“ทานข้าวนะ” ปริญประคองคนป่วยนั่งพิงหัวเตียง เขาถอยกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม หยิบถาดรองชามข้าวต้มวางลงบนเตียงข้างๆ หญิงสาว เอื้องฟ้ากลืนน้ำลายเพราะความหิว กะเพาะน้อยๆ ไม่ได้รับอาหารเลยตั้งแต่เมื่อคืน
“มันร้อนค่อยๆ” เขาเป่าความร้อนก่อนจ่อปลายช้อนไปยัง
ริมฝีปากซีดเผือด เอื้องฟ้ายอมทานแต่โดยดี แรงพยศหล่อนไม่มี ต้องกินเพื่อเอาตัวรอดก่อน หลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกที
“ค่อยๆ สิ ระวัง” ปริญรู้สึกโหวงในใจที่เห็นหล่อนรีบกินประหนึ่งหิวโหยมานาน แน่ล่ะ เขายอมรับว่าร้ายกาจพอสมควร กระหน่ำรักใส่เธอไม่ยั้งจนร่างบางแน่นิ่งไป พานคิดเล่นๆ ว่าหากเธอไม่เป็นลมหมดสติไปเสียก่อนเขาจะยอมหยุดไหม?
ในเมื่อตอนนั้นทั้งหึงและหวงจนแทบคลั่ง!
“ข้าวต้มปลาเจ้านี้น่ากลัวจะอร่อยแฮะ กินหมดเลย”
คนตัวโตพูดยิ้มๆ ขณะป้อนคำสุดท้ายให้คนป่วย ไม่เหลือเม็ดข้าวสักเม็ดในชามที่เคยมีข้าวต้มอยู่เกือบเต็ม ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเอื้องฟ้าทานข้าวได้เยอะแบบนี้ หล่อนเป็นประเภทเข้าตำรากินข้าวอย่างกับแมวดม
“ยาลดไข้” วางยาเม็ดโตลงบนฝ่ามือบาง เอื้องฟ้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ทำไม ไม่ชอบกินยา?” เขาเลิ่กคิ้วสงสัย คนป่วยพยักหน้าถี่ๆ
“ไม่ได้นะเอื้องฟ้า เธอป่วยก็ต้องกินยา”
“แต่ฟ้า…” น้ำเสียงแหบแห้งแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“ถ้าไม่กินก็ไปฉีดยาที่โรงพยาบาล”
พอได้ยินคำว่า ‘ฉีดยา’ เท่านั้นแหละ ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที รีบจับเม็ดยาเข้าปากแล้วกลืนน้ำตามลงไปหลายอึกใหญ่ กิริยาเหมือนเด็กน้อยเรียกรอยยิ้มจากปริญได้ดีนักเชียว
“ลืมบอกไป ว่าถ้าไม่อยากไปฉีดยาที่โรงพยาบาล ฉันมีกรณีพิเศษให้นะ” สายตากรุ้มกริ่มพราวระยับ เอื้องฟ้ารู้ทันทีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
“เข็มส่วนตัวของฉันสักหน่อยไหม ถอนพิษไข้”
ไม่วายหอมแก้มนุ่มที่ร้อนระอุไปด้วยพิษไข้ ขนาดป่วยเนื้อตัวยังหอมละมุนจนเขาอยากแทรกกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกหลายๆ ครั้ง เอื้องฟ้าต้องทำเสน่ห์ใส่เขาแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่หลงใหลเธอจน
หัวปรักหัวปรำแบบนี้หรอก
“อย่าค่ะ” คนเข็ดขยาดรีบดันอกกว้าง เผลอจิกเล็บลงบนเนื้อสีน้ำตาลเข้มอย่างลืมตัว พอรู้สึกตัวก็รีบปล่อยมือออกแทบไม่ทัน ดวงตากลมโตหลุบต่ำด้วยกลัวจะถูกดุ ปริญถอนหายใจแล้วเชยปลายคางมนขึ้นสบตา ริมฝีปากหยักแนบจูบลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา สอดเรียวลิ้นเข้าไปทักทายด้านใน