บทที่ 6

1982 Words
ชุนเยว่ไล่เด็กๆ ไปนอน นางออกไปเดินดูรอบบ้านจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาก่อกวน ถึงอย่างนั้นเพื่อความไม่ประมาท นางยังหยิบใบไม้แห้งมาวาดยันต์ผู้คุมสิบใบ ให้พวกมันช่วยเฝ้าบ้านป้องกันคนโง่บุกรุก นางเพิ่งปลูกหญ้าปลูกกล้วยไม้ ไม่อยากให้ใครมือบอนมาทำลาย “เอาล่ะเจ้าผู้คุมทั้งหลาย จงดูแลบ้านหลังนี้ให้ดี หากมีใครบุกเข้ามาละก็... กัดเขาซะ” “งื้อ!!!!!!! กัด! กัด!” ใบไม้สิบใบขยับตัววิ่งกระจายกันออกไปรอบๆ เพื่อทำหน้าที่เฝ้ายาม พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วงนางจึงกลับเข้าบ้านไปนอน มองห้องที่ทั้งเก่าแต่สะอาด เพราะได้รับการดูแลจากเด็กๆ จึงไม่ต้องนอนคันคะเยอ แต่คิดว่ามันย่ำแย่เกินไป สำหรับคนที่เคยเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะหลงกลอุบาย เชื่อใจน้องสาว นางคงได้แต่งงานเป็นฮูหยินขุนนางขั้นหก บางทีตอนนั้นนางอาจมีชีวิตที่ดี หรืออาจเต็มไปด้วยหวานอมขมกลืนก็ได้ ไม่ก็อาจตายลงเพราะการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม การถูกฝังอยู่ใต้ดินก็ไม่ได้เสียเปล่า เพราะมันทำให้นางได้รู้เห็นการเปลี่ยนแปลงจนถึงแผ่นดินในยุคปัจจุบัน ที่กำลังจะเกิดคลื่นลมแรงอีกครั้งหนึ่ง แว่วมาว่าราชวงศ์นี้ อาจเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ได้ปกครองใต้หล้าแล้ว ‘อยากรู้นักว่าแผ่นดินนี้มันจะเป็นยังไงต่อ...’ ขณะที่หัวถึงหมอนเปลือกตากลับหลับไม่ลง จึงผุดลุกขึ้นนั่งกอดเข่า จู่ๆ ก็กังวลใจอย่างประหลาด อาจเพราะตายมานานจึงทำให้นึกถึงช่วงเวลานั้น ตอนที่กำลังสิ้นใจ ก๊อก ก๊อก! “ใคร!” “ท่านแม่ ข้าเองตัวเล็ก” เสียงตะกุกตะกักดูไม่มั่นใจดังอู้อี้อยู่นอกห้อง “เข้ามาได้” เด็กตัวผอมเดินกอดผ้าห่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินมาหยุดตรงหน้า ทำให้ชุนเยว่นึกสงสัย นี่มันหมายความว่าอย่างไร “ทำอะไรของเจ้า ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว” “ท่านแม่ ข้าฝันร้ายหลับตาไม่ได้เลย ข้าฝันว่าท่านจะเอาข้าไปอยู่ใต้ดิน ข้ากลัวมากจึงมาหาท่าน อยากรู้ว่าท่านยังอยู่ที่นี่ไหม และ และตอนนี้ข้าได้เห็นแล้ว” ท่านแม่ตรงหน้า กับท่านแม่ในฝันดูเหมือนแต่ก็ไม่เหมือน นางจึงเกิดเป็นความสงสัยต้องมาดูให้เห็นกับตา แต่พอชุนเยว่ได้ฟังนางพลันเข้าใจทันที คงเป็นวิญญาณที่ถูกขังของชุนเหนียงร่ำร้องหาตัวตายตัวแทน เพราะได้ตายลงตอนตกกระแทกพื้น ส่วนตนกลายเป็นชุนเหนียงในสายตาของชาวบ้าน ที่จริงก็ขัดใจอยู่ไม่น้อยที่อีกฝ่ายตายง่ายเกินไป แต่อย่างไรก็ตามด้วยอาคมสะกด