“55555” เป็นบุรุษตัดแขนเสื้อกับอาเฟิ่งก็ไม่ได้แย่ เขายกหม้อน้ำซุปร่วมกับเจ้าอี้หลิงปล่อยให้อาเฟิ่งกับอาหว่างยกหม้อบะหมี่มาด้วยกัน ทั้งสี่คนพูดคุยหัวเราะกันไปตลอดทาง วันนี้มีบะหมี่ให้กินอย่างเหลือเฟือเลยเผื่อแผ่ไปถึงองครักษ์เลยทีเดียว
๑-------------------๑
เช้าวันต่อมาในยามเฉิน(07.30)
กลุ่มของผู้ที่เข้ามาใหม่เมื่อวานประกอบไปด้วยเจ้าอี้หลิง เจ้าหยางหลง อาเฟิ่ง และอาหว่างพากันเดินเข้าไปในโรงอาหารท่ามกลางเสียงซุบซิบมากมาย พวกเขาพูดถึงเรื่องของบะหมี่ว่าผู้ใดรับเกินสองชามจะมีความคึกคักช่วงล่างมากเป็นพิเศษ หลายคนลอบมองท่วงท่าการเดินของอาเฟิ่งเด็กหนุ่มผู้กล่าวถึงเรื่องบะหมี่เป็นคนแรกพร้อมกับทำท่าเอียงอายใส่เจ้าหยางหลงเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคาย ถึงแม้ว่าอาเฟิ่งจะเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กใบหน้ามีรอยบากแต่โดยรวมนั้นมิได้ดูแย่ ท่าทางตุ้งติ้งเช่นนั้นผู้ใดย่อมดูออกว่าเขาคงจะเป็นต้วนซิ่วน้อย สายตาเหยีดหยามถูกส่งมาให้เป็นระยะๆ
“ข้ามิเห็นรู้มาก่อนว่าสำนักศึกษาที่มีเพียงบุรุษมาร่ำเรียนจะมีนิสัยชอบซุบซิบนินทาผู้อื่นเฉกเช่นสตรี” อาเฟิ่งรีบทำท่าทางลนลานหันซ้ายหันขวา “รึว่านี่คือสำนักกระบี่ของเหล่าต้วนซิ่วเช่นนั้นรึ!! พี่หยาง” อาเฟิ่งเกาะแขนหยางหลงตอกย้ำความเป็นชายรักชาย
“เหตุใดเจ้าถึงได้กล่าววาจาเช่นนี้!!!” เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าขวบปีทนคำกล่าวหานั้นไม่ไหว เดินเข้ามาต่อว่าเสียงดัง “ลูกศิษย์ในสำนักกระบี่ทุกคนหาใช่ต้วนซิ่วเช่นเจ้า เจ้าหน้าบากไร้ยางอาย”
“ข้าไร้ยางอายแล้วอย่างไร อย่างน้อยข้าก็มิเคยด่าว่าซุบซิบนินทาผู้อื่นเช่นนี้ ถึงข้าจะเป็นต้วนซิ่วข้าก็อยู่ของข้าดีๆมิได้ไปยืนหนักบนหัวของพวกท่านเหตุใดถึงยังซุบซิบนินทาดังเช่นสตรีไม่เลิก!!!” อาเฟิ่งทำเสียงเข้มเท้าสะเอวด่าทอกลางโรงอาหารในยามเช้า ‘นางกล้า!’ “ข้ามาร่ำเรียนวิชาหาได้มาเพื่อชวนผู้ใดทะเลาะด้วยหากพวกท่านรังเกียจข้าก็มิต้องมาพูดคุยสนทนา..ข้าหาได้ใส่ใจ พวกท่านหาใช่บิดามารดาข้า”
“_”/ ”_”/ ”_” ไร้เสียงโต้เถียงกลับเพราะเป็นจริงดังเช่นเด็กหนุ่มหน้าบากกล่าวว่า ‘ผู้ใดมิชอบก็มิต้องสนทนา เรื่องง่ายๆเท่านั้น’
หลังจากเรื่องวุ่นวายในโรงอาหารจบลงเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายไปตามจุดที่เขียนชื่อรายการอาหารที่ตนเองต้องการในเช้าวันนี้(เหมือนร้านอาหารแบ่งเป็นล็อก)อาเฟิ่งเดินไปต่อแถวตรงช่องของข้าวหน้าเนื้อโดยมีอาหว่างเดินตามไม่ห่าง ลูกศิษย์ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นรุ่นพี่หันหลังมามองแล้วยิ้มออกมานิดๆก่อนจะหันหลังกลับไปไม่ว่ากล่าวอันใดจนถึงคิว