ดูดกลืนความหวานล้ำปนรสชาติขมปร่าเพราะฤทธิ์ยาที่เอื้องฟ้าเพิ่งกินเข้าไปยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น ปริญยกมือจับกรอบหน้าเล็กเพื่อตรึงให้เธอรับจูบอ่อนโยนที่สุดตั้งแต่ตกเป็นเบี้ยล่างของเขา สัมผัสอ่อนนุ่มที่ฝังลึกอยู่ขณะนี้ช่างหอมหวานละมุนละไม เอื้องฟ้าหลับตาพริ้มเผยอกลีบปากจูบตอบคนใจร้าย วางฝ่ามือทาบบนอกแกร่ง จิกเล็บระบายความรู้สึกยามถูกริมฝีปากร้ายกาจหยอกเย้าจนแทบเสียสติ ปริญเกี่ยวกระหวัดกอดรัดเป็นเนื้อเดียว เสียงเข้มคำรามในลำคออย่างพึงพอใจ เอื้องฟ้าปล่อยเสียงหวานครางเบาๆ พอน่ารัก
“เอื้องฟ้า” ดวงตาคู่คมฉ่ำวาวขั้นสุด แรงปรารถนาอัดแน่นจนแทบทนไม่ไหว
“คะ?” หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ม่านตาขยายกว้างเมื่อเห็นเขาปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด
“ไม่ได้นะคะ!” หล่อนรีบจับมือหนาแทบไม่ทัน
“อย่าทรมานฉัน” ปริญเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง เขาพรมจูบทั่วใบหน้าหวานราวกับอ้อนขอ “อย่าทำแบบนี้ฟ้า ฉันทนไม่ไหว”
เขายอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว รู้ทั้งรู้ว่าเธอป่วยแต่ก็ยังไม่วาย
“ฟ้ายังเจ็บอยู่ คุณต่างหากที่อย่าทรมานฟ้า” หยาดน้ำตาคลอเจือเสียงสะอื้น แค่เมื่อคืนเขาก็ทำให้เธอถึงกับจับไข้ลุกไม่ไหว หากยอมตามใจเขาอีกร่างกายที่บอบช้ำอยู่แล้วได้แหลกสลายแน่
“คุณเห็นใจฟ้าด้วย ฟ้าเจ็บ” หล่อนซบหน้าสัมผัสก้อนเนื้อที่เต้นรัวระส่ำไม่เป็นจังหวะ ปริญแทบหยุดหายใจให้กับลูกอ้อนแสนออเซาะของร่างบาง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนแสร้งอ้อนเพื่อหวังเอาตัวรอด แต่ทำไมเขากลับชอบและอยากให้เธอเป็นแบบนี้ตลอดไป มุมปากเจ้าเล่ห์กระตุกยิ้ม โอบกอดร่างแน่งน้อยแล้วจรดปลายจมูกลงบนเรือนผมหอมกรุ่นแทน
“งั้นก็นอนซะ” ดันคนป่วยให้ล้มตัวนอนแต่เอื้องฟ้าขัดขืน
“ฟ้า… ฟ้ายังไม่ง่วง ขอฟ้าทำงานได้ไหมคะ”
เธอห่วงงานที่ทำค้างไว้
“นอนซะ เรื่องงานอย่าห่วงไปเลย ฉันโทร. บอกไอ้ภูแล้วว่าเธอป่วย บอกเหตุผลมันไปแล้วด้วยว่าป่วยเพราะอะไร”
เอื้องฟ้าหน้าแดงลามถึงใบหู ยิ่งรู้ว่าเขาบอกสาเหตุการป่วยกับภูเบศอกสาวยิ่งสั่นสะท้าน ไม่รู้จะแบกหน้าไปเจอเจ้านายได้อย่างไรหลังจากนี้
น่าอับอายสิ้นดี
“คุณบอกกับท่านประธานไปแบบนั้นแล้วฟ้าจะ…” กลืนถ้อยคำลงคอแทบไม่ทัน
“ทำไม อายเหรอ?”
“ปะ เปล่าค่ะ”
“ก็ดี” กลับลำทันนะแม่ตัวดี ขืนพูดจาไม่เข้าหูเขาอีกคำเดียวได้โดนถอนพิษไข้ด้วยเข็มแท่งโตแน่
“งั้นก็นอนซะ ถ้าพูดมากฉันจะนาบเธอ”
วาจาห่ามเถื่อนทำเอาพวงแก้มแดงระเรื่อ เอื้องฟ้ารีบหลับตาปี๋เป็นเด็กน้อย เกรงกลัววิธีการลงโทษของเขา ปริญอยากจะงับจมูกโด่งรั้นสักทีแต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้ เกรงใจคนป่วย