เสียงฝีเท้าหลายคู่เดินมาทางที่พวกนางนั่งอยู่ จูเหม่ยเซียนเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสองสามีสุดที่รักผู้พาบุตรชายคนที่สามไปหาท่านปู่เจ้าหย่งเจิ้ง(ฮ่องเต้องค์ก่อน)กลับมาแล้ว ด้านหลังยังคงมีองครักษ์ตามมาอีกมากมายดังเช่นทุกวัน
“ยังมิกลับเข้าตำหนักหรือชายารัก” ชินอ๋องเจ้าหย่งเจี้ยนเดินเข้าไปหา พร้อมกับเจ้าชินหลงบุตรชายคนเล็ก
ชายารักผู้ถูกทักยิ้มหวาน “รอท่านพี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ?” นางดึงแขนบุตรชายตัวอ้วนวัยเจ็ดหนาวเข้ามาในอ้อมกอด
“เมื่อครู่พี่ได้ยินว่าเจ้าจะเปิดร้าน?” จวิ้นอ๋องเจ้าหย่งเซิงสวามีอีกหนึ่งคนถาม
ชายาผู้งดงามเอียงคอมอง “เจ้าค่ะ ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ย่อมได้ พี่จะเป็นผู้จ่ายเบี้ยค่าสร้างร้านค้าให้ดีหรือไม่?” เจ้าหย่งเซิงจับมือบางของชายารักให้ลุกขึ้นแล้วพากันเดินเข้าไปในตำหนัก
“ดียิ่งเจ้าค่ะ” หันมองเจ้าหย่งเจี้ยนสวามีอีกคน “พี่หย่งเจี้ยนจ่ายค่าแรงคนงานให้น้องนะเจ้าคะ?”
“ได้สิ” ยิ้มหวาน
แล้วทั้งหมดก็พากันเดินเข้าไปด้านในเพื่อพูดคุยเรื่องร้านค้าจนแล้วเสร็จจึงชำระร่างกายและเตรียมตัวเข้าห้องเพื่อพักผ่อนหลังจากงานวันนี้แล้วเสร็จ..ทุกอย่างช่างดูสงบสุข?
๑-------------------๑
สามวันต่อมาในตำหนักลิ่วหลง (ที่ประทับของฝาแฝด)
เจ้าเฟิ่งเซียนนอนอ่านเรื่องราวจากหนังสือปกดำที่นางได้มาจากท่านแม่ ยิ่งอ่านยิ่งทึ่งกับเรื่องราวในโลกนั้นจนเวลาผ่านไปเกือบค่อนคืน องครักษ์ในคราบสาวใช้คนสนิทจึงเข้ามาหาเพื่อบอกเวลา
“นี่ยามไฮ่แล้วนะเพคะองค์หญิง”
“เมื่อใดพี่หว่าหวาจะเลิกเรียกข้าว่าองค์หญิงเสียทีเล่า” เฟิ่งเซียนทำหน้ายุ่ง
“_”
“เรียกข้าว่าคุณหนูได้หรือไม่?” เหมือนดังที่ท่านป้าเสี่ยวถง สาวใช้ของท่านแม่เรียกท่านแม่ของนางเพราะครึ่งหนึ่งในกายนางหาใช่เชื้อพระวงค์ ท่านตาก็เป็นเพียงเสนาบดีฝ่ายขวาที่ยามนี้ถูกฮ่องเต้ปลดไปเป็นสหายร่วมเล่นหมากกับท่านปู่ (ฮ่องเต้คนก่อน)แล้ว
“บ่าวจะพยายามเจ้าค่ะ” หว่าหวาองครักษ์วัยยี่สิบปีตอบกลับ
เฟิ่งเซียนมองสาวใช้มากวัยของตนเองที่ท่านพ่อมอบให้แก่นางเมื่อห้าปีที่แล้ว คำถามเดิมๆที่นางถามสาวใช้เกิดขึ้นอีกครั้ง “พี่หว่าหวาอยากออกเรือนหรือไม่?”