“สองห่อขอรับ” อาเฟิ่งส่งยิ้มให้ท่านป้าที่มอบบะหมี่ให้แก่เขาเมื่อวาน
“ตัวเท่านี้กินจุยิ่งนักระวังวันหน้าเจ้าจะอ้วนเป็นหมูกลิ้งลงเขายามสำเร็จวิชายุทธ์เล่า” ท่านป้าหัวเราะแต่ก็ส่งมาให้สองห่อ
“หากข้ากลายเป็นหมูก็คงจะเป็นเพราะอาหารของท่านป้าอร่อยน่ะสิขอรับ ข้าถึงได้ยั้งใจให้กินเพียงนิดเดียวมิได้”
“ปากหวานยิ่งนักเสียดายที่ข้ามีลูกสาวหาใช่ลูกชายให้เจ้าเกี้ยว”
“5555” อาเฟิ่งหัวเราะหน้าดำทะมึนเดินออกไป ในใจย่อมครุ่นคิดว่าข้าจะเอาสตรีมาทำสิ่งใดเล่าท่านป้า
“สองห่อขอรับ” อาหว่างก็เช่นกัน เพราะการเรียนวิทยายุทธ์นั้นกล้ามเนื้อถือเป็นสิ่งสำคัญองครักษ์ทุกคนมิมีผู้ใดรับอาหารเพียงแค่ชามเดียวไม่เว้นบุรุษหรือสตรี ทุกคนจะต้องกินให้อิ่มเพื่อจะได้มีแรงต่อสู้ มีแรงคิด มีแรงปกป้องเจ้านาย ส่วนน้อยนักที่องครักษ์จะรูปร่างผอมโซ
ลูกศิษย์ใหม่ทั้งสี่คนพากันเดินออกไปหาที่นั่งใต้ร่มไม้ใหญ่เจ้าอี้หลิงนำข้าวห่อไข่มาสองห่อ เจ้าหยางหลงนำข้าวคลุกปลาย่างมาสามห่อ ทั้งสี่ต่างแบ่งกันกินหลายๆอย่างพร้อมกันก่อนจะเริ่มเดินไปเข้าห้องเรียนฝึกกำลังภายในขั้นพื้นฐานแน่นอนว่าเจ้าอี้หลิงแยกไปร่ำเรียนวิทยายุทธ์ขั้นสามเพียงลำพัง
ห้องฝึกพื้นฐาน
ในห้องนี้มีผู้ที่มานั่งปรับพื้นฐานอยู่ก่อนแล้วประมาณเจ็ดคนรวมกับลูกศิษย์มาใหม่อีกสามคนเป็นสิบคน อาจารย์ผู้ฝึกในขั้นพื้นฐานนี้มีนามว่าอาจารย์อูปินเป็นบุรุษวัยกลางคนลักษณะท่าทางเป็นคนใจดี การเรียนในวันแรกนั้นอาจารย์เพียงแค่ทดสอบพลังของพวกเขาทั้งสามว่ามีถึงขั้นใดและหาสาเหตุว่าเพราะอะไรถึงยังเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสามไม่ได้ ยกเว้นอาหว่างที่นั่งมองอยู่เพียงด้านนอกการฝึกเพราะอาจารย์อูปินได้ทดสอบแล้วพบว่าอาหว่างมีกำลังภายในอยู่ในขั้นสี่ตอนปลาย เหตุที่ต้องตามมาเป็นเพราะว่า ‘ข้าห่วงน้องชายข้า..อาเฟิ่ง’
อาจารย์อูปินแยกให้เจ้าหยางหลงและอาเฟิ่งมาจัดลำดับกำลังภายใน โดยตั้งจิตให้สงบกำหนดพลังลมปราณให้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างจนกว่ามันจะคงที่ หนึ่งในเคล็ดลับเพิ่มพลังลมปราณนั้นก็คือการมีสมาธิที่ดีเยี่ยมห้ามคิดเรื่องใดปล่อยให้จิตใจให้ว่างเปล่าแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าลูกศิษย์ที่เหลืออีกเจ็ดคนมีตั้งแต่อายุแปดปีถึงสิบสองปีทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งกำหนดลมหายใจกันรอบๆห้อง ในที่นี้มิมีผู้ใดทราบว่าเจ้าหยางหลงเป็นถึงองค์ชายพราะมิมีผู้ใดเอ่ยถามชื่อแซ่จะมีเพียงเหล่าอาจารย์เท่านั้นที่ทราบ ส่วนเรื่องที่อาเฟิ่งและอาหว่างเป็นสตรีก็มีเพียงท่านเจ้าสำนักเท่านั้นที่รู้
