ในสมัยที่มีสงคราม ราชสำนักต้องใช้ฉั่งฉิกจำนวนมากส่งไปตามค่ายทหารเพื่อใช้รักษาอาการบาดเจ็บ เนื่องจากสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนี้เอง ทำให้ราคาสูงและจำเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางมีความคิดจะขนกลับไปปลูก
ที่รอบบ้านอาจคับแคบแต่ไม่ใช่ปัญหา นางสามารถซื้อที่ดินเพิ่ม เชื่อว่าไม่นานนางหลีจะต้องย้ายบ้าน และด้วยขนาดความกว้างของที่ดินสองหลังมันเพียงพอจะใช้เป็นสวนสมุนไพร
“ท่านแม่ ท่านอย่ายิ้มเช่นนั้นมันทำให้ข้าไม่สบายใจ”
“เจ้าก็ไม่ต้องมอง ขึ้นไปเก็บลงมาเร็วเข้า ห้ามทำมันเสียหาย รากฝอยพวกนั้นขาดไปเส้นหนึ่งก็ไม่ได้”
“โธ่ท่านแม่ขอรับ! ข้าเพิ่งเจ็ดขวบเอง ใจคอท่านจะไม่ห่วงข้าบ้าง” เด็กชายน้อยใจแล้ว แต่เขายังค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอย่างระมัดระวัง อีกนิดจะถึงจุดที่มีฉั่งฉิก ทว่าหินก้อนที่เขาเอื้อมไปเกาะมันกลับขยับโยกคลอน
“อ้าก! จะหล่นแล้ว!”
ชุนเยว่ที่มองดูจะยอมให้เขาร่วงลงมาหรือ นางดึงหญ้าเถามาหนึ่งท่อง สะบัดมือร่ายคาถากลายเป็นเถาวัลย์เหนียวเส้นใหญ่ รับเขาเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
“เอ๋? เถาวัลย์นี้มาจากไหน ตะกี้ข้ายังไม่เห็นเลย”
“เจ้ารอง เจ้าหยุดทำข้าตกใจเสียที รีบเก็บรีบลงมาไวๆ”
“ขอรับ..!” แม่นะแม่ แทนที่จะถามไถ่กันบ้าง ดูเอาเถิดบ่นเขาอีกแล้ว
“แฮกๆ ท่านแม่ สิ่งนี้หรือที่เขาเรียกว่าฉั่งฉิก” เขาเคยได้ยินมาบ้าง และเคยเห็นแบบที่ตากแห้งแต่ไม่เคยพบเป็นต้นสดมาก่อน
“ใช่แล้ว นี่แหละที่เรียกว่าฉั่งฉิก เสียดายที่มีแค่สองต้น”
“แล้วท่านรู้หรือว่ามันต้องปลูกเช่นไร”
“ย่อมรู้ มิเช่นนั้นข้าคงเอาไปขาย แต่ขนาดที่เล็กมันคงไม่ได้ราคาเท่าไหร่ ไม่สู้เราปลูกไว้ให้มันโต ขยายเป็นสวนในอนาคตจะมีเก็บขายเรื่อยๆ สามารถทำเป็นอาชีพ เจ้าเองไม่ต้องปีนหาให้เสี่ยง”
“แต่ที่ดินบ้านเราเท่าแมวดิ้น ข้างบ้านก็ติดบ้านคนอื่นซึ่งนิสัยไม่ดี ขยับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ตราบใดมีแสงย่อมมีหนทาง เชื่อเถอะว่าเราจะได้ที่ดินเพิ่มอย่างแน่นอน”
“ท่านแม่ ทำไมหมู่นี้ท่านดูแปลกไปกว่าแต่ก่อน ท่านเหมือนคนที่วาดแผนการเอาไว้ในหัว ไม่ใช่คนที่เอาแต่กล่าวโทษโชคชะตา”
“สงสัยหัวข้าคงตกกระแทกตอนช่วยน้องสาวเจ้า”
“มีเรื่องแบบนั้นด้วย แต่ข้าชอบท่านในตอนนี้ โดยเฉพาะที่ท่านจัดการกับป้าหลีจนทำให้นางไม่กล้ามาขโมยของ”
“เช่นนั้นก็เรียนรู้ให้มาก อีกไม่กี่วันเจ้าต้องตามข้าเข้าเมืองทุกเช้า”
“ไปทำไมขอรับ?”
