“หา!!!!”
“ไม่ว่าใครถาม ให้บอกว่าในนั้นมีไก่หนึ่งตัว หรือพวกเจ้าคิดว่าไม่จริง”
คำถามของมารดาทำพวกเขาพี่น้องหน้าเบ้ จริงอยู่ที่มันคือกระดูกแต่ก็คือกระดูกไก่หนึ่งตัว ดังนั้นจึงไม่ถือว่าผิดนัก เจ้ารองเจ้าสามไม่กล้าขัด ทำได้เพียงวิ่งออกไปรอบหนึ่ง ร้องตะโกนหาห่อไก่ตามที่แม่สั่ง
“ท่านแม่เจ้าคะ ทำแบบนี้พวกเขาจะไม่โมโหตายหรือ”
“แบบนั้นสิดี ต่อไปจะได้ไม่ต้องมายุ่งที่บ้านอีก เพื่อนบ้านที่สอดรู้เอาไปพูดว่าร้ายให้เสียหายไม่ได้น่าคบหา กับคนบางคนที่ไร้ประโยชน์ไม่ต้องมีเพื่อรู้จักก็ได้”
“เอ่อเจ้าค่ะ” เจ้าใหญ่ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้มารดาถึงเล่นยาแรงนัก แต่พอนึกตอนที่ป้าข้างบ้านชอบเข้ามาหยิบฉวยของที่บ้านตนโดยไม่บอกก็หงุดหงิด ถึงจะโกรธก็โกรธไปเถอะ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันยิ่งดี
แม่พูดถูก คนที่รู้จักแต่เห็นแก่ตัวไม่ต้องคบก็ได้!
เป็นไปตามคาด พอเพื่อนบ้านกลับไปยังไม่ทันแกะห่อไก่ เมื่อได้ยินว่าเด็กๆ วิ่งตามหาจึงเก็บซ่อนไว้ ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รู้ไม่เห็น ในใจยิ้มเย้ยหยันว่าไก่บ้านเจ้าจะตกลงในท้องข้า แหมๆ แล้วมาบอกว่าคือกระดูก ทีแบบนี้อยู่กันไม่สุข รอจนฟ้ามืดค่อยนำออกมากินกับสามี
“นี่มันอะไรกัน!!!!!”
“บ้าเอ๊ย! กระดูกทั้งนั้น ไม่มีเนื้อติดสักนิด”
“เป็นนางที่จงใจทำแบบนี้ หน็อยกล้าห่อกระดูกให้ข้ารึ! หากไม่มีคำตอบดีๆ วันนี้จะได้เห็นดีกัน”
ด้วยความโมโหจึงพันแขนเสื้อ หมายเดินไปเอาเรื่องชุนเยว่ถึงบ้าน พอมาถึงเห็นนางนั่งกระดิกเท้าแทะเม็ดแตงสบายใจเฉิบ ทำเอาคนที่โกรธจัดยิ่งโกรธราวพายุคลั่ง
“ชุนเหนียงเจ้าทำเกินไปแล้ว! กล้าดียังไงถึงเอากระดูกมาให้ข้ากิน”
“หือ? พูดอะไรนะ ข้าไปให้กระดูกเจ้าตอนไหน” ปากยังหยิบเม็ดแตงมาแทะ ดวงตายิ้มเหมือนพระจันทร์เสี้ยว เด็กสี่คนเกาะขอบประตูชะเง้อมองไม่ได้ออกมาตามที่แม่สั่ง
“ก็กระดูกไก่ในห่อนั่นอย่างไร”
