แม่หมอชราตรวจดูดวงชะตาของสตรีผู้มีตำหนิไม่ว่าจะทางร่างกายหรือของลับจนถ้วนทั่วก็ได้แต่ทำหน้าเครียดขรึม หากบุรุษใดรับนางเข้ามาเป็นภรรยา ชายผู้นั้นไม่พิการก็ต้องสิ้นชีพเพราะ ‘ดวงชะตาของนางจะกินสามี’ ช่างเป็นสตรีที่โชคร้ายยิ่งนัก ดวงเช่นนี้นับได้ว่าพันปีจะมีเพียงหนึ่งโดยแท้ถ้าสตรีผู้นี้ร่วมหอกับคนธรรมดาก็คงถูกทำโทษเพียงแค่ขับไล่หาใช่ถูกขังลืม
หลังจากรับรู้ความจริงนั้น แคว้นที่เชื่อเรื่องดวงชะตามาหลายร้อยปีมีหรือจะปล่อยให้นางได้หลุดรอดถึงแม้ส่วนหนึ่งจะมาจากพระบิดาของพระองค์เองที่มิตรวจสอบนางให้ดีอีกทั้งยังมิยอมฟังคำห้ามปรามจากท่านแม่ฮองเฮาจนสุดท้ายพระองค์จะต้องทนทุกข์ ใช้ชีวิตบนรถเข็นอยู่เช่นนั้น
ยิ่งฮ่องเต้มิสามารถกลับมาเดินได้เช่นคนปกติข้อหาของนางก็ยิ่งมิอาจผ่อนปรนได้ ถึงแม้นางมิได้มีความคิดอยากจะปองร้ายผู้ใดนอกจากความทะเยอทะยานอยากได้อยากมีอยากสุขสบายแต่ก็หาได้รอดพ้นจากข้อหาทำร้ายเชื้อพระวงค์
คำสั่งลงโทษด้วยการขังลืมนี้ถือว่าเป็นโทษสถานเบาที่สุดแล้ว ส่วนทหารยามผู้นั้นถูกสอบประวัติความเป็นมาจึงทราบว่าเขาเป็นเพียงบุรุษไร้ญาติหาได้รู้เห็นสิ่งใดในเรื่องที่ก็เกิดขึ้น พระองค์จึงออกคำสั่งให้ส่งทหารผู้นั้นไปประจำอยู่นอกเมืองจนแก่ชรา นับจากนั้นเป็นต้นมาวังหลังของฮ่องเต้ก็หายไปเหลือไว้เพียงชื่อ ทุกวันนี้มีเพียงชวีฮองเฮา สนมว่านกุ้ยเฟย สนมร่วนเสียนเฟยที่ยังคงอยู่ดูแลท่านพ่อมิไปไหน เท่านี้ก็ทำให้เพ่ยหานหรงรับรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าความรักหมายความว่าอย่างไร
‘คำทำนายจากแม่หมอเจียวจินจะมิเชื่อก็มิสามารถทำได้จริงๆ’
--------๑-------
สำนักเขาไท่ซาน
“หลังจากวันนี้พวกเจ้าจะต้องเริ่มเข้าเรียนในยามเฉิน(08.00)เป็นหลักสูตรกำลังภายในขั้นสอง..แต่รัชทายาทเจ้าอี้หลิงอยู่ขั้นสาม” มองไปยังอาหว่าง “ตัวเจ้ายังยืนยันที่จะอยู่ร่วมกับน้องชายใช่หรือไม่อาหว่าง”
“ขอรับ” อาหว่างตอบรับ
อาจารย์ยี่ปั๋วมิกล่าวคำใดต่อ เดินนำเหล่าลูกศิษย์ใหม่สี่คนไปเยี่ยมชมสถานที่เรียนทั้งในร่มและสนามกลางแจ้ง “นี่คือห้องชุดเสื้อผ้าสำหรับลูกศิษย์ซึ่งทั้งหมดคือชุดของบุรุษเพราะสำนักไท่ซานมิมีสตรีเข้ามาร่ำเรียน” ผายมือไปยังห้องขนาดกว้างมีช่างเย็บปักเสื้อผ้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีสูงวัย “แน่นอนว่าชุดพวกนี้ต้องใช้เบี้ยจ่ายราคาชุดละหนึ่งตำลึงทองรายได้นี้เราจะแบ่งให้แก่ท่านป้าทั้งหลายที่อดทนนั่งตัดเย็บชุดให้พวกเรา” ท่านป้าท่านอาทั้งหลายในห้องยิ้มแย้มใส่ทุกคน
“ท่านอาจารย์ขอรับแล้ววันนี้พวกเราจะต้องทำสิ่งใดต่อหรือไม่” รัชทายาทเจ้าอี้หลิงเป็นผู้ถามขึ้นมา
“หลังจากเลือกชุดตามจำนวนและจ่ายเบี้ยเรียบร้อยก็มิมีสิ่งใดเพิ่มอีก ห้องเรียนหรือสถานที่ฝึกข้าได้บอกกล่าวแก่พวกเจ้าแล้ว เวลาที่เหลืออยู่สามารถเดินดูรุ่นพี่ของพวกเจ้าฝึกวรยุทธ์หรือทำกิจกรรมต่างๆได้ แต่ที่อยากบอกกล่าวคืออย่าได้เข้าไปใกล้เขตของรุ่นพี่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าเป็นเด็ดขาดเพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ” จากที่อาจารย์ยี่ปั๋วเดินแนะนำสถานที่ว่าเขตใดเป็นของรุ่นพี่ฝึกยุทธ์ขั้นใดและเขตใดอันตราย ทั้งหมดที่อาจารย์ยี่ปั๋วกล่าวมานั้นทำให้ทั้งสี่คนเข้าใจได้ไม่ยาก ส่วนสถานที่ที่จะพบปะเหล่าฝึกยุทธ์ทุกรุ่นนั้นก็คือโรงอาหารขนาดกว้างในเวลาพักเที่ยงก่อนจะเริ่มเรียนกันอีกครั้งในยามอุ้ย(13.00)
“ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ” เด็กหนุ่มทั้งสี่คนรับคำ
“เช่นนั้นก็เข้าไปเลือกชุดเถิด อีกครึ่งเค่อข้าต้องเข้าไปฝึกรุ่นสามแล้ว” อาจารย์ยี่ปั๋วเดินห่างออกไปอีกทิศทางหนึ่งเพื่อเตรียมตัวไปสอน
สี่คนยืนอยู่ตรงนั้นมองหน้ากันก่อนจะพากันเข้าไปหาท่านป้าเลือกชุดพอดีตัวคนละสามสี่ชุด จ่ายเบี้ยและกลับออกมาแน่นอนว่าการร่ำเรียนอยู่ที่นี่เรื่องฐานันดรศักดิ์ก็ต้องลืมมันไป
ระหว่างทางกลับเรือนพักด้านหลังทิวไผ่เสียงฝึกวิชากระบี่ เสียงต่อสู้ดังเข้าหูมาเป็นระยะๆไม่ขาดสาย
เจ้าหยางหลงมองแฝดน้องอย่างรู้สึกหนักใจ ทุกคนในสถานศึกษาแห่งนี้มิมีผู้ใดรู้ว่าอาเฟิ่งเป็นสตรี แน่นอนว่ายามฝึกวิชาคงจะมิมีการออมแรงให้เป็นแน่ เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรหากนางพลาดพลั้งหรือสู้แรงคนหนุ่มไม่ได้หากให้เทียบกับอาหว่างผู้เป็นองครักษ์สตรีอายุยี่สิบปีวรยุทธ์ขั้นสี่แน่นอนว่าหายห่วง “เฮ่อออ” ถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“พี่เป็นอะไรรึ?” อาเฟิ่งถาม
ผู้ถูกถามส่ายหัวไปมา “แค่หนักใจนิดหน่อย” ทั้งสี่เดินเข้ามาในแนวทิวไผ่ใกล้บ้านพักเจ้าหยางหลงพูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจหรือไม่ที่จะร่วมฝึกยุทธที่นี่”
“ข้าย่อมแน่ใจ”
“หากเวลาฝึกยุทธ์ถ้าเจ้าสู้แรงบุรุษไม่ไหวก็ให้แกล้งยอมแพ้เสียเข้าใจหรือไม่?”