“เรียนภาษาต่างชาติ” นางเลือกจะให้เขาเรียนรู้ไปพร้อมกับตน เพราะเขาหัวดีที่สุดและเชื่อฟังนาง
“ท่านบอกว่าเรียนภาษาต่างชาติหรือ! แต่ แต่เราต้องเรียนไปทำไมกัน”
“เอ๊ะ! เจ้านี่คำถามเยอะเสียเหลือเกิน ข้าบอกก็ทำๆ ไปเถอะ เจ้าคิดว่าค่าเรียนมันถูกรึ คนตาสีฟ้าเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เจ้าไม่อึดอัดบ้างตอนที่เขาพูดใส่หน้าแต่ฟังเขาไม่รู้เรื่อง”
“โอ้ ที่แท้แม่ก็กลัวเขาด่าแล้วไม่เข้าใจ จะเถียงสู้ไม่ได้นี่เอง”
“....” ชุนเยว่ปวดขมับเอามือกุมหน้าผาก นางคิดว่าเจ้ารองจะเข้าใจอะไรง่ายกว่านี้ หรือเป็นนางเองที่คาดหวังมากไป
วันนี้ได้ฉั่งฉิกกลับบ้าน นางจึงนัดแนะกับลูกชายว่าห้ามพูดออกไปเด็ดขาด แม้จะกำชับเด็กๆ ไว้แล้วก็ตามแต่กันเขาลืม ส่วนสวนที่บ้านนางใช้อาคมพรางตา ดังนั้นพวกคนที่มาทำรั้วจะมองไม่เห็น ไม่ให้พวกเขาตั้งคำถามว่าทำไมนางจึงปลูก
“เอ๋! ท่านแม่ทำจมูกยื่นทำไมขอรับ รึว่าท่านเจอของดีอีก” เจ้ารองหดคออย่างกลัวๆ เขายังขาสั่นอยู่ไม่หาย รู้สึกไม่อยากปีนป่ายที่สูงแล้ว
“ทำหน้าอันใดของเจ้า ข้าว่าข้าได้กลิ่นเห็ดป่า”
“เห็ดหน้านี้มีที่ไหนกัน ท่านแม่จำผิดแล้ว”
“เจ้าโง่! ใช่ว่ามันจะออกแค่ฤดูฝนสักหน่อย บางชนิดมันออกในที่แห้งแต่อากาศชื้น” เจ้าคนนี้อย่างไร ชอบขัดนางตลอด ช่างเถอะไม่ต้องฟังเสียงเขา นางก้าวขาฉับๆ เดินสาดส่องสายตาหาที่มาของกลิ่นทันที
“นั่นอย่างไร ตรงนั้นมีเห็ดอยู่จริง” ปลายนิ้วชี้ไปยังกองใบไม้ เห็นมีดอกเห็ดเล็กๆ โผล่พ้นดิน ซึ่งเจ้ารองคุ้นเคยดีมันคือเห็ดโคน (จีชงฮวา) เขาสูดกลิ่นเข้าอย่างแรงก่อนจะเบิกตากว้าง
“ท่านแม่ มันคือเห็ดโคนจริงๆ หอมมาก!”
“คราวนี้เชื่อข้าแล้วสินะ ไป! เก็บ!” ลาภปากล่ะ เห็ดชนิดนี้อร่อยมาก ไม่ว่าจะต้มแกงหรือผัด นางอยู่แบบผีมีหลุมมานาน จึงค่อนข้างตื่นเต้นกับอาหารป่าเหล่านี้
“โอ้ท่านแม่ ที่แท้ใบไม้มันปกคลุมดอกเห็ดไว้ ท่านดู ดอกนี้ใหญ่เท่าฝ่ามือข้า”
“นั่นดีมาก เก็บดีๆ อย่าให้มันช้ำหัก แบบนั้นเสียดายแย่” ชุนเยว่กล่าวยิ้มๆ
ถึงนางจะเป็นคุณหนูจวนใหญ่ แต่เพราะมีนิสัยซุกซนอย่างยิ่ง ตอนเด็กนางมักจะขอตามแม่นมกลับบ้านชนบท โดยปิดบังฐานะแท้จริงจึงได้ใช้ชีวิตเช่นเด็กชาวบ้าน ด้วยความที่นางอัธยาศัยดีจึงมักได้เที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยไล่เลี่ย เข้าป่าขึ้นเขาได้เรียนรู้การหากินของชาวบ้าน บางครั้งยังลงเล่นน้ำในนาหาจับปูจับปลาวิดน้ำเก็บหอยจับกบ นางมองว่าชีวิตนั้นช่างสนุกยิ่ง ถึงตอนกลับบ้านจะถูกแม่นมดุบ่อยๆ แต่ไม่เคยถูกลงโทษอย่างจริงจัง