“กระดูกไก่ในห่อ? ห่อไหนหรือข้าไม่เข้าใจ โอ้จริงสิ วันนี้ห่อไก่ย่างที่ข้าซื้อมามันหายไปจริง ในนั้นมีไก่ทั้งตัวเชียวนะ ข้ายังให้เจ้ารองเจ้าสามออกไปถามจนทั่ว”
“....” นั่นสิ หากเป็นกระดูกแต่แรกทำไมจึงกล้าตามหา
“ห่อไก่ที่บ้านข้าหาย หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่ทำไมพอไปถึงบ้านเจ้ามันกลายเป็นกระดูกไปได้” ชุนเยว่ขมวดคิ้วตีหน้าขาดังฉาดทั้งลุกขึ้นยืน แววตาดุร้ายดูเกรี้ยวกราดน่ากลัว
“ที่แท้เป็นเจ้าหยิบฉวยของบ้านข้าไปอีกแล้ว! นางหลี เจ้าก็เห็นว่าลูกสาวคนเล็กข้าบาดเจ็บขนาดนี้ ไยจึงไม่ละเว้นให้ข้าได้หายใจหายคอบ้าง ที่ผ่านมาเจ้ามักมาเอาของบ้านข้าไป พอถามก็ปฏิเสธ เมื่อจับได้เจ้าก็บอกยืม”
“เจ้าพูดอะไร! ใครขโมย นี่ๆ พูดให้มันดีหน่อย ของกินมั่วได้คำพูด พูดมั่วไม่ได้” นางหลีที่ยังมึนงงพลันระเบิดเสียงสู้กลับ นางใช่คนจะยอมรับเรื่องแย่ที่ทำง่ายๆ หรือ ต่อให้จำนนด้วยหลักฐานก็ยืนกรานปฏิเสธ
“ถุย! ยืมบ้านเจ้าสิ ไม่เคยคืนกลับมาสักครั้ง คราวนี้ดีมากของที่ข้าลำบากเข้าเมืองซื้อมาก็ถูกเจ้าเอาไป สวรรค์! ทำไมพวกเจ้าจึงรังแกคนอื่นเช่นนี้!” ท่าทีคับแค้นไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ทำให้เพื่อนบ้านที่ออกมาดูกับสามีของนางไม่เข้าใจ
นางหลีไม่รอช้าผรุสวาทหยาบคายใส่เช่นกัน นางหมายมั่นจะกินเนื้อแต่พบเจอเพียงกระดูก ใจจึงเจ็บแค้นอย่างยิ่ง
“สวรรค์มีตาไหนเลยจะฟังคำเจ้า คนที่ถูกรังแกหรือ เจ้านะมันตัวดีอันใด แค่หญิงใจร้ายคนหนึ่ง ต่อให้เจ้าถูกตีตายหรือหายไป สวรรค์ก็ไม่ลงทัณฑ์ข้าหรอก”
“ใช่แล้ว หน็อยแค่หยิบของไปไม่กี่ชิ้นทำเป็นร้อง รั้วบ้านติดกันแค่นี้อย่าขี้เหนียวให้มาก” เมียร้องผัวรับ สามีนางหลีเดินอาดๆ ออกมาอยู่ข้างภรรยา คิดจะข่มขู่เรียกเงินสักก้อน อย่างไรบ้านหลังนี้ก็มีแค่ผู้หญิงกับเด็ก จัดการไม่ยาก
“พูดได้ดี ทำเรื่องชั่วขนาดนี้ยังบอกว่าสร้างความชอบ ชั่วร้าย! เกิดมายังไม่เคยเจอใครที่หน้าหนาเท่าพวกเจ้าเลย”
“แล้วจะทำไม น้ำหน้าอย่างเจ้าจะเอาปัญญาใดมาสู้กับข้าฮึ!”
“หน้าอย่างข้าทำไม่ได้ แต่หน้าเขาทำได้”
“ใคร! ไหนใครหน้าไหน! ออกมาเลย”
“ข้าเอง!”
“...!” เสียงเข้มอันทรงพลังทำให้คนอวดดีตกใจ สองสามีภรรยาหันไปมองช้าๆ อย่างหวาดกลัว
“ทะ..ท่านหรือ? หะ..หัวหน้าหมู่บ้านนี่เอง แหะๆ”
เพราะหลุดปากสารภาพเอง ทั้งยังเจอหลักฐานเป็นกระดูกที่บ้าน แม้จะปฏิเสธว่าเปิดมาก็เป็นเช่นนี้ แต่หัวหน้าหมู่บ้านย่อมไม่เชื่อ ด้วยรู้จักนิสัยใจคอของนางหลีกับสามี
นางหลีพยายามชี้แจงว่าชุนเหนียงบอกแต่แรกแล้วว่าไม่มีเนื้อ แต่ไม่มีคนอื่นช่วยยืนยัน ยิ่งเจ้าตัวเขาส่ายหน้าปฏิเสธ บอกหากเป็นเช่นนั้นจะให้ลูกๆ ออกไปถามหาหรือ แค่กระดูกหายแล้วก็หายไปสิ ใครจะบ้าวิ่งไปรอบๆ กัน
“เจ้ากล้าทำแต่ไม่กล้ารับรึ! ในตอนนั้นเจ้าบอกข้าเองว่าคือห่อกระดูก”
“ตลกนัก! หากเจ้ารู้แต่แรกว่ามันคือกระดูกจริงไยต้องขโมยไปด้วย อีกอย่างเจ้าก็มีนิสัยเช่นนี้ กินจนอิ่มหนำแต่กลัวเรื่องจะแดงจึงแสร้งว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง เจ้าพึ่งพูดให้ข้ารับผิดชอบ คงเห็นว่าข้าหาเงินได้จึงคิดรีดไถสินะ คนที่กล้าทำแต่ไม่เคยยอมรับแม้จำนนต่อหลักฐานคือเจ้าต่างหาก”
“พวกเจ้ามันอย่างไรกัน ของอยู่ในมือยังบอกว่าไม่ได้ทำอีก เห็นชัดแทะเกลี้ยงจนไม่มีเหลือ”
“แต่ข้ายังไม่ได้กินกันเลย”
“อ้อ..! สองมือมันแผล็บขนาดนั้นไม่ได้แตะต้องสินะ” ชุนเยว่กอดอกมองด้วยหางตา เค้นเสียงร้องหึคำหนึ่ง
นางหลีกับสามียกฝ่ามือขึ้นมา พบว่ามือที่มีมันเยิ้มกับเศษหนัง ไก่ติดอยู่ หน้าตาทั้งคู่จึงซีดเผือด ไยพวกเขาจึงไม่ทันสังเกตว่าตอนแกะห่อกระดาษออกมันเปรอะไปด้วยน้ำมัน
“อีกอย่างตอนเจ้ารองเจ้าสามวิ่งผ่านบ้านเจ้าสองผัวเมีย ใครกันที่บอกว่าไม่มี้ไม่มี! ไม่รู้ไม่เห็นนะ” ชุนเยว่เท้าสะเอวโก่งคอแผดเสียงอันดังเพื่อหาความชอบธรรมแก่ตนเอง
“นั่น!” สามีภรรยาหันมองกันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าคำพูดนั้นเหมือนตอกตะปูปิดฝาโลงฝังตัวเอง พวกเขาได้บอกออกมาจริง ยังมีคนอื่นที่ผ่านมาได้ยิน ดังนั้นไม่ว่าตนสองคนจะพูดหรืออธิบายสิ่งใดก็ไม่มีความน่าเชื่อถืออีก
“ในเมื่อพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ เจ้าสองคนไม่ต้องพูดมากอีก ขโมยก็คือขโมยนั่นแหละ ชุนเหนียงเจ้าคิดจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
“ของกินไปแล้วจะให้ทำอย่างไรได้อีก พวกเขาเหมือนหอยโข่งที่ปิดฝาซ่อนตัวอยู่ในเปลือก แกะไม่ยอมออกจะทุบก็ตายเปล่า ข้าคิดว่าจะปล่อยผ่านสักครั้ง เพียงแต่...”
