาติที่ไหนแล้วครับ เธอมีแค่ผม… ผมเซ็นยินยอมเอง ผมจะรับผิดชอบเธอเอง”
พยาบาลสาวนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนพยักหน้ายินยอม เธอยื่นเอกสารในมือให้สามภพเซ็นชื่อก่อนเดินกลับเข้าห้องคลอดไป ทุกคนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ต่างคนต่างกังวลร้อนรนใจ มีเพียงคนเดียวที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาขุ่นเคือง…
.
.
.
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าชมจันทร์จะรู้สึกตัวตื่น ฤทธิ์ยาสลบทำให้เธอรู้สึกมึนงงและเวียนหัว ร่างกายทุกส่วนปวดแปลบไปหมดโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ฝ่ามือบางทาบทับบนหน้าท้องด้วยความเคยชิน ทว่ากลับต้องรู้สึกใจหายเมื่อสัมผัสได้ถึงขนาดที่มันต่างไปจากปกติ
“โอ๊ย…” เพราะรีบขยับตัวมากเกินไปทำให้บาดแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้องเจ็บแปลบขึ้นมา เสียงหวานเรียกสายตาจากร่างสูงที่กำลังนั่งอ่านเอกสารบัญชีหันมอง เขารีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเธอที่เตียง
“ฟื้นแล้วเหรอชม อย่าเพิ่งขยับตัวนะ เธอเพิ่งผ่าตัดมา นอนนิ่ง ๆ ไปก่อน” หญิงสาวถูกจับนอนลงที่เดิม ตอนนี้หัวสมองเธอเบลอไปหมด การประมวลความคิดเชื่องช้าตามไปด้วย
“ละ ลูก… ลูกฉันอยู่ที่ไหนคะ?”
“เขาปลอดภัยดี น้ำหนักตัวเยอะ แถมยังแข็งแรงมากด้วย”
“จริงเหรอคะ… ดีจัง… ดีจังเลย ลูกแม่ปลอดภัยแล้ว…” น้ำตาแห่งความดีใจเอ่อคลอดวงตาหวาน เธอหลับตาสะอื้นเบา ๆ ด้วยความอ่อนแรง
“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว พักผ่อนให้เยอะ ๆ จะได้มีแรงพาลูกกลับบ้านเร็ว ๆ” เขาห่มผ้าให้เธอ หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย เธอเลิกร้องไห้และผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาอีกครั้ง
.
.
.
วันถัดมาสามภพพาชมจันทร์มาที่ห้องเด็กแรกเกิด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เห็นหน้าลูกชายสุดที่รักแล้ว ภายในห้องมีเด็กทารกแรกเกิดนอนหลับอยู่ในรถเข็นหลายคน ชมจันทร์ไล่สายตามองเด็กทีละคนจนกระทั่งหยุดลงที่เด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง วินาทีนั้นหัวใจของเธอสั่นไหว เธอรับรู้ได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้คือลูกชายของเธอ
“ลองอุ้มลูกไหมคะคุณแม่”
“ค่ะ… ฉันอยากอุ้มเขามาก ๆ เลยค่ะ” เธอตอบรับน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเปี่ยมรักจับจ้องใบหน้าขาวจิ้มลิ้มของลูกชายไม่ยอมละ
พยาบาลอุ้มเด็กน้อยมาวางในอ้อมแขนของชมจันทร์ เธอค่อย ๆ ประคองกอดลูกด้วยความทะนุถนอม
“น้องน่าเอ็นดูมาก ๆ เลยค่ะ เลี้ยงง่ายมาก ไม่มีร้องงอแงเลยสักนิด โตขึ้นต้องเป็นเด็กดีมากแน่ ๆ ค่ะ”
“…” ชมจันทร์พูดอะไรไม่ออกนอกจากยิ้มทั้งน้ำตา เธอจ้องมองลูกชายในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่อย่างสุดหัวใจ
เขาคือลูกชายของเธอ… คือของขวัญแสนวิเศษ… คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ
ภาพหญิงสาวตระกองกอดลูกในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่นั้นสะกดสายตาคนมองอย่างสามภพโดยไม่รู้ตัว เขาเหม่อมองชั่วขณะก่อนดึงสติตัวเองกลับมา
“…จริงสิ ชมตั้งชื่อให้ลูกหรือยัง”
ชมจันทร์จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาพลางขยับยิ้มทอดสายตามองอย่างรักใคร่ นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าตนเองได้ลูกชาย เธอก็มีชื่อ ๆ หนึ่งผุดขึ้นมาในใจแล้ว…
รภีร์… ดวงตะวันแสนอบอุ่นและสว่างไสวของแม่
.
.
.