“มันเป็นการฝึกวิชา คงมิมีผู้ใดออกแรงหนักหน่วงจนข้าถึงกับตายหรอกกระมังพี่ใหญ่…ที่นี่คือสถานศึกษาหาใช่สนามรบ” อาเฟิ่งโมโห
“ข้าเป็นห่วงเจ้าถึงได้บอกเช่นนี้ ตัวเจ้าเล็กบางกว่าผู้อื่นตั้งหลายเท่าพละกำลังย่อมด้อยกว่าจะมิให้ข้าเตือนได้อย่างไร?”
ลูกศิษย์หลายคนต่างพากันมองกลุ่มเด็กใหม่พูดจาแปลกๆและพากันซุบซิบนินทา
‘พวกเขาคงเป็นกลุ่มบุรุษนิยมตัดแขนเสื้อ/น่ารังเกียจยิ่งนัก’ ฯลฯ ตลอดทางมีเพียงคำพูดเช่นนี้ให้ได้ยินจนถึงกระท่อมไม้ไผ่
“เหตุใดข้าต้องมาพบเจอกับเรื่องอัปยศเช่นนี้เพราะเจ้านะอาเฟิ่ง” เจ้าหยางหลงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ใจจริงตัวเขานั้นอยากจะเดินเข้าไปตบปากผู้ที่กล้าด่าว่าเขาด้วยซ้ำ แต่เพราะตนเองเพิ่งเข้ามาศึกษาหาได้กระทำได้ไม่จึงเก็บความช้ำใจเอาไว้ในอก
“อัปยศเช่นนั้นรึ” อาเฟิ่งทำหน้าฉงน “ถูกเข้าใจผิดกับข้าซึ่งเป็นฝาแฝดของพี่เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องอัปยศเล่า พี่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันหาใช่เรื่องจริงเรามาร่ำเรียนฝึกวิชาถ้าพี่มัวแต่สนใจผู้อื่นจะเสียเวลาขึ้นเขามาทำไมกันเล่า!!” เริ่มโมโหเพียงแค่เรื่องมิเป็นเรื่องหยางหลงจะโกรธทำไมกัน อาเฟิ่งกรุ่นโกรธและเดินหนีเข้าห้องไป
“_” เจ้าหยางหลงหันมองเจ้าอี้หลิง “ข้าคงผิดสินะที่กังวลแค่เรื่องไร้สาระ” เป็นจริงดังเช่นนางพูดตัวเขาหาใช่บุรุษตัดแขนเสื้อแล้วเหตุใดจะต้องไปสนใจคำนินทาของผู้อื่นกัน ความกระจ่างแก่ใจทำให้ส่งเสียง ‘เฮ่ออ’ หยางหลงนะหยางหลง หลังจากนี้เขาจะต้องหัดนิ่งให้ได้สักครึ่งของเจ้าอี้หลิงเสียแล้ว
กระท่อมไม้ไผ่ในยามอิ่ว(17.00)
ก่อกๆๆ “อาเฟิ่ง” ก่อกๆๆ “อาเฟิ่ง” หยางหลงเคาะประตูห้องของน้องสาวเมื่อเขามิเห็นนางออกมานานมากแล้วมิใช่ว่าโกรธเขามากกระมัง “ออกไปรับสำรับที่โรงอาหารกับพี่หรือไม่”
“_” ผู้ถูกเรียกอยู่ในห้องยังคงเงียบ
“วันนี้มีของโปรดของเจ้าบะหมี่เนื้อปลาอย่างไรเล่า”
คนหน้าบากหูผึ่งขึ้นมาทันควัน นางหันมองอาหว่างแล้วเอ่ยออกมาว่า “จริงรึพี่หว่าง”
“จริง”
“เช่นนั้นก็ออกไปกันเถิดข้าจะตักมาสักสามชาม” โรงอาหารของสำนักศึกษานั้นเปิดให้รับสำรับสำหรับนั่งทานที่นั่นได้เฉพาะตอนกลางวัน ส่วนตอนเช้ากับตอนเย็นเหล่าลูกศิษย์จะต้องเดินทางไปรับมาทานที่ห้องพักของตนเองเท่านั้น ท่านเจ้าสำนักกล่าวไว้ว่าเหล่าลูกศิษย์จะได้ช่วยเหลือตนเองบ้าง จากที่ฟังท่านอาจารย์ยี่ปั๋วกล่าวไว้เมื่อเช้านั้นเหล่ารุ่นพี่ที่ร่ำเรียนวรยุทธ์มากกว่าห้าปีขึ้นไปมักจะเข้ามาเบิกพืชผักจากโรงครัวไปจัดทำสำรับเพื่อทานเองแน่นอนว่าอาเฟิ่งได้แต่สั่นหน้า