“ของที่เคยหยิบไปต้องนำมาคืน ทั้งภายหน้าก็อย่ามายุ่งเกี่ยวกับบ้านข้า ข้าคร้านจะทะเลาะด้วยแล้ว”
“อย่างไรก็เป็นเพื่อนบ้าน ทำแบบนั้นไม่เกินไปหน่อยหรือ”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านไม่เจออย่างข้าถึงพูดได้ ไก่ตัวหนึ่งราคาเท่าไหร่ แม้วันปีใหม่ก็ใช่จะมีเงินซื้อไหว ยังไม่ต้องพูดถึงของที่พวกเขาเอาไป”
“ข้าเป็นผู้หญิงที่อยู่บ้านลำพัง แต่เดิมยังคิดพึ่งพาคนบ้านใกล้เรือนเคียง ใครจะรู้ว่าคือหมาป่าที่มาซ้ำเติมคน วันนี้กล้าขโมยไก่วันหน้าไม่ขโมยคนไปขายหรือ บ้านข้ามีเด็กผู้หญิงสองคน เจ้าใหญ่อายุแปดขวบไม่กี่จะกลายเป็นสาว เจ้าตัวเล็กสี่ขวบกำลังน่ารัก เด็กเช่นนี้พวกคนในเมืองชอบนัก”
“อีกทั้งคนนอกไม่สามารถพาคนไปได้ง่าย แถวนี้มีคนรู้จักกันไปหมด มีแต่คนใกล้ตัวเห็นหน้าคุ้นเคยกันดีนี่แหละ ที่เด็กไม่คิดระแวดระวัง”
หัวหน้าหมู่บ้านฟังแล้วหาคำโต้แย้งไม่ได้ ชุนเหนียงเลี้ยงลูกไม่มีสามีเคียงข้าง ทั้งยังไม่ใช่ลูกในไส้ของนาง หากทำเด็กหายเมื่อพ่อเด็กกลับมาคงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่แปลกที่นางจะระแวง
“เช่นนั้นให้พวกเจ้าต่างคนต่างอยู่ บ้านนางหลีต่อไปห้ามย่างเท้าเข้ามาบ้านชุนเหนียง และไม่ต้องมายุ่งกับทั้งครอบครัว หากฝ่าฝืนจะได้เห็นดีกัน”
คำตัดสินของหัวหน้าหมู่บ้านถือเป็นที่สิ้นสุด นางหลีกับสามีเดินคอตกกลับไปบ้านตัวเอง มีชุนเยว่ร้องตะโกนว่าต้องนำของมาคืนทั้งหมด สองคนที่ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารกองโตทำได้เพียงโยนทุกอย่างที่เคยเอาไปขว้างกลับมา ก็พวกเขาถูกห้ามไม่ให้เดินเข้าบ้าน
ส่งแขกกลับไปหมดแล้ว เด็กสี่คนจึงกล้าออกมา มองกองสิ่งของที่เคยหายไปรีบเก็บกลับเข้าบ้านเหมือนกลัวจะถูกฉกไปอีก
“ท่านแม่ ท่านแม่ ดูสิได้คืนมาหมดจริงๆ”
“อื้อ หม้อใบนี้เป็นของท่านย่า ข้าคิดว่าจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว” เด็กๆ ต่างดีใจที่ได้ของคืน พวกเขาไม่สนว่าจะทำใครโกรธ รู้แค่ตอนนี้ความอัดอั้นตลอดหลายปีได้รับการคลี่คลาย
“อย่าเพิ่งดีใจไป สุนัขแก้นิสัยกินอาจมไม่ได้ วันนี้พวกเขาเสียแผนเสียประโยชน์ย่อมไม่มีทางยอมจบโดยง่าย แค่ถอยไปตั้งหลักเท่านั้น”
“ท่านแม่ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ”
“ทหารมาเอาขุนพลต้าน น้ำมาทำเขื่อนดิน รอให้เขาเริ่มเคลื่อนไหวค่อยหาทางรับมือ ช่วงสองวันนี้ยังไม่กล้าทำอะไรแน่”
“เจ้าใหญ่ พรุ่งนี้เจ้าไปบ้านช่าง บอกเขาว่าข้าต้องการหาคนมาเสริมความแข็งแรงของรั้ว ให้มันสูงท่วมหัวกับหนึ่งช่วงแขน บอกด้วยว่าด้านบนให้นำหินแหลมวางสลับไปมา ป้องกันบางคนปีนป่ายย่องเข้าบ้าน เรื่องเงินให้เรียกมาได้เลย ขอแค่ทำออกมาดี”
“เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านบอกจะเข้าป่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“รอคุยธุระเสร็จข้าจะไป ให้เจ้าอยู่บ้านดูน้องเล็ก”
“ท่านแม่ข้าหายแล้ว กินยาเข้าไปไข้ก็ไม่มีอีก”
“เจ้าไม่มีไข้แต่มีแผล ยิ่งหูตาเซ่อซ่า เกิดเดินตกหลุมได้เดือดร้อนไปเอาขึ้นมาอีก คนอื่นเขาไม่ได้ว่างกันขนาดนั้น”