หว่าหวามององค์หญิงที่นางคอยเฝ้าดูแลมาแสนนานจนเกิดความผูกพันรักใคร่เฉกเช่นน้องสาว “ไม่หรอกเจ้าค่ะ”
“เหตุใดองครักษ์กับสาวใช้ของท่านแม่และท่านพ่อทั้งสองถึงมิอยากมีคู่ครองนะ” ใบหน้างดงาม ผุดผาดครุ่นคิด “รึว่าพวกพี่รักชอบกันอยู่แล้วในหมู่องครักษ์เงา อืมมมม”
ผู้ฟังตกใจ “หาใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ!!..คุณหนูอย่าได้สนใจเลยบ่าวว่ายามนี้รีบเข้านอนเถิดหากพรุ่งนี้ตื่นนอนสายจะไม่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ..ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทกับองค์ชายเจ้าหยางหลงจะเข้าเฝ้าทูลขอออกไปร่ำเรียนวิชาในสำนักศึกษาบนเขาไท่ซานใช่หรือไม่?” หว่าหวารีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“จริงด้วย!!!!” เจ้าเฟิ่งเซียนดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าจะไปกับพี่ใหญ่”
“เช่นนั้นก็นอนเถิดเจ้าค่ะ” หว่าหวาเดินเข้ามาใกล้ๆเตียงนอน จัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย “ดับตะเกียงเลยนะเจ้าคะ”
“อืม” เจ้าเฟิ่งเซียนมองตามสาวใช้ไปจนตะเกียงถูกดับลง
แกร่กๆๆ ปึ่ง! ตากลมโตยังมิได้หลับลงเพราะหัวสมองยังคงครุ่นคิด นางจะทำเช่นใดดี ‘นางอยากไปร่ำเรียนกับพี่ใหญ่บนเขาไท่ซาน’ สถานที่ที่ท่านพ่อทั้งสองเคยศึกษาอยู่เมื่อครั้งยังเยาว์ สมองน้อยๆคิดอยู่ร่วมหนึ่งเค่อจนม่อยหลับไป
๑-------------------๑
ยามเฉิน(07.00)
ก่อกๆๆ “คุณหนู” เสียงหว่าหวาเคาะประตูไม้เรียกขานคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง “คุณหนู..บ่าวเข้าไปนะเจ้าคะ?”
“เข้ามาเถิด”
เสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมแสงสว่างจากด้านนอก เช้านี้เป็นเช้าที่เฟิ่งเซียนเกียจคร้านที่สุดเลยก็ว่าได้
“พี่ใหญ่ตื่นหรือยัง?”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ” หว่าหวาเปิดผ้าม่านก่อนจะเดินไปหาเจ้าเฟิ่งเซียนที่กำลังลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเด็กสาวบนเตียงดูงัวเงีย
“ข้ารับสำรับเสร็จแล้วจะรีบตามพี่ใหญ่ไปหาท่านพ่อเลยคอยดู” ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้วเดินหายไปทางหลังฉาก ซึ่งอีกฟากหนึ่งมีประตูออกไปด้านนอกสำหรับให้บ่าวตักน้ำอุ่นเข้ามาไว้เตรียมให้นางชำระร่างกายในยามเช้าเรื่องนี้เป็นท่านแม่จูเหม่ยเซียนเป็นผู้สอน ตื่นนอนจะต้องอาบน้ำไล่ความสกปรกออกจากกายทุกครั้ง