แกร่ก!! เสียงเปิดประตูห้องเรียกรอยยิ้มจากผู้ที่รออยู่ด้านนอกได้ดีถึงแม้อาเฟิ่งจะยังรู้สึกเคืองโกรธแต่ด้วยความหิวมันมีมากกว่าสิ่งใดแน่นอนว่าหากหยางหลงอยากจะให้นางหายโกรธเขาจะต้องยกบะหมี่มาให้นางหนึ่งชาม
“อาเฟิ่ง” หยางหลงรีบเดินเข้ามาหาน้องสาว “เจ้าอย่าได้เคืองข้าไปเลยข้าเพียงแค่มิทันได้คิด” เจ้าอี้หลิงเหลือบตามองสองพี่น้องคู่นี้ที่มิเคยโกรธกันจริงๆเสียทีอย่างเอือมระอา
“เช่นนั้นหากผู้ใดจะว่ากล่าว ว่าเราเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อพี่ก็จะมิว่าอันใดแล้วใช่หรือไม่”
เจ้าหยางหลงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแต่เพราะไม่อยากทะเลาะกับนางอีกเขาจึงต้องพยักหน้าตกลง “อืม”
“ดียิ่งนัก เช่นนั้นพี่จะต้องไถ่โทษด้วยการยกบะหมี่มาให้ข้าหนึ่งถ้วยตกลงหรือไม่?”
“อืม” ทำหน้าเบื่อๆ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” คนหน้าบากเดินนำทุกคนไปโรงครัว นางกระโดดโลดเต้นไปตลอดทางอย่างไม่กลัวว่าผู้ใดจะมองเช่นไร
จนมาถึงโรงครัว ลูกศิษย์ทุกคนต่างยืนเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ สี่ลูกศิษย์เข้าใหม่ยืนต่อแถวเป็นลำดับที่ห้าสิบห้าแน่นอนว่ารอบข้างต่างซุบซิบกันอีกครั้งเรื่องที่พวกเขาเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ อาเฟิ่งหันมองคู่แฝดของตนด้านหลังที่เริ่มหน้าแดงก่ำเพราะความโมโห เจ้าอี้หลิงและอาหว่างยังคงเป็นปกติ นางสงสารพี่ใหญ่ยิ่งนักดังนั้น...
“ท่านพี่หยางหลงข้าอยากรับบะหมี่หลายๆชาม พี่รู้หรือไม่ข้าอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า หากชายใดกินบะหมี่บ่อยๆ ครั้งละหลายๆชามพอตกกลางคืนจะคึกคักแรงดีสามารถร่วมรักกันได้หลายๆรอบ อ่า..ข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยพี่ต้องออมแรงให้ข้าด้วยเล่า” อาเฟิ่งทำท่าเอียงอาย เจ้าหยางหลงอ้าปากค้าง เจ้าอี้หลิงทำหน้าเฉยครุ่นคิด อาหว่างแอบหัวเราะ แต่รอบข้างพากันหวาดผวา ไม่รู้ว่ากลัวจะคึกคักหรือกลัวจะกลายเป็นชายตัดแขนเสื้อก็มิรู้ได้....สุดท้ายแถวที่ยาวเหยียดเมื่อครู่กลับกลายเป็นโรงอาหารว่างเปล่าภายในหนึ่งจิบชา
“อะไรกันน่ะ หายไปไหนกันหมดเล่า?....มาๆพวกเจ้าสี่คนที่เหลือมาหาป้า” ป้าแม่ครัวร้องเรียกกลุ่มยางหลง “ใครไม่มาต่อแถวก็ไม่ได้กินเช่นนั้นพวกเจ้าก็เอาบะหมี่หม้อนี้กลับไปที่ห้องพักเลย แบกไหวหรือไม่?” หม้อขนาดยี่สิบคนถูกส่งมาเป็นหม้อบะหมี่กับน้ำซุปหม้อใหญ่เจ้าหยางหลงหัวเราะออกมาสียงดังลั่น