ชุนเหนียงจะไม่สามารถไปไหนหรือลงนรกยังไม่สามารถไปเอง การติดอยู่เช่นนี้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดก็ทำให้คนที่เคียดแค้นสะใจไม่น้อย “คราวนี้เจ้าหายข้องใจแล้ว จงกลับไปนอนเถอะ ยามนี้ดึกมาก” “ท่านแม่ข้ากลัว ข้างนอกมันมืดตึ๊ดตื๋อ” ตอนแรกตกใจจึงเดินมาโดยไม่เรียกพี่สาว พอจะเดินกลับเกิดอาการลังเล “ตอนมาไม่กลัว มาตอนนี้ดีมากรู้จักกลัวแล้ว ช่างเถอะมานี่ มานอนกับข้าก็ได้” “เจ้าค่ะ” น้องเล็กไม่กลัวท่านแม่แล้ว นางไม่กล้าเดินกลับห้องตัวเอง คืนนี้อากาศมันเย็นยะเยือกแปลกๆ อาจมีผีแบบในฝันมาหลอกแฮร่! อุ้มเด็กหญิงตัวเล็กวางไว้ด้านในสุด เพราะกลัวจะมีคนนอนดิ้นกลิ้งตกเตียง เกิดร้องไห้จ้ากลางดึกจะทำให้คนที่กำลังหลับสบายตกใจกันหมด ห่มผ้าให้นางตบก้นสองสามทีก็นิ่งไป ช่างหลับง่ายเหลือเกิน ขยับมุ้งให้คลุมปิดดีๆ กันยุงเข้า ถ้าเด็กป่วยมันจะยุ่งยาก ถึงนางจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรแต่ไม่ใช่หมอ รุ่งเช้าตื่นขึ้นจึงบิดตัวไปมา จากที่ระแวงนอนไม่หลับ กลับเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มองเจ้าสี่ที่นอนโก้งโค้งตูดกระดกจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นไปล้างหน้าบ้วนปาก วันนี้ยังมีภารกิจอีกหลายอย่างที่ต้องไปทำ “ท่านแม่ ตื่นแล้วหรือเจ้าค่ะ” “นั่นเจ้าทำอะไรอยู่” “วันนี้ข้าเคี่ยวโจ๊กเจ้าค่ะ ยังนึ่งหมั่นโถวข้าวโพดคนละลูก” ชุนเยว่ได้ยินชื่ออาหารเช้าก็ถอนหายใจเบาๆ นับว่าเป็นอาหารคนยากจนอย่างแท้จริง เห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจของมารดาเลี้ยง เจ้าใหญ่จึงก้มหน้าลง แต่นางทำเท่าที่มีให้ทำ ลึกๆ นางอยากทำอาหารจานเนื้อ แต่จะให้ทำอย่างไรเล่าก็มันไม่มี ก่อนจะได้ยินเสียงของมารดาเรียกสติ “วันนี้นอกจากหาช่างแล้ว เจ้าจงไปถามข่าวบิดาเจ้าสักหน่อย ตกลงเขาจะหายไปไม่กลับมาแล้วแน่ใช่ไหม ข้าจะได้จัดแจงชีวิตต่อจากนี้ถูก” “ท่านพ่อต้องกลับมาแน่ ท่านแม่อย่าคิดมากเลย” “พ่อเจ้าออกจากบ้านไปคราวนี้นานเท่าใดแล้ว” “เอ่อ... เกินสองปีแล้วเจ้าคะ” “ปกติ เขาเคยหายไปนานขนาดนี้ไหม” “ไม่เคย” เจ้าใหญ่ตอบเสียงอ่อย คราวนี้ท่านพ่อหายไปนานมากจริงๆ หากเป็นอย่างที่แม่เลี้ยงพูด บิดาไม่คิดจะกลับ พวกนางพี่น้องจะทำอย่างไร มารดาใกล้จะสามสิบแล้วแต่ยังอ่อนเยาว์งดงาม หากสลัดพวกตนทิ้งคงแต่งงานใหม่ไม่ยาก แต่ว่าถึงแม่เลี้ยงจะไม่ชอบพวกตน แต่ตนก็เรียกแม่แล้ว เรียกมาตั้งหลายปี คงไม่ใจร้ายทอดทิ้งไปอีกคนใช่ไหม ชุนเยว่ไม่สนใจว่าเจ้าใหญ่จะคิดอะไร นางต้องการวางแผนชีวิตใหม่ ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่แตกต่างจากยุคของนาง “จริงสิ! วันนี้ข้าจะเข้าเมืองก่อน ข้าวเช้าพวกนี้ เจ้าพี่น้องกินเลยไม่ต้องเผื่อข้า” ว่าแล้วจึงออกจากบ้านไป แม้เจ้าใหญ่จะร้องเรียกก็ตาม เพราะมาคนเดียว การเดินทางจึงค่อนข้างเร็ว ไม่ทันสายก็มาถึงในเมือง “ยังดีที่ภาษาตัวอักษรไม่ได้ไปเปลี่ยนมากเท่าไหร่” หางตาหันไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติ มีการติดประกาศมากมาย มีข้าวสารและประกาศรับสมัครงานกับเขียนขายของ ขณะหนึ่งนางได้เห็นคนต่างถิ่น สวมเสื้อผ้ามีรูปลักษณ์ที่ผิดแผก พวกเขาตัวสูงใหญ่ผิวขาวมาก สีตาสีผมราวกับย้อมสี สำเนียงการพูดฟังไม่เข้าใจ ดูก็รู้ว่ามาจากแดนไกล ดูเหมือนพวกเขาจะชินชากับการถูกมอง “แม่นาง เจ้าไม่เคยเห็นพวกชาวต่างชาติหรือ ถึงได้จ้องเอาขนาดนั้น” “ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนจริง ไยจึงมากันมากนัก” “คนเหล่านั้นมาทำการค้า โดยสารมากับเรือสำเภาใหญ่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล พวกเขาปักหลักอยู่ที่นี่เป็นปีๆ ถึงจะกลับไป แต่บางคนทนความเหงาไม่ไหว แต่งผู้หญิงบ้านเราเป็นภรรยา” “นี่จะบอกอะไรให้นะ เด็กที่เกิดมาหน้าตาเหมือนตุ๊กตาที่พวกเขาเอามาวางขายเลย ยังพวกเครื่องแก้วเครื่องดนตรีของเล่นแปลกตา” “อ้อใช่แล้ว! สิ่งที่เรียกว่าแว่นตานั่น ชนชั้นสูงนิยมกันมาก มันช่วยให้คนที่ตามองไม่ชัดกลับมาเห็นปกติอีกครั้ง” แม่ค้าแผงใกล้ๆ ช่วยอธิบายอย่างใจดี ชุนเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้มาก เห็นนางใส่ใจปานนี้แม่ค้าจึงกล่าวต่อ แต่ใช้เสียงที่เบาลง “นอกจากพ่อค้าแล้ว ยังมีกองกำลังทหาร พวกนั้นมีปืนไฟอานุภาพร้ายแรง หากโดนเข้าไปตัวจะเป็นรูขนาดนี้ และตายชนิดรอดยาก เห็นบอกว่าพวกเขามีข้อเสนอ” “ที่น่าเจ็บใจคือไม่ว่าทหารต่างชาติจะเรียกร้องอะไร ราชสำนักก็ยอมไปหมดเพราะหวาดกลัว แทบจะขูดเลือดประชาชนไปให้ ทำให้ตอนนี้มีคนบางกลุ่มไม่พอใจ ลำพังหากินก็ยากอยู่แล้ว แทบไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในบ้าน จึงไม่แน่ว่าอาจมีคนคิดการใหญ่” “มิน่า ข้าเห็นผู้คนเริ่มกักตุนสินค้า ที่แท้พวกเขาก็รู้ว่าไม่นานจะมีการต่อสู้” “ที่จริงได้ยินว่าปะทะกันมาสักพักแล้ว แต่ถูกปิดข่าว เจ้าเองก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้บ้าง ข้าเตือนเพราะหวังดี” “เข้าใจแล้ว” เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ นางออกมาได้ถูกจังหวะยิ่งนัก ตั้งแต่โบราณกาลมา สงครามทำให้เกิดการสูญเสียหนักที่สุด คนที่รับเคราะห์หนีไม่พ้นประชาชน