อาหว่างนั่งอ่านตำราเพื่อรออาเฟิ่งร่วมหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) ความอดทนของสองพี่น้องฝาแฝดช่างยอดเยี่ยมถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทั้งองค์หญิงและองค์ชายจะต้องอยู่ในห้องนี้อีกกี่วัน แต่นางรู้ว่าลมปราณของทั้งสองไหลเวียนดีมากก็ได้แต่หวังว่าความพยายามปลอมเป็นชายของคุณหนูจะไม่สูญเปล่า
“เจ้ามิเข้าร่วมฝึกโคจรพลังลมปราณเช่นน้องชายเจ้ารึ? จุดตันเถียรของเจ้าปิดมานานแล้วจึงมิข้ามขั้นไปสู่ขั้นห้า” อาจารย์อูปินนั่งจิบชาเท้าคางมองไปยังเหล่าลูกศิษย์หลายรุ่นตรงหน้าถึงแม้พลังลมปราณจะเลื่อนขั้นแต่หากไม่หมั่นเพียรโคจรพลังอยู่เสมอมันย่อมมีวันถดถอยและหากโคจรพลังไม่ถูกวิธีเช่นกลุ่มลูกศิษย์ตรงหน้านี้พลังย่อมเลื่อนขั้นได้ยาก
“ไม่แล้วขอรับ ข้ามิได้มีเวลามากมายเช่นนั้นทุกวันนี้พลังของข้าอยู่ในขั้นสี่ตอนปลายรวมกับวิชากระบี่แล้วยากยิ่งนักที่จะมีผู้ใดมาต่อกร” อ่านตำราในมือด้วยท่าทางสงบ
“อืม..เป็นเช่นนั้นเองมิได้มาเพื่อฝึกพลังแต่มาเพื่อดูแลคนเท่านั้นสินะ” มองบุรุษหนุ่มคิ้วเข้ม ผิวคล้ำที่หันมองกลับมาแล้วยกยิ้ม “หน้าที่องครักษ์มันทำให้ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวสักเท่าใดกลางวันติดตามนายกลางคืนเฝ้าระวังภัยรอบเรือน” จิบชา
อาหว่างเพียงแค่หรี่ตามอง แน่นอนว่าเหล่าอาจารย์ทุกท่านย่อมทราบว่าเจ้าหย่งอี้และเจ้าหยางหลงเป็นองค์ชาย ส่วน…อาเฟิ่ง? “เป็นเช่นนั่นขอรับ”
“ข้ามีตำราที่อยากจะให้เจ้าได้อ่านในยามว่าง หากมีเวลาช่วยตามไปเอาที่เรือนข้า..ตำรานั้นจะชี้ทางสว่างให้เจ้า” กล่าวจบ ท่านอาจารย์อูปินลุกขึ้นยืนตรงไปยังเหล่าลูกศิษย์พร้อมกับปรบมือเสียงดังก้อง แปะๆ!! “ออกไปรับสำรับกลางวันกันได้อีกครึ่งชั่วยามให้กลับมานั่งอยู่ที่เดิมของใครของมัน” เอามือไขว้หลังออกจากห้องไป
อาหว่างได้เพียงแต่ครุ่นคิด ‘ตำราชี้ทางสว่าง เหตุใดต้องไปเอาที่บ้านพัก’ ส่ายหัว…ผู้ใดจะไปกันข้าเป็น ‘สตรี' เอ่อ..บุรุษสินะ
“พี่หว่างไปกันเถอะ” อาเฟิ่งเรียกให้อาหว่างออกจากภวังค์ “หากพี่เบื่อเหตุใดมิไปร่วมนั่งฝึกปรือกับข้าเล่าจะได้มิสูญเปล่า”
“มิสามารถกระทำได้เพราะถ้าหากมัวแต่นั่งโคจรพลังเกิดมีคนร้ายหรือผู้มิหวังดีปลอมปนเข้ามาจะรับมือทันได้อย่างไร”
“มิเป็นไรหรอกองครักษ์ของพี่หยางก็อยู่แถวๆนี้ อีกอย่างที่นี่คือสำนักศึกษาจะมีคนปองร้ายได้อย่างไร?”