กระทั่งแม่นมจากไปนางจึงไม่ได้ไปชนบทอีก และถูกเคี่ยวกรำเป็นคุณหนูในห้องหอเก่งกาจเพียบพร้อม รอวันออกเรือนส่งเสริมตระกูล
แต่เพราะชะตานำพาหรือนางมีเทพคุ้มครอง จึงได้พบหมอผีคนหนึ่ง เขาเพียงทักว่านางจะมีเคราะห์หนัก ยังพูดเรื่องน่ากลัวจนนางคล้อยตาม แอบออกจากจวนไปพบเขาเรียนคาถาอาคมสายมืด แม้ในตอนนั้นนางจะหวาดหวั่นเกรงว่าตนจะถลำลึกถูกหลอกใช้ แต่เมื่อเขาบอกลาทั้งยังกำชับให้ระมัดระวังตัว หัวใจที่หนักอึ้งจึงวางลง
ทว่า... นางกลับพลาด ถูกน้องสาวหลอกไปฆ่าก่อนจะถึงวันแต่งงานเพียงหนึ่งเดือน ทั้งตนยังเคยหลุดปากบอกเรื่องที่รู้จักกับหมอผี เพราะคำว่าไว้ใจคำเดียว
“ท่านแม่!”
“ว้าว!!!!!”
“อย่าอ้ากว้างนัก ระวังแมลงจะบินเข้า” ตอนถูกเจ้ารองสะกิดนางยังไม่คิดว่าจะเจอดงเห็ดขนาดนี้ ซึ่งคือเห็ดไคลหลังเขียว (ถงลู่จวิน) ซึ่งกินอร่อยไม่แพ้เห็ดโคน นางคิดถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่เร็วๆ นี้ รู้สึกว่ามันประจวบเหมาะเพราะนางต้องการตุนเสบียงเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
“เก็บมาเฉพาะดอกที่เกินปลายนิ้วก้อย อันที่ตูมเล็กปล่อยไว้ค่อยมาเก็บพรุ่งนี้”
เจ้ารองรับคำก่อนจะลงมือเก็บเห็ดอย่างตื่นเต้น ชุนเยว่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติคือสัญญาณเตือนล่วงหน้า ดังนั้นไม่ว่าจะพบเจอสิ่งใด นางจะกวาดให้เรียบ ยังมีเรื่องห้องหลบภัยเก็บเสบียงที่ไม่อาจให้คนอื่นเข้ามาทำ เห็นทีคงต้องจัดการกันเองแล้ว เริ่มจากขุดพื้นเจาะอุโมงค์ใต้ดินเลือกจุดที่ใกล้บ่อน้ำจึงสะดวก
“ท่านแม่ มันเยอะขนาดนี้ ตอนเราแบกกลับไปคนต้องสนใจแน่”
“เจ้ารู้จักการเล่นกลหรือไม่”
“เล่นกล? ท่านทำได้หรือ!”
“คอยดูนะ ของที่เราหอบผ่านเข้าบ้านไปจะไม่มีใครมองเห็น”
“ว้าว! ข้านึกถึงคณะกายกรรมเร่เลย”
“เขาเรียกครูพักลักจำ ไปกลับบ้านกัน ยังต้องเอาฉั่งฉิกไปปลูกเดี๋ยวมันจะเฉาเสียก่อน” นางอารมณ์ดีมาก วันนี้จะทำแกงเห็ดแสนอร่อยยั่วโมโหคนบ้านข้าง นางหลีต้องร้องโฮจนน้ำลายยืด ป่านนี้ปากคงหุบไม่ลง
“แกงเห็ดร้อนๆ มาแล้ว” เจ้าใหญ่เดินถือถาดมาวาง มีเจ้ารองเจ้าสามช่วยคนละไม้ละมือ เด็กช่วยกันตั้งโต๊ะเตรียมสำหรับมื้อเย็น หลังจากนับลมหายใจรอให้ช่างเลิกงานกลับบ้านไวๆ
“ท่านแม่ล่ะ”
“ปลูกสมุนไพรอยู่ข้างบ้าน ให้น้องเล็กไปตามแล้ว”
“ตักข้าวเถอะ ตอนกินจะได้ไม่ร้อนมาก”