การประชุมเคร่งเครียดแสนยาวนานจบลง ผู้คนภายในห้องประชุมทยอยเดินออกจากห้องจนหมด เหลือเพียงซีอีโอหนุ่มที่กำลังนั่งเอนหลังพักสายตาจากความเหนื่อยล้า
หลายเดือนมานี้แดนรบทำงานหนักเหลือเกิน เขาแทบไม่มีเวลาพักผ่อนด้วยซ้ำ นับตั้งแต่ท่านประธานหรือพ่อของเขาเข้าโรงพยาบาลกะทันหันในวันนั้น จนกระทั่งวันนี้ท่านก็ยังรักษาตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกมาทำงานอีกเลย แม้ว่าอาการป่วยของท่านจะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ้างเหตุผลว่าตนเองไม่สามารถทำงานหนักได้เหมือนเดิมแล้วจึงทิ้งภาระหน้าที่อันแสนหนักอึ้งให้กับลูกชายอย่างเขาแทน
ทว่าถ้าหากแดนรบได้อำนาจหรือตำแหน่งจากท่านประธานมาอย่างเต็มที่ก็คงไม่เหนื่อยเท่านี้ แต่เพราะพ่อของเขาที่ถึงแม้ปากจะพูดว่าทำงานไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังไม่วายเข้ามาแทรกแซงอำนาจและการบริหารอยู่เสมอ แถมยังมักจะแย้งความคิดลูกชายอย่างเขาไปแทบทุกเรื่องเลยด้วย และเหตุผลที่พ่อทำแบบนั้นเขาคิดว่าเขารู้… แต่ไม่ถามจะดีกว่า
ไม่อยากเปิดประเด็นให้พ่อกลับมาเล่นงานเขาง่าย ๆ
“นายไหวไหม?”
เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นกวินน์จะเปลี่ยนสรรพนามและใช้คำสุภาพกับแดนรบ แต่ถ้าอยู่กันตามลำพังเขาจะใช้คำพูดตามปกติของคนสนิทกัน
“อืม” ซีอีโอหนุ่มครางตอบในลำคอ ก่อนนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“ผู้หญิงคนนั้น?” จู่ ๆ ถูกถามแบบไม่ทันตั้งตัว กวินน์จึงอดงุนงงไม่ได้
“ก็ผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอดคนนั้นไง นายพาเธอไปส่งโรงพยาบาลมาไม่ใช่เหรอ เธอกับเด็กเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า?”
เลขาหนุ่มขมวดคิ้วร้องอ้อในใจ เขาเกือบจะลืมเรื่องเมื่อวานไปแล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่เพิ่งจะไปรับรถจากคาร์แคร์มาเมื่อเช้าแท้ ๆ
“ไม่รู้สิ ส่งเธอขึ้นเตียงผู้ป่วยเสร็จฉันก็กลับมาเลย”
“งั้นเหรอ…”
“จะให้ฉันไปสืบไหม?”
“ไม่ต้อง ฉันก็ถามไปงั้นแหละ” แดนรบโบกมือไม่ใส่ใจ เขาก็แค่ถามไปอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกติดใจนิดหน่อย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเมื่อวานต้องรู้สึกว้าวุ่นใจแบบนั้นด้วย ทั้งที่ก็แค่ผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังเจ็บท้องจะคลอดลูก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเดินผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้
มือหนายกแก้วกาแฟขึ้นจิบ เมื่อหลายเดือนก่อนแดนรบมีอาการป่วยแปลก ๆ เกิดขึ้นจนถึงขั้นต้องพบแพทย์ ทั้งแพทย์รักษาโรคทั่วไปและจิตแพทย์ อาการแปลก ๆ ที่ว่าคืออยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหม็นกาแฟ คำว่าเหม็นในที่นี้หมายถึงเหม็นมากจนอาเจียน แบบว่าได้กลิ่นไม่ได้เป็นต้องพุ่งเข้าห้องน้ำ แล้วตอนนั้นเขาอยู่ในช่วงงานหนักแต่กลับดื่มกาแฟไม่ได้ เรียกว่าเป็นช่วงเวลานรกแตกสุด ๆ ร่างกายเขาแทบพัง สภาพดูไม่ได้ยิ่งกว่าซอมบี้ เขาพยายามรักษาทุกทางแต่ไม่ได้ผล จิตแพทย์วินิจฉัยว่าเขาอาจเครียดเกินไป ซึ่งไม่รู้หรอกว่ามันจริงไหม แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน อาการเหล่านั้นมันค่อย ๆ ดีขึ้นเอง จนทุกวันนี้เขาสามารถกลับมาดื่มด่ำกับรสชาติหอมละมุนของกาแฟได้อย่างปกติแล้ว
คราวนี้ถือว่าแดนรบผ่านวิกฤติชีวิตไปได้ด้วยดี ข่าวลือที่ว่าซีอีโอหนุ่มอาการเหมือนคนแพ้ท้องแทนเมียจึงค่อย ๆ หายไปจากบริษัท โชคดีที่กวินน์รอบคอบไม่ปล่อยให้ข่าวลือมั่วซั่วนี้ลอยมาเข้าหูเจ้าตัว ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ
“จริงสิ ฉันลืมบอกนายเรื่องร้านอาหารนั่น”
“ร้านอาหารไหน ร้านเมื่อวานน่ะเหรอ?”