“แน่ใจรึว่าไม่มี มิใช่ว่าเจ้าไปว่ากล่าวลูกศิษย์หลายคนว่าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อหรอกรึ?” เดินเคียงข้างอาเฟิ่ง
“_”
“ก็ถูกตามที่อาหว่างว่า พี่ว่าเจ้ารีบๆตั้งใจฝึกฝนในส่วนของตนเองจะดีกว่าจะได้ขอลงเขาไปก่อนที่เรื่องจะแดง” หยางหลงบอกใบ้ถึงเรื่องที่อาเฟิ่งเป็นสตรีจะมีผู้อื่นรับรู้
“พี่จะมิลงไปพร้อมข้ารึ!!” กอดแขนผู้เป็นพี่ชายร่วมครรภ์แต่รูปร่างต่างกันลิบลับ..แน่น
“เจ้ามิได้ยินที่อาจารย์อูปินบอกรึ?” เหลือบมองอาเฟิ่ง “การจะสำเร็จไปถึงขั้นห้าหาใช่เรื่องง่ายขนาดเราฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่แปดหนาวยังมาได้แค่ขั้นสองหากเจ้าคิดว่าเราจะสำเร็จจนถึงขั้นห้าภายในสองปีคงยาก..ลูกศิษย์รุ่นพี่บางคนอายุสิบแปดหนาวยังทำมิได้เลยด้วยซ้ำอย่างมากก็แค่ขั้นสี่ตอนปลายเทียบเท่าอาหว่าง” หยางหลงมองอาหว่างและพูดเสียงเบาลง “กว่าอาหว่างจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝึกหนักเพียงใดกัน?”
“ข้าฝึกหนักจนแทบมิเห็นเดือนเห็นตะวันกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้..พวกเจ้าคงมิอยากจะรับรู้หรอก” อาหว่างไม่อยากจะนึกไปถึงการฝึกเพื่อเป็นองครักษ์ แน่นอนว่าฝึกร่วมกันกับบุรุษหนักเสียจนนางแทบจะหมดลมหายใจเลยทีเดียวยิ่งการฝึกกระบี่ ‘ใช้กระบี่จริง..เจ็บจริง’ ร้องไห้จนร้องไม่ออก ทั่วทุกพื้นผิวบนร่างกายมีแต่รอยถูกฟาดฟันมิแพ้บุรุษร่วมฝึกนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่นางมิคิดจะออกเรือน
“เช่นนั้นพี่จะอยู่ที่นี่จนกว่าจะสำเร็จขั้นห้ารึ แล้วข้าล่ะ?” อาเฟิ่งหน้าบากเริ่มทำตัวงอแง ใครหลายคนต่างมองแล้วหันหน้าหนีเพราะไม่อยากถูกหาว่าชอบซุบซิบนินทาเหมือนเช่นสตรี
“เจ้าก็อยู่กับข้าอย่างไรเล่า” ลูบผมอาเฟิ่ง “เมื่อใดก็เมื่อนั้น” แต่นางจะต้องลงเขาไปเพื่อปักปิ่น ถึงตอนนั้นเขาและนางอาจจะฝึกลมปราณจนสำเร็จและกลับเข้าวังร่วมกันก็เป็นได้ “อย่าได้กังวล”
ทั้งสามเดินมาจนถึงโรงอาหารและพบกับเจ้าหย่งอี้ซึ่งมาพร้อมกับสหายอีกสองคนนามว่า ลู่ชิงเทียนและตั้งมู่เกอ สองคนนี้มีอายุเท่ากันกับอี้หลิงคือสิบสองหนาววิชาตัวเบาเป็นเลิศกำลังภายในคงที่แน่นอนว่าเจ้าอี้หลิงชื่นชอบคนที่เก่งกาจยิ่งนัก อาเฟิ่งมองเหล่าเด็กหนุ่มทั้งสี่พูดคุยกันเรื่องวรยุทธ์อย่างเข้าขาแล้วนึกอิจฉาในใจแม้ทั้งลู่ชิงเทียนและตั้งมู่เกอจะรับรู้อยู่แล้วว่าหยางหลงและอาเฟิ่งเป็นคู่ต้วนซิ่วแต่ก็มิได้แสดงท่าทีรังเกียจ
“เช่นนั้นในปลายยามอิ่ว(18.30)ข้ากับมู่เกอจะไปหาพวกเจ้าที่กระท่อมป่าไผ่ฝึกซ้อมวรยุทธ์กันสักเล็กน้อยเป็นอย่างไร?” ลู่ชิงเทียนเสนอ
“ดียิ่งศิษย์พี่ชิงเทียน ตัวข้านั้นอยากลองฝึกฝีมือจริงๆกับผู้อื่นมานานแล้วหวังว่าท่านคงจะไม่ออมมือ”