“ดียิ่งศิษย์พี่ชิงเทียน ตัวข้านั้นอยากลองฝึกฝีมือจริงๆกับผู้อื่นมานานแล้วหวังว่าท่านคงจะไม่ออมมือ” ทุกครั้งที่หยางหลงฝึกซ้อมกับเหล่าทหารหรือองครักษ์แน่นอนว่าไม่เคยมีใครกล้าใช้พลังที่แท้จริงกับเขาซึ่งเป็นถึงองค์ชาย..ครั้งนี้มันต่างออกไป
“ออมมือก็ถือว่าข้าดูถูกเจ้าแล้ว” ทั้งหกคนเดินไปต่อแถวรับอาหารแต่ยังคงพูดคุยกัน
“ดียิ่งๆ” หยางหลงยกยิ้มสมใจ
“ข้าร่วมด้วยได้หรือไม่?” อาเฟิ่งผู้อยากตามพี่ชายรีบเสนอตัว
“เจ้าตัวเล็กอ้อนแอ้นจะรับมือข้าได้รึเจ้าเด็กหน้าบาก” ลู่ชิงเทียนกล่าวปนหัวเราะเขามิได้รังเกียจอีกฝ่ายและคิดว่าที่เด็กชายหน้าบากตัวเล็กติดตามหยางหลงมาด้วยคงเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนรักกันส่วนเรื่องฝึกยุทธ์ก็คงจะทำเพียงเล่นๆ “ข้าว่าเจ้านั่งดูคอยให้กำลังใจคู่รักของเจ้าน่าจะดีกว่า”
“_” อาเฟิ่งไม่กล่าวอันใดต่อ…เมื่อถึงตอนนั้นก็มาดูกันว่าลู่ชิงเทียนและตั้งมู่เกอจะยอมให้นางร่วมฝึกรึเปล่า ‘หึ’ จะไปยากอะไร
“พอเถอะ..รับสำรับก่อน” ตั้งมู่เกอบอกทุกคนเมื่อแถวมาถึง
หกคนนั่งรวมกลุ่มรับสำรับคาวหวานด้วยกันโดยไม่สนใจผู้ใด ไม่มีเสียงซุบซิบนินทา มีเพียงเสียงพูดคุยเฮฮาตามประสาเด็กหนุ่มนับร้อยบ้างหัวเราะบ้างนิ่งเงียบ อาเฟิ่งมองไปรอบๆโรงอาหารที่แทบจะไม่มีลูกศิษย์ในรุ่นสิบหกปีขึ้นไปสักคนแน่นอนว่าวิธีการสังเกตุว่าผู้ใดอายุเท่าใดให้แยกตามสีสายคาดเอว
ต่ำกว่าสิบเอ็ดปีสีขาวทั้งหมด แน่นอนว่าเด็กน้อยรุ่นนี้มีไม่ถึงยี่สิบคน
-สิบเอ็ดปีสีน้ำตาล
-สิบสองปีสีเหลือง
-สิบสามปีสีฟ้า
-สิบสี่ปีสีเขียว
-สิบห้าปีสีเทา
-สิบหกปีสีแดง
-สิบเจ็ดปีสีน้ำเงินเข้ม
-สิบแปดปีขึ้นไปสีดำ
การแยกเช่นนี้ถือว่าง่ายต่อการเรียกขานว่าผู้ใดอาวุโสผู้ใดเยาว์วัยกว่าแน่นอนว่าหากผู้ใดมีบ่าวรับใช้มาด้วยก็ให้บ่าวแยกตัวออกไปอยู่เฝ้าเพียงกระท่อมที่พักมิให้เข้ามาวุ่นวายระหว่างร่ำเรียนและห้ามทำเรื่องวุ่นวายในสำนักให้กระทำตนเฉกเช่นอากาศธาตุ
“ศิษย์พี่ชิงเทียน” อาเฟิ่งถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “เหตุใดข้าถึงมิค่อยพบเหล่าศิษย์พี่ตั้งแต่วัยสิบเจ็ดหนาวขึ้นไปในโรงอาหาร พวกเขามิต้องรับสำรับรึ”
“ช่วงนี้พวกเขาถูกฝึกให้ช่วยตนเองอยู่ในหุบเขา กินนอนในป่ากว้างพบเจอสัตว์ป่า พันธุ์ไม้มีพิษรึแม้แต่กลุ่มโจร”
“_” อาเฟิ่งหัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก “แล้วเหล่าอาจารย์เล่า เข้าป่าด้วยหรือไม่?”