“ใช่ ร้านที่เราไปกันมาเมื่อวานคือร้านเดียวกับที่เคยส่งคนไปสืบเรื่องผู้หญิงคนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน”
แก้วกาแฟที่กำลังจรดริมฝีปากหนาชะงักกึก กลิ่นหอมเข้มข้นของกาแฟช่วยทำให้จิตใจของเขาสงบ ทว่าพอได้ยินคำบอกเล่าของกวินน์ จิตใจที่ควรสงบกลับว้าวุ่นขึ้นมาอีก
“ว่าไงนะ? หมายความว่ายังไงกัน?”
“ร้านอาหารนั่นเป็นร้านของผู้ชายที่ชื่อสามภพ เจ้าของรถที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งไปด้วยวันนั้น”
“แล้วเรื่องเธอล่ะ ตามสืบไปถึงไหนแล้ว?”
เพราะช่วงหลายเดือนมานี้แดนรบงานยุ่งมาก นั่นหมายถึงกวินน์เองก็งานยุ่งไม่แพ้กัน ทำให้เขาไม่ได้ตามสืบเรื่องของเธอคนนั้นต่อ พวกนักสืบเองก็เลิกไปที่ร้านอาหารนั่นแล้ว กวินน์จึงไม่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับเธอคนนั้นอีก
“ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”
“บ้าเอ๊ย… ชาตินี้ฉันคงไม่มีวันได้เจอเธอคนนั้นอีกแล้วหรือไงนะ!”
ร่างสูงเอนหลังพิงเก้าอี้พลางหลับตาลง ตอนนี้เขาแทบจะจำภาพของเธอคนนั้นไม่ได้แล้ว แม้แต่น้ำเสียงหวาน ๆ ในคืนนั้นเขาก็จำไม่ได้แล้ว คงมีเพียงดวงตาหวานคู่นั้นที่เคยสบตากันแม้เพียงไม่กี่วินาทีที่เขายังจดจำได้ราง ๆ
“จะส่งคนตามสืบต่อไหม?” เสียงกวินน์ดึงชายหนุ่มออกจากภวังค์ความคิด เขาลืมตาจ้องมองเพดานห้องประชุม ปล่อยความเงียบครอบคลุมชั่วขณะ
“ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้เรามีงานใหญ่ที่ต้องทำ หลังจากนี้เราอาจจะไม่มีเวลาอยู่ไทยนาน ๆ อีกแล้ว ต้องบินไปนั่นนี่อีกหลายประเทศ ฉันไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมารบกวนจิตใจ เพราะงั้น… เรื่องผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยไปซะ”
ไม่รู้ทำไมตอนพูดประโยคสุดท้าย หัวใจแกร่งรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาแปลก ๆ เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แสงจากดวงตะวันยามเย็นสาดส่องผ่านกระจกห้องประชุมเข้ามา บรรยากาศภายในห้องที่ควรอบอุ่นเพราะแสงสีทองนั้นมันกลับหนาวเหน็บเสียจนชายหนุ่มทนอยู่ต่อไปไม่ไหว เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องประชุมโดยไม่พูดอะไรอีก
กวินน์เดินตามเจ้านายเงียบ ๆ เขารู้ถึงภาระงานหนักที่กำลังจะมาถึง มันเป็นโครงการยักษ์ใหญ่ที่แดนรบตั้งใจกับโครงการนี้อย่างมาก จะปล่อยให้อะไรก็ตามมาทำให้เสียงานไม่ได้เด็ดขาด
นี่แหละคือตัวตนของแดนรบ ผู้ชายที่จริงจังกับงานจนไม่สนใจเรื่องอื่น เขาเกลียดความผิดพลาดเป็นที่สุด ไม่ว่าจะผิดพลาดเรื่องไหนเขาสามารถตามแก้ไขได้อยู่เสมอ ยกเว้นเรื่องเธอคนนั้น…
เธอเป็นเรื่องเดียวในชีวิตของเขาที่แก้ไขได้ยากที่สุด
อย่าว่าแต่แก้ไขเลย… แค่ตามหาเธอให้เจอก่อนเถอะ!