เถ้าแก่ชะงักไป เขาแทบตกเก้าอี้ แต่พอมองในห่อผ้า ใจคิดคำนวณเร็วจี๋ก็ตอบตกลงอย่างไม่ต่อรอง หญ้าแบ่งขายเป็นใบทั้งยังหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดอกกล้วยไม้ ยังมีสูตรยาที่นางบอกให้เปล่าๆ คิดแล้วเขายังมีกำไรมากโข
“ขอบคุณแม่นางมาก ว่างๆ มาอีกนะ!”
“หากมีของไว้ข้าจะมา แล้วก็ไม่ต้องไปหาข้าที่บ้าน ถึงเวลาข้าจะมาหาเอง”
บอกชื่อแซ่ที่อยู่กับเจ้าของร้านเรียบร้อย จึงดึงคอเสื้อลูกชายที่สติหลุดลอยไม่กลับมา กระทั่งมือสองข้างหอบของกระเตงเต็มไปหมด จึงค่อยหันมาเอ่ยถามมารดา
“ท่านแม่ นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ท่านขายหญ้าพวกนั้นได้เงินมาเป็นหมื่นๆ เหรียญเงิน”
ผลัวะ!
“โอ๊ย! ท่านแม่ ท่านตีหัวข้าทำไมกัน”
“เจ็บรึไม่ล่ะ”
“ต้องเจ็บอยู่แล้ว! แม่ตีข้าแรงขนาดนี้” เขาคิดไปเองรึเปล่าว่ามือแม่จะหนักกว่าเดิม ปวดตึ๊บ!
“ถ้าเจ็บก็แสดงว่าเจ้าไม่ได้ฝัน รีบเดินเร็วเข้า หนทางยังอีกไกลนัก”
“แต่ข้าไม่เข้าใจ ท่านชื่อชุนเหนียงชัดๆ ทำไมถึงบอกว่าชื่อชุนเยว่ด้วย”
“ข้าพอใจอยากเปลี่ยน ชื่อชุนเหนียงนั่นทำให้ข้ารู้สึกว่ามันอัปมงคลแล้ว”
“ต่อไปหากใครถามก็บอกว่าข้าชื่อชุนเยว่ เข้าใจหรือไม่”
“อ้า เข้าใจแล้ว”
“รีบเดินเร็วเข้า เจ้าขาตะเกียบ”
“เฮ้ท่านแม่ท่านรอข้าด้วย!” ทำไมวันนี้แม่เลี้ยงจึงแข็งแรงนัก เดินมาตั้งไกลเหงื่อไม่ยักจะออก ยังไม่มีท่าทีจะเหนื่อย
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เสียเวลาไปมาก เจ้ารองนั่งแหมะหอบแฮกๆ ปล่อยของลงอย่างไม่เอาอะไร อ้าปากลิ้นห้อยอยู่หน้าบ้าน เจ้าใหญ่เดินออกมาเพราะได้ยินเสียง เห็นสภาพน้องชายกับสิ่งของมากมายให้ประหลาดใจอย่างมาก
“น้องรอง นั่นเจ้าเป็นอันใดไป แล้วของพวกนี้... ไปเอามาจากที่ใด”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าถาม ข้าเหนื่อยจะขาดใจตายแล้ว ท่าน.. มา เอาไปเก็บที!”