“แน่นอนว่าท่านอาจารย์ย่อมติดตามเข้าไปด้วยนับสิบ เจ้าช่างถามได้น่าขันผู้ใดจะปล่อยให้ลูกศิษย์ออกไปเผชิญชะตากรรมเพียงคนเดียวกันเล่า” ตั้งมู่เกอพูดขึ้น “เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลยเท่าที่ข้าทราบมา เหล่าศิษย์พี่ทุกคนที่เจ็บหนักสุดก็แค่พิการ”
“ห๊า!!!!” อาเฟิ่งร้องเสียงดังอย่างตกใจ “พิการรึ”
“อืม..ก็แค่ชั่วคราว” เขาหมายถึงขาหักหรือกระดูกเคลื่อน
“กลัวรึ” หยางหลงมองอาเฟิ่ง ‘อยู่วังหลวงดีๆไม่ชอบ’
“เปล่า” หัวคิ้วขมวดมุ่น “แค่กลัวว่าพิการแล้วจะเป็นภาระแก่ผู้อื่นน่ะสิ” เรื่องบาดเจ็บนั้นหาได้กังวล
“ก็ดี..ที่ไม่กลัวเกิดเป็นบุรุษจะกลัวเพียงแค่ฝึกยุทธ์แล้วบาดเจ็บก็มิต้องเป็นบุรุษแล้ว” ลู่ชิงเทียนเงยหน้ามองอาเฟิ่ง “ใช่หรือไม่?”
“เป็นเช่นนั้น” แกล้งยกน้ำแกงขึ้นดื่ม อึ่กๆๆ ‘เจ้าบ้าชิงเทียน’
๑-------------------๑
ปลายยามอิ่ว(18.30)
กระท่อมไม้ไผ่เหล่าเด็กหนุ่มทั้งห้าคนต่างยืนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีข้อสรุปเมื่ออาเฟิ่งยืนยันที่จะร่วมทดสอบวิทยายุทธ์ด้วย
“ศิษย์พี่ชิงเทียนและศิษย์พี่มู่เกอร่ำเรียนที่นี่มาก่อนพวกข้าร่วมสองปีหากจะให้แบ่งฟากแน่นอนว่าฝั่งข้าย่อมเสียเปรียบ..รึว่าพวกพี่กลัวที่จะพ่ายแพ้แก่ข้าสามคนผู้มาเข้าใหม่อีกทั้งข้ากับพี่หยางหลงยังอ่อนวัยกว่าพวกพี่”
“หาใช่เช่นนั้น” ตั้งมู่เกอคิดตามที่อาเฟิ่งว่า ‘มันก็ถูกแล้ว’
“ถ้ามิใช่เช่นนั้นก็เอาตามข้าว่า วรยุทธ์ข้าต่ำต้อยเป็นเพียงแค่คนคอยลอบกัดพวกท่านก็ได้” อาเฟิ่งพยักหน้าให้แก่ตัวเอง
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องลอบกัด!!” หยางหลงตะคอก
“ก็ฝึกวรยุทธ์ให้เหมือนลงสนามจริงอย่างไรเล่า พวกพี่คิดว่าในยุทธภพโจรร้ายมันจะวิ่งตรงเข้ามาให้เชือดโดยที่มิลอบกัดรึ?”
