ปังๆ!
“เอื้องฟ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ปริญเคาะประตูห้องน้ำรัวๆ หลังเอื้องฟ้าหายเข้าไปนานเกือบสองชั่วโมง เขาเดินกระวนกระวายด้วยกลัวหล่อนจะคิดสั้น ทั้งยังเป็นห่วงสภาพร่างกายของคนตัวเล็กที่ถูกเขารังแกไปหลายยก ครั้งแรกของผู้หญิงนั้นเจ็บมากเขาทราบดี เขาพยายามทะนุถนอมเธอแล้วแต่ต้องโทษเอื้องฟ้านั่นแหละ อยากหอมหวานทำไมล่ะ เพราะเธอน่ารักและใสซื่อจึงถูกเขาจัดหนักจนสลบไสลคาอกแกร่ง
“เอื้องฟ้า ถ้าไม่เปิดฉันจะพังประตูเข้าไปแล้วนะ แล้วคงไม่ต้องให้บอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เปิด!” ชายหนุ่มเสยผมที่ปรกหน้าพลางกัดฟันกรอด คำขู่ของเขาได้ผล ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอย่างไม่ออมแรงนักจากคนด้านใน เอื้องฟ้าที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตของเขาอยู่ในสภาพเปียกปอนยืนจ้องหน้าคนที่ทำลายเธอตาเขม็ง ปริญมองข้ามสายตาแสนพยศคู่นั้นแล้วสำรวจเรือนร่างบอบบาง รอยแดงเถือกไล่มาตั้งแต่ลำคอระหงจนถึงเรียวขาสองข้างทำให้เขาตกใจไม่น้อย
“รอยข่วน” เขาถลกแขนเสื้อขึ้นจนถึงศอก รอยเล็บรอยจิกข่วนเป็นทางยาวเล่นเอาคนตัวโตถึงกับเม้มริมฝีปากหงุดหงิด
“เธอทำร้ายตัวเองทำไม?!”
“ฉันเกลียดสัมผัสของคุณ ฉันอยากลบมันออกไปให้หมด!”
เอื้องฟ้าสะบัดแขนแล้วจิกข่วนไปตามร่างกายของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง หล่อนกรีดร้องพร้อมสะอื้นไห้น่าเวทนา วูบหนึ่งดวงตาคมกล้าอ่อนไหวและอยากกอดปลอบ แต่พอเห็นสายตาที่เธอจ้องมองด้วยความเกลียดชังก็เรียกไฟโทสะให้โหมกระพือขึ้นอีกครั้ง
“เธอเป็นของฉันแล้วเอื้องฟ้า ต่อให้เอาน้ำล้างตัวสักพันครั้งเธอก็หนีความจริงไม่พ้น ทำใจและยอมรับซะ อย่าทำให้ฉันคลั่งแบบนี้อีกถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
ในเมื่อเกลียดกันนักเขาก็จะร้ายให้ถึงที่สุด!
กลับสู่ปัจจุบัน… ร่างบางปล่อยน้ำตารินไหลออกจากหางตาช้าๆ จุดเริ่มต้นระหว่างเธอและเขามีแต่ความเจ็บปวด เธอเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเขาเบื่อก็คงจะปล่อยเธอไปเอง แต่ดูเหมือนวันที่รอคอยจะห่างไกลออกไปทุกที เขาเก็บเธอไว้เป็นนางบำเรอ เป็นของตายที่จะแวะมาระบายความใคร่เมื่อไรก็ได้ เหยียบย่ำหัวใจดวงน้อยให้ตายทั้งเป็น การกระทำของเขาไม่ต่างอะไรกับการเอามีดปลายแหลมคมกรีดจิตวิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งให้ย่อยยับประหนึ่งเศษขยะไร้ค่า
เมื่อไรเขาจะปล่อยเธอไปสักที เมื่อไร…
“เอื้องฟ้า เดี๋ยวบ่ายนี้คุณออกไปพบลูกค้ากับผมนะ”
“ค่ะท่าน”
ภูเบศกล่าวเสียงเรียบหลังจรดปลายปากกาลงบนกระดาษแผ่นบางแต่มีมูลค่ามหาศาลส่งให้เลขาฯ สาวคู่ใจ เอื้องฟ้ารับแฟ้มขนาดกลางมาถือไว้แล้วก้มศีรษะน้อมรับคำบัญชาของท่านประธานหนุ่ม หญิงสาวหมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้องแต่ก็ต้องชะงักเมื่อร่างสูงสง่าของคนที่เธอไม่อยากพบมากที่สุดเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้ารื่นรมย์ เขาปรายตามองเธอราวกับเป็นคนแปลกหน้า เอื้องฟ้ากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนรีบเดินออกจากห้อง
‘อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่าแสดงตัวว่าเป็นอะไรกับฉัน เข้าใจไหม?’
คำพูดของเขาลอยเข้ามาในมโนสำนึก เขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องระหว่างเรา เขาคงอายที่จะให้คนอื่นรู้ว่ามีเธอเป็นนางบำเรอจึงกำชับกฎข้อนี้ให้จำขึ้นใจ ซึ่งมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ แต่ทำไมทุกครั้งที่พบเขาในที่สาธารณะเธอกลับรู้สึกเจ็บปวดกับสายตาเย็นชาคู่นั้น
มันเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจดวงนี้ ความรู้สึกติดลบที่รบกวนสมาธิอยู่ตอนนี้เธอไม่ชอบเลย
“ไงมึง… กว่าจะเสด็จมาได้ ให้กูรอไปเหอะ” ภูเบศทักทายเพื่อนรักพลางควงปากกาเล่นแก้เบื่อ
“มึงเรียกกูมาทำไมวะ?”
ปริญทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเหยียดขาวางพาดกับโต๊ะกระจก เขาหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบแบบไม่เกรงใจเจ้าของห้อง ชายหนุ่มโยนซองบุหรี่ยี่ห้อดังที่นำเข้าจากเมืองนอกส่งให้ท่านประธานหน้าหล่อ
“เอาหน่อย”
“เอาห่าไร กูไม่สูบแล้ว” ภูเบศโยนกลับไปที่ตักเจ้าของดังเดิม ปริญถึงกับหลุดเสียงหัวเราะ
“เมียมึงแพ้ควันบุหรี่สิท่า” เขาเอ่ยแซวก่อนจะส่ายหน้าปรามาส “ไอ้พวกกลัวเมีย หึ!”
“ไม่มีผู้หญิงที่ไหนชอบให้กลิ่นบุหรี่ติดตัวแฟนหรอก เอื้องฟ้าก็เหมือนกัน เธอเกลียดควันบุหรี่” คนที่เงยหน้าพ่นควันขาวขุ่นลอยคลุ้งกลางอากาศหยุดชะงัก เลื่อนสายตาดุดันมองเพื่อนที่นั่งหมุนเก้าอี้ไปมา ภูเบศไม่ยี่หระต่อสิ่งที่เพิ่งพูดไปหยกๆ ผิดกับปริญที่มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมสันกรามขยับขึ้นเป็นนูนกว้าง
“มึงรู้?”
“ไอ้นัย กูเพื่อนมึง” ภูเบศชี้นิ้วที่ขมับอย่างเป็นต่อ “แล้วนั่นก็เลขาฯ ส่วนตัวกู ทำงานกับกูมากี่ปี ถ้าไม่รู้ก็ควายแล้ว” หางเสียงห้วนกระแทกใส่
“คิดว่าฟ้อง รอดตัวไป”
เขาหมายถึงเอื้องฟ้ารอดตัวไป ตอนแรกคิดว่าหล่อนเอาเรื่องที่ถูกเขารังแกมาฟ้องภูเบศ กำลังหมายมั่นว่าจะกลับไปเล่นงานให้หัวหด
“มึงทำบ้าอะไรอยู่วะ กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งๆ ทำไมมึงไม่ฟังกูบ้าง” ภูเบศอารมณ์เสีย เห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของมันก็เริ่มเดือด
“มึงรู้ตอนไหน” ดูเหมือนคำด่าทอของเพื่อนปริญจะไม่สนใจฟัง เขายิงคำถามให้อีกฝ่ายตอบ
“รู้ตอนที่กูแวะไปเอางานที่หอพักของเอื้องฟ้า กูเห็นรอยดูดที่คอ แล้วก็ดวงตากลมโตแดงก่ำ” ภูเบศไม่บอกว่าแท้จริงแล้วเขาตั้งใจไปหาวราลีที่มหาวิทยาลัย ประจวบเหมาะกับหอพักของเอื้องฟ้าอยู่ในละแวกนั้นพอดี เขาจึงโทรศัพท์เรียกให้เธอเอางานลงมาให้
ซึ่งในช่วงเวลานั้นปริญก็อยู่กับเอื้องฟ้าที่ห้อง
“มึงเก่งเนอะ ทำไมถึงรู้ว่าเป็นกู”
รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏบนเรียวปากหยัก ภูเบศต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ขืนมองนานๆ ได้ลุกไปต่อยมันแน่
บทจะกวนส้นเท้าไอนี่ก็ทำได้ดีไม่แพ้ใคร
“เรื่องชั่วๆ แบบนี้จะมีใคร” ตอกกลับด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ แต่ไหงคนฟังกลับเงยหน้าหัวเราะร่วน
“เห้ย! ไอ้นัย มึงสำนึกผิดบ้างไหมเนี่ย กูกำลังด่ามึงอยู่นะ”
เริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เสียแล้ว ภูเบศลุกเดินไปชี้หน้าเพื่อนที่นั่งสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์
ปริญปล่อยมวนบุหรี่ลงพื้นพรมแล้วใช้เท้าเหยียบขยี้จนไฟดับมอด การกระทำเช่นนี้คือต้องการยั่วโทสะภูเบศ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนตบมือลงบนบ่าของเพื่อนรัก
“เอาน่า… กูเล่นสนุกด้วยไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เบื่อแล้ว” น้ำเสียงเหี้ยมโหดแสดงถึงความหยาบช้าของจิตใจ
“ไอ้นัย มึงอย่าล้อเล่นกับความรู้สึกของคน โดยเฉพาะกับผู้หญิง ถ้าวันหนึ่งเอื้องฟ้าทนไม่ไหว คนที่จะเสียใจก็คือมึง”
ภูเบศสะบัดไหล่ออกอย่างแรง
“สรุป… มึงเรียกกูมาเพื่อที่จะพูดเรื่องนี้” เลิ่กคิ้วมองอย่างตั้งคำถาม
“เออ!”
ภูเบศกระแทกเสียงใส่ก่อนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานดังเดิม
“กูขอเตือนเลยไอ้นัย ถ้ามึงไม่รักไม่ชอบก็ปล่อยเขาไป”
บอกตามตรงว่าเขาสงสารเอื้องฟ้า ทุกวันนี้กลายเป็นคนอมทุกข์ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน ก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา บางครั้งก็แอบร้องไห้เพียงลำพัง ปริญคงร้ายกาจกับหญิงสาวมากพอตัวถึงทำให้คนที่เข้มแข็งอย่างเอื้องฟ้ากลายเป็นคนอ่อนแอได้ภายในชั่วพริบตา
“กูจะปล่อยเมื่อถึงเวลา แต่ตอนนี้… ดอกเอื้องฟ้ากำลังหอมหวานเลยว่ะ กูปล่อยไม่ได้จริงๆ”