“เอ๋! เจ้าจะบอกว่าพวกนี้ทั้งหมดคือของบ้านเราหรือ”
“หากไม่ใช่ ข้าจะแบกมันมาหรือ เอาไปเถอะ ฮา! ไม่ไหวแล้ว” จากนั่งเปลี่ยนเป็นทิ้งตัวนอนกางแขนหอบแฮกๆ ใจอยากจะหลับมันเสียตรงนั้น
พี่สาวนั่งลงค้นๆ ดูพบว่ามีของใช้จำพวกเสื้อผ้าหลายแบบหลายขนาด ยังมีอาหารปรุงสุกอย่างไก่ย่างตัวหนึ่งซึ่งใหญ่มาก กลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลายจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด และแป้งขาวกับข้าวสารหลายชั่ง ไม่แปลกที่เจ้ารองจะบ่นเหนื่อยขนาดนี้
“หอมจัง! นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดไป” พี่น้องล้อมวงที่โต๊ะตาจ้องไก่ย่างตัวใหญ่ ตาไม่กะพริบ เจ้ารองยืดอกเล่าเรื่องที่เขากับมารดาเก็บหญ้าไปขายให้ฟัง สามคนที่เหลือไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง น้องเล็กที่มีไข้รุมๆ ยังซูดปากบอกว่าพี่ชายขี้โม้
เขาได้ยินแล้วตบโต๊ะเสียงดัง ยังลุกยืนวางมาดเอ่ยสั่งสอนนาง
“เจ้านี่ไม่รู้จักดีชั่ว! ท่านแม่ดูดีมากตอนที่นำของไปขาย ยังเรียกราคาสูงเป็นหมื่นเหรียญ แต่เถ้าแก่กระตือรือร้นรีบเอาเงินออกมาจ่าย เพราะกลัวแม่จะโกรธจนไม่ยอมขายให้”
“ก็มันน่าเหลือเชื่อ ปกติหญ้าพวกนั้นเราเดินเหยียบทิ้งกันตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงบอกว่าขายได้ขึ้นมา”
“ขายได้ก็ดีแล้ว แต่ว่าท่านแม่เลี้ยงผู้นั้นเล่าไปไหน?”
“เอาสมุนไพรไปปลูกนะสิ ยังบอกว่าพรุ่งนี้ให้พวกเรารีบไปขุดรากถอนโคนเก็บให้เกลี้ยง ต่อไปจะมีแค่บ้านเราที่มีของดีพวกนี้”
“ในเมื่อบอกว่ามีเงิน เช่นนั้นก็พาน้องเล็กไปหาหมอได้แล้วสินะ”
“ท่านแม่บอกว่าไปหาหมอไม่สู้มียาดี ไว้ปลูกสมุนไพรเสร็จจะบดยาให้น้องเล็กเอง ที่เราต้องทำก็คือไปเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อใหม่ ข้าลืมบอกไป ว่าหากแม่กลับมาเรายังใส่เสื้อเก่าจะถูกลงโทษ”
พูดจบจึงหยิบเสื้อออกไปหนึ่งชุดวิ่ง เข้าห้องเพื่อจัดการตัวเอง ทิ้งให้พี่น้องนั่งตกตะลึง
“น้องเล็กเราไปเถอะ เปลี่ยนเสื้อก่อนจะได้กินยา” เจ้าใหญ่อุ้มน้องเล็กเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง นึกถึงไม้เรียวแล้วขนลุก มีเจ้าสามวิ่งเอาเสื้อของตนไปเช่นกัน พวกนางรู้ดีว่าอย่าได้ท้าทายคำสั่งแม่เลี้ยง พวกเขายังอยากกินไก่ตัวนี้
ยามที่ชุนเยว่กลับมาจึงได้เห็นเด็กสี่คนยืนเรียงหน้าสลอน
“เจ้าตัวเล็ก ไหนข้าดูซิ ไข้เจ้าลดลงบ้างรึยัง” หลังมืออังดูพบว่าตัวยังร้อนอยู่ แต่แววตาไม่หม่นแสง อาการไม่ถือว่าหนักหนาแต่ไม่ควรชะล่าใจ
“เจ้าใหญ่ เจ้าไม่ได้เช็ดตัวให้น้องหรือ”