“อ้อ..” เด็กหนุ่มสี่คนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
“เอาล่ะ…ข้าจะอยู่ฝั่งพี่หยางหลงกับพี่อี้หลิงคอยลอบกัดพวกท่าน..เชิญ!!ลงมือ” อาเฟิ่งเดินออกจากกลุ่มไปนั่งข้างๆ
“_” / “_” ท่ามกลางความงุนงงของเด็กหนุ่มทั้งสี่
“แล้วเจ้ามิเข้ามาร่วมรึ” หยางหลงมองอาเฟิ่งที่นั่งลงรับสำรับเย็นอย่างสบายใจ
“ก็ข้าจะลอบกัด แต่จะลงมือเมื่อใดมันก็เรื่องของข้าเชิญพวกท่านต่อสู้กันก่อนเลยกินอิ่มแล้วข้าจะตามไปในป่าไผ่” ตักน้ำซุปเข้าปาก
ลู่ชิงเทียนพูดและอมยิ้มน้อยๆ “เด็กต้วนซิ่วของเจ้าช่างคิดสิ่งใดมิเหมือนคนปกติ” มองสหายทุกคน “แต่ก็นะให้เจ้าหน้าบากไปลอบกัดก็ไม่เลว” กระโดดหายไปในป่าไผ่ ฟิ้ว!! ฟิ้วววว
ฟิ้ว!!! ฟุ่บ!!! เคร้งๆๆ เคร้งๆๆ เสียงฟาดฟันกระบี่ดังขึ้นในป่าไผ่ไม่ขาดสาย วิชาตัวเบาหลายสายกระโดดพึ่บพั่บไปมาไม่ช้าไม่เร็วนัก อาเฟิ่งมองเงาของทั้งสี่คนตาไม่กระพริบแน่นอนว่านางมองทันบ้างไม่ทันบ้างแต่จะให้มองเห็นหมดเลยก็จะดูอวดตนไปสักหน่อย มือบางผิวคล้ำจากการทาผงฝุ่นสีน้ำตาลทุกวันเพื่อกลบเกลื่อนสีผิวที่แท้จริงจับกระบี่ข้างตัวไว้กับมือแน่น ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขา ‘สำหรับผู้ลอบกัด’ ต้องมองให้ดีว่าจะไม่เผลอไปจู่โจมฝ่ายตนเองขาเรียวกระโดดขึ้นปลายไม้โคจรลมปารณขั้นสองของคนเองพุ่งทะยานออกไปหาตั้งมู่เกอ
ฟึ่บ!!! เคร้ง!! กระบี่เล่มบางถูกปัดออกอย่างรวดเร็วด้วยปลายเท้าของอีกฝ่าย อาเฟิ่งกระโดดถอยหลังขึ้นไปบนยอดไม้คว้ากิ่งไผ่ออกมาถือเป็นอาวุธเมื่อกระบี่ของตนตกลงสู่พื้นด้านล่างความไม่ยอมแพ้ ฉายชัดในดวงตากลม เห็นได้ชัดว่ารอยบากข้างแก้มยับย่นไปตามใบหน้าจดจ้องคนอายุมากกว่าที่ยังคงฟาดฟันกับหยางหลงและอี้หลิง
ในจังหวะที่ลู่ชิงเทียนผงะหงายหลังหลบฝ่าเท้าของเจ้าอี้หลิง อาเฟิ่งไม่รอช้ากระโดดเข้าหาอีกฝ่าย ตวัดฟาดปลายไม้ไผ่จู่โจมออกไปด้านข้างของลู่ชิงเทียน ฟุ่บ!!! ฟุ่บ!! “ผัวะ!!” เสียงเตะ ตุ่บ! ตุ่บ!! เสียงตก
ปึ่ก!! “อ้า!!” อาเฟิ่งถูกลู่ชิงเทียนตวัดปลายเท้าใส่แขนก่อนจะเสียหลักเซตกลงสู่พื้นร้องเสียงดัง “อูยยยย” นั่งตะแคงข้างลูบก้นป้อยๆ
หยางหลงและอี้หลิงตกใจตะโกนลั่น “อาเฟิ่ง!!!/อาเฟิ่ง”