หว่าหวาเดินตามเข้ามาเทผงหอมกลิ่นดอกโม่ลี่ฮวา(มะลิ)ลงไปในน้ำอุ่นให้คุณหนูผู้งดงามลงอาบ กลิ่นนี้เป็นกลิ่นเดียวกันกับพระชายาจูเหม่ยเซียน น่าแปลกใจที่สองแม่ลูกใช้กลิ่นดอกไม้ชนิดเดียวกันแต่เมื่อยืนด้วยกันกลับได้กลิ่นที่แตกต่าง นางเคยถามพระชายาจูเหม่ยเซียน พระนางตอบกลับมาว่า 'เป็นเพราะกลิ่นตัวของเรากับเฟิ่งเอ๋อร์เป็นคนละกลิ่นกันถึงแม้ผงหอมจะใช้แบบเดียวกันแต่พอผสมกับกลิ่นตัวแล้วจะทำให้กลิ่นนั้นแตกต่างเหมือนเป็นกลิ่นเฉพาะของใครของมัน' คงเป็นเช่นนั้น พระชายากลิ่นหอมหวานแต่คุณหนูกลับเป็นกลิ่นหอมสดชื่น 'คงเพราะยังเป็นเด็กสาว' กระมัง
หว่าหวามองคุณหนูที่มีผิวกายนวลเนียนสุขภาพดี บวกกับหน้าตาสวยจัดนางมั่นใจว่าอีกสี่ปีคุณหนูของนางคงต้องงามมากแน่ๆ ไฝชาติเม็ดเล็กๆตรงหางตาด้านขวายิ่งทำให้คุณหนูดูมีเสน่ห์ หว่าหวาทำได้เพียงแค่ถอนใจ ‘ใครกันเล่าจะเหมาะสมเคียงคู่กับองค์หญิงของนาง'
“พี่หว่าหวา”
“เจ้าคะ” คนถูกเรียกออกจากภวังค์รีบเดินมานั่งขัดหลัง “สำนักศึกษาบนเขาไท่ซานเป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ของเหล่าบุรุษใช่หรือไม่?”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“แล้วข้าจะไปกับพี่ใหญ่ได้อย่างไรกันนะ” เจ้าเฟิ่งเซียนยิ่งคิดก็ยิ่งขัดใจ “เหตุใดข้ามิเกิดเป็นชายเหมือนหยางหลง!!” อารมณ์โมโหทำให้นางไม่เรียกพี่ชายว่าพี่ “วิชากระบี่ข้าก็ไม่ด้อย…ทำอย่างไรดี?”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องเพราะหว่าหวาก็ไม่สามารถออกความเห็นได้จนคุณหนูของนางโพล่งขึ้นมา “รึว่าต้องปลอมตัวเป็นบุรุษ?”
หว่าหวาทำตาโต คุณหนูของนางมีเค้าความงามปรากฏออกมาแล้วผู้ใดพบเห็นจะเชื่อได้อย่างไรกัน..อีกอย่าง “คุณหนูต้องบอกกล่าวแก่ท่านอ๋องและพระชายาก่อนนะเจ้าคะเพราะถ้าจู่ๆคุณหนูหายตัวไปจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ” ใบหน้าสาวใช้มีความวิตกกังวลอยู่เต็มเปี่ยม
คนในอ่างน้ำมีท่าทางเศร้าสร้อย แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว “ข้าจะบอกแน่..แต่ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ตกลงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“_” แย่แล้ว
//---------------๑๑
ตำหนักอู่หลง(07.45)
ในห้องรับสำรับเช้าของวันนี้มีอาหารโปรดของบุตรทั้งสามวางอยู่ตรงกลาง เจ้าเฟิ่งเซียนรู้สึกเจริญอาหารยิ่งนักไข่หวานๆที่ท่านแม่ทำรสชาติดียิ่งกว่าสิ่งใดบนนี้ นางเคยถามว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร? ท่านแม่ตอบกลับมาว่า ‘มันคือไข่ลูกเขย’ วิธีการทำช่างยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่า ‘จอมยุทธ์’ อย่างนางจะเข้าใจ เจ้าเฟิ่งเซียนเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องงานครัวลูกขอละเว้นซึ่งท่านแม่และท่านพ่อก็มิได้ว่ากล่าวอันใดเพราะเหตุผลร้อยแปดตามความคิดของนางมักจะถูกนำมาอ้างได้เสมอ เช่น 'ลูกเป็นองค์หญิงแม่ครัวในโรงครัวก็มีเยอะแยะมากมายจะเพิ่มลูกให้เข้าไปเกะกะเรียนทำอาหารทำไมเจ้าคะ’ และเมื่อท่านตาถามว่า ‘แล้วเจ้าออกเรือนไปจะมิคิดทำอาหารมัดใจสามีรึ’ เจ้าเฟิ่งเซียนฟังก็หัวเราะร่า ‘ท่านลุงป๋อหลิง(ฮองเฮา)ยังทำอาหารไม่เป็น หลานก็ไม่เห็นว่าท่านลุงหย่งอี้(ฮ่องเต้)จะเดือดร้อนสิ่งใดแต่กลับทั้งรักทั้งหลงท่านลุงป๋อหลิงมากมายเสียอย่างนั้น คงมิใช่อาหารแล้วกระมังที่ใช้มัดใจสามี’ แล้วผู้ที่ได้ฟังในวันนั้นก็หมดคำจะกล่าว
“ท่านพ่อขอรับ” เจ้าหยางหลงเงยหน้ามองท่านพ่อทั้งสอง “ลูกอยากขึ้นเขาไปร่ำเรียนที่สำนักไท่ซาน”
สายตาทุกคนบนโต๊ะรีบมองไปยังเจ้าเฟิ่งเซียน ‘คนติดพี่ชาย’ เห็นนางทำเป็นกินอาหารเหมือนไม่สนใจ แต่ก็ไม่มีใครวางใจ
“ไปกับรัชทายาทใช่หรือไม่?” จวิ้นอ๋องถามขึ้นมาแต่ตามมองบุตรสาว
“ขอรับ”
“นานเท่าใด?” ชินอ๋องถามแต่ตามองบุตรสาว
“คาดว่าคงจะเป็นสองปีขอรับ”
แกร่กๆๆ เสียงวางตะเกียบของคนที่ทุกคนจับตามองถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับริมฝีปากบางของแฝดน้องขยับพูดดังขึ้น
“ข้าให้เจ้าไปปีเดียวหยางหลง ถ้าไปสองปีแน่นอนว่าจะต้องให้ข้าไปด้วย” เจ้าเฟิ่งเซียนยอมถอยออกมาหนึ่งก้าว
“ปีเดียวจะไปร่ำเรียนกำลังภายในจนถึงขั้นห้าได้อย่างไรเล่า?” คนถูกสั่งฮึดฮัด
“เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ไปคนเดียว!!”
ชินอ๋องถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของฝาแฝดคนรอง เรื่องเช่นนี้จะให้กล่าวโทษใครได้เป็นเพราะเขาไม่ได้คอยดูแลอบรมสั่งสอนบุตรสาวคนนี้อย่างเข้มงวดจึงทิ้งให้ ‘จวิ้นอ๋อง' คนเห่อลูก เลี้ยงดูอย่างตามใจ ในวัยเยาว์ไม่ว่านางจะถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันผู้ใดจวิ้นอ๋องเป็นหัวเราะชอบใจอยู่ทุกครั้งมิเคยห้ามปราม
“ความจริงพ่อก็มิได้อยากให้หยางหลงต้องไปเพียงผู้เดียวหรอก หากไม่ติดว่าสำนักบนเขาไท่ซานเป็นสำนักกระบี่ของบุรุษพ่อก็คงอนุญาตให้เจ้าไปกับพี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว” อาศัยการพูดหว่านล้อมชักจูงนาง
“ลูกอยากไปกับหยางหลงนะเจ้าคะท่านพ่อ เราให้ท่านลุงหย่งอี้(ฮ่องเต้)ส่งข้อความถึงเจ้าสำนักบนเขาไท่ซานได้หรือไม่ว่าให้ลูกติดตามไปด้วย” เจ้าเฟิ่งเซียนเปลี่ยนมาออดอ้อน
ชินอ๋องมีสีหน้าหนักใจ “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าสำนักหาใช่คนที่เราจะไปบังคับข่มขู่เช่นนั้นได้ กฎก็ต้องเป็นกฎ”
“เช่นนั้นลูกจะเข้าไปอย่างบุรุษ..ตามกฎ!!!”