“เช็ดเจ้าค่ะ แต่ก็ยังร้อนอยู่อย่างที่ท่านเห็น” เจ้าใหญ่รู้สึกประหม่า เป็นครั้งแรกที่มารดาถามไถ่ด้วยความห่วงแต่ก็เข้มงวด ปกติแค่บ่นด่าแล้วก็เดินประตูหนีเข้าห้อง
“เจ้ารอง จงนำใบพวกนี้ไปบดให้ละเอียด จากนั้นปั้นเป็นเม็ดกลมๆ เอามาให้น้องเจ้ากินก่อนหนึ่งเม็ด ที่เหลือให้เอาไปตากแดด เพื่อเก็บไว้กินภายหลัง”
“ส่วนเจ้าใหญ่พาน้องไปนั่งรอข้าที่โต๊ะ เจ้าสามจงไปเอาไหเปล่ามาให้ข้าสักหลายๆ ใบ ข้าจะหมักยาสมุนไพร”
“ท่านแม่ ใบไม้พวกนั้นคือสมุนไพรหรือเจ้าคะ” เจ้าใหญ่เห็นว่ามารดาหอบใบไม้มาเต็มเข่ง คงกลับเข้าป่าไปเก็บมาอีกแน่ ใบสีเขียวสดมันเงาที่เคยเห็นผ่านตามา ไม่คิดว่าแท้จริงจะคือสมุนไพร
“ถูกต้อง และพวกเจ้าทุกคนจะต้องกินทุกวัน”
เด็กพวกนี้ผอมแห้งเกินไป การบำรุงจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาถูกชุนเหนียงรังแกไว้มาก นางไม่คิดจะทารุณพวกเขาอีก แม้ไม่ได้รักใคร่พวกเขาขนาดนั้น เท่าที่ได้ยินคนซุบซิบนินทา ดูเหมือนว่าพ่อเด็กจะไปถูกตาต้องใจสตรีที่มีฐานะไม่ส่งเงินกลับมา ระยะหลังอาจเพราะเรื่องนี้จึงยิ่งทำให้เด็กสี่คนลำบาก หากเขากลับมาพร้อมภรรยาใหม่จริง เด็กพวกนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับนาง ถึงตอนนั้นให้ต่างคนต่างไป
ภายหลังจะยกมากล่าวอ้าง หาว่านางทารุณให้อดอยากไม่ได้ แต่หากพวกเด็กเกิดอยากติดตามนาง ไม่คิดอยู่กับบิดาเขา ควรมีร่างกายที่แข็งแรงจะได้ไม่เป็นภาระตนในอนาคต
“เฮ้อ! พวกเจ้าสี่คนจะเอาแต่จ้องอีกนานมั้ย ยังไม่ลงมือกินจะต้องให้ข้าอัญเชิญรึ”
“คือว่า... ไก่หนึ่งตัวมันมีสองน่อง ท่านแม่เอาไปหนึ่งแล้ว อันนี้ควรเป็นของใครขอรับ”
น่องไก่คือส่วนที่ใครๆ ก็ชอบ พี่ใหญ่เป็นพี่สาวคนโตก็จริง แต่พี่รองเป็นคนช่วยแม่หาเงินซื้อมา จึงมีความก้ำกึ่งจากลำดับอาวุโสกับคนทำงาน พี่น้องเลยไม่มีใครกล้าหยิบ
“หากมันยากนัก เอาให้น้องเล็กไป นางป่วยอยู่ควรกินน่อง อีกทั้งขาหนึ่งนางคงอิ่ม ส่วนอื่นๆ จะเป็นของพวกเจ้าสามพี่น้อง”
“ทั้งหมดนี้... หมายความว่าท่านจะไม่เก็บไว้กินพรุ่งนี้”
“ถ้าพวกเจ้ากินไหว ก็กินให้หมดไปเลย รีบๆ ลงมือก่อนญาติจะมาเคาะประตู”
“ไก่จ๋าจะกินเจ้าแล้ว!” เหมือนฝูงไก่รุมข้าวเปลือกอย่างแท้จริง ชุนเยว่เพียงส่ายหน้าก่อนจะกัดเนื้อไก่ที่ไม่ได้กินมานานเข้าปาก อืมอร่อย!
ญาติที่ว่าคือเพื่อนบ้านนามนางหลีกับสามี ทั้งคู่ไร้ความเกรงใจ พวกเขาเหมือนหอยทากมักเกาะติดเสมอ ชอบอ้างเรื่องน้ำใจมารบกวนบ่อยครั้ง แม้ชุนเหนียงจะร้ายกาจยังพ่ายต่อความหน้าทน ดีที่ระยะนี้ไม่มีเงินจึงห่างหายไป แต่เชื่อว่าอีกสักพักต้องทำทีมาเยี่ยมแน่
“ชุนเหนียง เจ้าอยู่หรือไม่!”
ชุนเยว่อมยิ้ม นางเดาได้ถูกเผง กับคนที่ชอบเอาเปรียบการด่าทอขับไล่ไม่ใช่ทางออก จะต้องใช้วิธีเดียวกันโต้กลับ
“พวกเจ้าเอากระดูกเหล่านั้นห่อกลับใส่ไว้ให้เหมือนเดิม เสร็จแล้วเราไปล้างมือที่หลังบ้านกัน”
“ในเมื่อกินหมดแล้วทำไมเราจึงไม่โยนทิ้งไปเจ้าค่ะ ไยต้องห่อกลับด้วย”
“ไม่เพียงแต่ห่อให้ดี แต่ต้องทำเหมือนซื้อมาใหม่ๆ จำได้ว่าต้องให้เหมือนเดิมเปี๊ยบ” ชุนเยว่ดีใจที่เด็กกินแทะไก่จนหมดเหลือแค่กระดูก แบบนี้ค่อยน่าสนุก
เจ้าใหญ่เอียงคอครุ่นคิด ก่อนจะร้องอ๋อเสียงยาว แต่ว่านางกลับมีสีหน้ากังวล ทำแบบนี้จะไม่ถูกหาว่าจงใจกลั่นแกล้งคนหรือ ถึงอย่างนั้นนางยังอุ้มน้องเล็กที่ยังตัวอุ่นๆ ไปล้างมือด้วยกัน มีน้องชายเดินล่วงหน้าไปแล้ว
“อ้าวชุนเหนียงที่แท้เจ้าอยู่นี้เอง”
“ที่นี่คือบ้านข้า ไม่อยู่นี้แล้วจะให้ไปอยู่บ้านเจ้าหรือ”
“แหมๆ เจ้านี่ช่างอารมณ์ขันเหมือนเดิม ว่าแต่ ในห่อนั้นคืออะไร” ดมกลิ่นฟุดฟิดให้ตาลุกวาว! ดูเหมือนจะเป็นกลิ่นไก่ย่าง แววตาหลุกหลิกอย่างมีแผนการ
“มันคือกระดูกเท่านั้น”
“เจ้านี่ตลกอีกแล้ว กระดูกจะต้องห่อไว้ด้วย”
“ข้าจะเอาไปล่อสุนัข มันมักจะมาเห่าหอนอยู่แถวบ้าน ข้ารำคาญจึงว่าจะเอาไปให้มันกิน เผื่อว่ากระดูกจะทิ่มปากมัน ต่อไปจะไม่มายุ่มย่ามแถวนี้อีก” วาจากระทบกระเทียบของนางกลับไม่ทำให้เพื่อนบ้านเชื่อ ด้วยนิสัยของชุนเหนียงหรือจะเก็บของแบบนั้นเอาไว้ มั่นใจว่าข้างในต้องเป็นเนื้อไก่ที่ยังไม่ถูกแตะต้องแน่ ชุนเหนียงเพียงพูดเพื่อไม่ให้ตนมาวุ่นวาย
“แล้วที่มา มีธุระอะไร”
“ข้าแค่เป็นห่วง ได้ยินว่าลูกสาวคนเล็กเจ้าตกร่องน้ำ จึงอยากจะถามข่าวคราว” ปากพูดแต่ตากลับเอาแต่มองห่อไก่ ชุนเยว่จึงตอบกลับไปตามที่ควรตอบ
“แค่ถลอกเล็กน้อย มีเจ็บขาบ้างไม่เป็นอะไรมาก ยังมีอะไรจะถามอีก”
“ไม่ๆ ข้าแค่ใส่ใจในฐานะคนบ้านใกล้เรือนเคียง เจ้าก็อย่าเอาแต่แยกเขี้ยวขู่สิ หากคนไม่รู้จะคิดว่าเป็นสัตว์สี่ขา”
“สัตว์สี่ขาก็ยังดีกว่าตัวดูดเลือด ถามจบแล้วก็ไปเถอะ ข้าจะได้ไปทำอย่างอื่น”
“เจ้านี่ช่างใจแคบ หึ! ก็ได้ ข้าไป”
มองดูเงาหลังหายไปจากหน้าบ้าน ชุนเยว่ยิ้มหยัน นางจึงลุกขึ้นเดินไปล้างมือหลังบ้าน จงใจใช้เวลาให้นานสักหน่อย เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเด็กๆ พบว่าห่อกระดูกที่วางไว้หายไปแล้ว
“ท่านแม่ ห่อไก่...”
“หมาคาบไปทิ้งให้แล้วอย่างไรเล่า เจ้ารองเจ้าสาม พวกเจ้าออกไปข้างนอกรอบหนึ่ง ให้ถามว่าใครเห็นห่อกระดาษนั่นบ้าง”
“มันแค่กระดูก หายก็หายไปเถอะไม่เห็นจะต้องหาเลยท่านแม่”
“ใครว่าเล่า นั่นคือไก่ตัวหนึ่ง”