อาหว่างที่กระโดดเข้าอย่างรวดเร็วแต่มิทันการณ์เพราะอยู่ห่างเกินไป สองมือประคองคนที่นั่งก้นจ้ำเบ้าตรงพื้นแม้จะตกลงมาไม่สูงนักแต่คาดว่าสะโพกต้องบอบช้ำเป็นแน่ “เจ็บมากหรือไม่”
“เจ็บ แต่ไม่มาก” ทำหน้าเหยเก ก้นปวด แขนปวด “เป็นธรรมดาของการฝึกพี่หว่างอย่าได้ห่วงไป”
ฟุ่บ!! ฟุ่บ!! ฟุ่บ! ฟุ่บ!! สี่เด็กหนุ่มกระโดดลงมาจากยอดไม้อย่างพร้อมเพรียง เจ้าหยางหลงรีบคุกเข่าลงอุ้มฝาแฝดตนเองขึ้นแนบอกกิริยาท่าทางเช่นนี้ สองสหายคนใหม่ย่อมคิดว่าทั้งสองเป็นคู่ต้วนซิ่ว แต่ก็หาได้ใส่ใจเมื่อเรื่องช่วยคนเจ็บต้องมาก่อน
“นี่คือผลของการคิดเล่นอะไรแปลกๆของเจ้าอาเฟิ่ง” หยางหลงส่ายหัวใส่คนที่เล่นเป็นผู้ลอบกัด ‘จะมีผู้ใดกล้าคิดเช่นเจ้ากัน’
“ขออภัยที่ข้าตกใจแล้วใช้เท้าถีบเจ้า แต่ข้าออมแรงไว้แล้วนะ” ลู่ชิงเทียนเดินตามสหายใหม่เข้าไปในกระท่อมในอกเสื้อหยิบยานวดออกมาเพื่อแสดงความจริงใจ “ยาตลับนี้แทนคำขอโทษ..โปรดรับไว้ด้วย” ยื่นให้อาเฟิ่ง
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยข้ามิถือโกรธท่านโทษ..โอยยย” จับแขนที่เริ่มปวดระบม
“ให้อาจารย์หมอมาตรวจดูดีหรือไม่” ตั้งมู่เกอเสนอ
“อย่าเลยแค่ทายาก็คงจะหาย พวกท่านออกไปรับสำรับด้านนอกเถิดข้าจะชำระร่างกายทายาและพักผ่อน” อาเฟิ่งเริ่มปวดจนทนไม่ไหวเอ่ยไล่ทุกคนในห้องยกเว้นพี่หว่างใบหน้าที่มีรอยบากอดทนข่มความเจ็บเอาไว้ แสร้งทำหน้าเรียบเฉยแต่เหงื่อกลับไหลซึมลงทั่วแผ่นหลังบอบบาง
อาหว่างเห็นแล้วรีบกล่าวสมทบ “หยางหลงช่วยพาอาเฟิ่งเข้าห้องด้วย อีกครู่ข้าต้องเช็ดตัวให้น้องข้าก่อนจะทายา” ผายมือส่งคนอื่นๆคล้ายกับไล่ทางอ้อม
“เช่นนั้นเราออกไปเถิด” เจ้าอี้หลิงชักชวนเมื่อรู้ว่าอาเฟิ่งจะต้องเปลื้องผ้า
“อืม..ขออภัยอีกครั้งอาเฟิ่ง” ลู่ชิงเทียนกล่าวย้ำก่อนจะเดินตามเจ้าอี้หลิงออกไปหน้าเรือน
เจ้าหยางหลงอุ้มอาเฟิ่งเข้าไปนอนในห้อง “ข้าอยากจะตีเจ้าให้เจ็บกว่านี้นะเฟิ่งเอ๋อร์!”
“ตีเรื่องใด พี่ออกไปได้แล้วพี่หว่างจะถอดเสื้อผ้าข้า..รึพี่อยากจะดู” แม้เจ็บปวดแต่ก็ยังไม่วายหยอกเย้าพี่ชายฝาแฝด
“ผู้ใดจะอยากดูร่างกายของเจ้ากันเจ้าเด็กหน้าบาก!!” ปั่ก!! วางตลับยามากมายลงกับโต๊ะตรงหัวนอน “ทายาแล้วอย่าลืมออกไปต้มยาน้ำมาให้อาเฟิ่งด้วยเล่าพี่หว่าง”
“ขอรับ”
คล้อยหลังหยางหลง