บุรุษทั้งหมดบนโต๊ะอาหารทำตาโตเบิกกว้าง จวิ้นอ๋องเจ้าหย่งเซิงยกมือขึ้นกุมขมับ ‘เขาคงจะเลี้ยงบุตรสาวมาแบบผิดๆ’
ท่านแม่จูเหม่ยเซียนมีสีหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้นางจะเคยบอกเคยสอนฝาแฝดทั้งสองว่าสตรีในยุคสมัยที่นางจากมา บุรุษทำสิ่งใดสตรีย่อมทำได้ไม่แตกต่าง แต่ในยุคสมัยเหมือนยุคโบราณเช่นนี้หาได้กระทำได้ไม่และตัวนางเองรู้ดีว่าสวามีทั้งสองไม่เคยแม้แต่คิดจะทำโทษบุตรเลยสักคน “หากเจ้าก้าวขาออกจากเมืองหลวงแม่จะทำโทษเจ้า ให้ไปอยู่อารามซงกวนนุ่งขาวห่มขาวเท่ากับเวลาที่เจ้าก้าวออกไปเลยคอยดู” มองหน้าบุตรสาวเขม็ง แม้ลึกๆในใจจะสงสารเฟิ่งเอ๋อร์ไม่น้อยแต่ก็ต้องทำ
ไร้คำพูดจาออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เจ้าเฟิ่งเซียนมองท่านแม่อย่างตัดพ้อ หลังจากนั้นนางก็ไม่กล่าวคำใดออกมาอีกจนทุกคนต่างพากันแยกย้าย..ทุกอย่างดูอึมครึมไปหมด
บนรถม้าระหว่างทางไปสำนักศึกษาไม่ไกลจากวังหลวง ฝาแฝดสองคนต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง เจ้าหยางหลงมองน้องสาวเป็นระยะๆอย่างเห็นใจ แม้จะรับรู้อยู่แล้วว่านางมักจะตามติดพี่ชายเช่นตนไปทุกที่แต่เรื่องที่ตนเองเป็นบุรุษและนางเป็นสตรีมันคือความจริงที่มิอาจจะปฏิเสธได้ ถ้าหากสำนักศึกษาบนเขาไท่ซานเป็นดังเช่นในเมืองหลวงก็คงจะง่ายดายกว่านี้ ในความเป็นจริงสำนักศึกษาที่ทั้งสองคนร่ำเรียนอยู่ได้แยกฝั่งชายหญิงไว้อย่างชัดเจนแต่ด้วยเพราะท่านอาจารย์ยังคงไว้หน้าท่านพ่อทั้งสองอยู่อีกทั้งนางเป็นถึงหลานรักของฮ่องเต้จึงได้สิทธิพิเศษให้มานั่งเรียนร่วมกันกับพี่ชายได้หาใช่ไปนั่งเรียนเย็บปักทางฝั่งสตรี ทุกวันนี้หากใบหน้านางไม่ฉายแววงดงามเขาคงจะคิดว่าตนเองมีน้องชายฝาแฝดด้วยซ้ำและสาเหตุที่ต้องร้องขอขึ้นไปบนเขานั้นเป็นเพราะการประลองเลื่อนขั้นที่ผ่านมาพลังลมปราณของตนเองไม่มีการคืบหน้ารั้งอยู่เพียงแค่ขั้นสอง ท่านพ่อเคยบอกว่าสมัยก่อนตอนที่ยังมิมีสำนักศึกษาในเมืองหลวงเสด็จพ่อทั้งสองได้ขึ้นเขาฝึกวิชาตั้งแต่สิบหนาว ฝีเท้าวิชาตัวเบานั้น..เบาดุจปุยนุ่น พลังลมปราณแข็งแกร่งขั้นห้าแต่จะให้ท่านพ่อสอนตลอดไปคงจะมิใช่เรื่องดีเพราะท่านพ่อทั้งสองมีภารกิจบ้านเมืองมากมายที่ต้องจัดการเพื่อช่วยให้ท่านลุงปกครองแคว้นได้ง่ายขึ้น
“คิดสิ่งใดอยู่รึเฟิ่งเอ๋อร์”