“อื้อ” สามพี่น้องต่างหยิบจับและเฝ้ารอ ไม่นานมารดากับน้องเล็กจึงมา เมื่อนางนั่งลงหัวโต๊ะขยับตะเกียบเด็กๆ จึงถึงเวลากินบ้าง
“ซู๊ด! อ้า! น้ำแกงหวานมาก”
“อื้อ..! ผัดน้ำมันราดซีอิ๊วก็อร่อยเหาะ หอมกระเทียมเจียวยิ่งนัก”
“เช่นนั้นกินให้เยอะหน่อย ภายหน้าเราไม่อาจพึ่งแต่การเข้าป่าหาของไปขาย ตอนนี้มันทั้งโล่งเตียนและว่างเปล่า”
“แต่ท่านแม่เจ้าคะ สวนเล็กๆ มันจะพอขายหรือ”
“ไม่สำคัญว่าจะเล็กหรือกว้าง สำคัญคือทำอย่างไรให้มันสามารถมอบผลผลิตเยอะๆ เราต้องขุนหญ้าให้ออกกอแผ่ขยาย ให้กล้วยไม้มีดอกเป็นพวงยาวกลีบดอกสมบูรณ์ดี ขอแค่คุณภาพไม่ตกราคาจะดีเช่นกัน”
“ต่อไป ข้าจะเรียนรู้จากท่านให้มาก” เจ้ารองพูดประจบแต่ถูกแม่คุมเข้มก่อนได้เกิด
“เรียนจากข้า แล้วก็ให้พ่อเจ้าเก็บไปใช้ประโยชน์หรือ”
“โธ่ท่านแม่! อย่าบีบให้ข้าต้องเลือกข้างสิขอรับ”
“ข้าไม่เคยบีบเจ้า ต้องไปบอกพ่อใจโลเลของเจ้านู่น”
คราวนี้สี่พี่น้องก้มหน้า ที่มารดาพูดไม่ผิดเลย พวกเขาต่างภาวนาไม่ให้พ่อพาแม่ใหม่มาเพิ่ม ตอนนี้แม่ตรงหน้าไม่ดุร้ายเช่นแต่ก่อน พวกเขาก็ดีใจมากเหลือเกิน
เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามาแทนที่ความสว่าง ชุนเยว่นั่งรออย่างใจเย็นเพื่อเตรียมมอบบทเรียนต่อไปให้เพื่อนบ้าน นางรู้ดีว่าปัจจุบันการโยกย้ายถิ่นฐานทำไม่ง่ายเช่นในอดีต ดังนั้นลำพังส่งแมลงไปกัดปากคงไม่ทำให้คนอยากย้าย
“ท่านแม่ ป้าหลีดับไฟนอนแล้วขอรับ”
“พวกพี่น้องเจ้าเล่า เข้านอนกันหมดแล้วหรือยัง”
“ขอรับ ทุกคนหลับสนิท” เจ้ารองหวาดหวั่น แต่เขาสงสัยว่าแม่จะทำอะไร “ท่านแม่ ท่านรอทำสิ่งใดขอรับ”
“ข้ากำลังรอดูว่าเพื่อนบ้านเขาหลับจริงรึไม่ เกรงว่าจะคิดเข้ามาขโมยของไปอีก เจ้าไปนอนเถอะ ข้าจะนั่งเล่นรับลมอีกสักพัก”
เจ้ารองได้ยินแบบนั้นจึงร้องอ๋อในใจ! ที่แท้แม่กลัวป้าหลีแอบเข้าบ้านนี่เอง ก่อนจะขอตัวไปนอน เพราะเขาเองก็เริ่มง่วง วันนี้เหนื่อยมากสำหรับเด็กอย่างเขา
รอจนเด็กชายกลับเข้าห้อง นางจึงลุกออกไปเดินรอบๆ ในมือถือยันต์ที่ทำขึ้นอย่างง่ายแต่ของแรง เพราะได้มาจากกระดูกสัตว์ที่ตายในป่ามาเผาเป็นเถ้าเขียนแทนหมึก นางแอบเก็บมาตอนที่เจ้ารองเผลอ
“นางหลีเอ๋ย คืนนี้รับรองว่าเจ้าจะหลับสนิท ชนิดที่ลืมหายใจ” กล่าวจบยันต์ในมือลุกพรึบ! กลายเป็นดวงไฟสีฟ้า ลอยข้ามรั้วไปยังบ้านคนข้างๆ ไม่นานมีเสียงร้องของคนละเมอดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีชุนเยว่ยืนฟังอย่างอารมณ์ดี