คนที่มีมากกว่าพร้อมกว่าถึงจะอยู่รอด แต่สิ่งที่ทำให้คนล้มตายกลับไม่ใช่อาวุธทว่าเป็นความอดอยาก บางทีการปักหลักที่หมู่บ้านชายป่า อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ใดๆ ก็ตาม นางต้องหาวิธีทำหลุมสำหรับหลบภัยที่มีอาหารเพียงพอ ตอนนี้นางอยากรู้ว่าคนที่เป็นสามีของชุนเหนียงอยู่ที่ไหน แล้วเขาเป็นอย่างที่คนเล่าลือหรือไม่ เดินเตร็ดเตร่อยู่ราวชั่วโมงกว่า สายตาไปสะดุดกับชายใส่แว่นแต่งกายประหลาดเฉกเช่นคนต่างชาติ ที่กำลังก้มลงเขียนบางอย่าง นางเข้าไปใกล้ จึงเห็นข้อความว่ารับสอนภาษาต่างชาติเพื่อการสื่อสาร คิดดูแล้วมันน่าสนใจไม่น้อย หากเราสามารถฟังคำพูดคนพวกนั้นออก เท่าที่นางคิด เมื่อคนเหล่านั้นกล้าลงทุนในดินแดนอื่น ในอนาคตก็ต้องมาอีก ต่อไปอาจมีการติดต่อทำการค้ามากขึ้น คนที่สื่อสารเข้าใจย่อมได้เปรียบ นางไม่รู้ว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น แต่เชื่อว่าใช่ “เธอสนใจหรือ” “อืม แต่ข้าไม่ใช่คนเดียวที่จะเรียน ข้ามีความคิดจะพาลูกๆ มาเรียนด้วย” แม้คำพูดเขามันจะไม่คุ้นแต่คำว่าเธอคงจะหมายถึงนาง ฉันคงหมายถึงตัวเขาเอง ดูเหมือนการเปลี่ยนไปของคำพูดจะค่อยๆ แทรกซึม ในอนาคตมันจะกลืนกินการสนทนาแบบเดิม ซึ่งควรตามให้ทัน “โอ้เธอช่างมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แต่ว่าค่าเรียนนี้ฉันลดไม่ได้แล้วนะ เพราะมันรวมค่ากระดาษปากกา” “ปากกาหรือ? คือสิ่งใดกัน” “สิ่งนี้ มันคล้ายกับพู่กันบ้านเรา แต่ไม่ต้องจุ่มหมึกบ่อยครั้ง” “เห็นนี่ไหม ในนี้มีหมึกที่เติมไว้ อีกทั้งตัวอักษรจะเส้นเล็ก เขียนแล้วประหยัดเนื้อที่บนกระดาษได้มากโข” ชุนเยว่มองสิ่งที่เรียกว่าปากกาอย่างสนใจ มันค่อนข้างเล็กกะทัดรัด เขาบอกว่าเติมหมึกไว้แสดงว่ามันสามารถเขียนอย่างลื่นไหลไม่ติดขัด ซึ่งดีมาก “ตกลง ข้าอยากเรียน แต่บ้านของข้าอยู่ห่างออกไปนอกเมืองไกลมาก เด็กๆ ก็อายุน้อย เรื่องเวลาเข้าเรียนจะต้องไม่เช้าจนเกินไป” “เช่นนั้นไปเรียนที่บ้านเช่าของฉัน ที่นั่นเงียบสงบ เราสามารถออกเสียงฟุดฟิดฟอฟายได้เต็มที่” “หือ? อะไรฟิดๆ นะ” “มันคือตัวอักษรของชาวตาสีฟ้า สำเนียงการออกเสียงของพวกเขาจะประมาณนี้อาจยากสำหรับเรา แต่ถ้าตั้งใจอย่างน้อยจะสื่อสารกันเข้าใจ” เขาหัวเราะเงยหน้าขึ้น พอมีแว่นตาใสยิ่งดูเป็นคนตลก ชุนเยว่จึงหัวเราะตาม นัดแนะกันเรียบร้อยตกลงราคาค่าเรียนเสร็จว่าจะกลับ แต่นึกถึงอาหารเมื่อเช้าให้ขัดใจอย่างมาก จึงเดินไปแผงขายหมู สั่งขาหมูรมควันมาสองขาใหญ่ กับส่วนท้องคือสามชั้นมาอีกหนึ่งชิ้น กลับไปจะทำเนื้อกินให้หนำใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD