บทนำ
“ไอ้แว่น นายมาอยู่หน้าห้องทำงานพ่อฉันได้ยังไง”
เด็กสาวหน้าตาน่ารักสดใส ตะโกนเสียงแหลมใส่เด็กชายไม่คุ้นหน้า ที่มายืนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าห้องทำงานพ่อของเธอ
มารีน สาวน้อยวัยเจ็ดขวบ ลูกสาวเพียงคนเดียวของทะเลและปลาดาวผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ทชื่อดัง เธอไม่เคยเห็นเขามาก่อน แสดงว่าต้องไม่ใช่คนแถวนี้แน่ และด้วยนิสัยแก่นแก้วตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เด็กสาวมัดผมเปียทั้งสองข้าง ยกมือเท้าเอวเอียงใบหน้าจ้องมองเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างไม่วางตา
“เธอเรียกใครไอ้แว่น”
เด็กชายคนดังกล่าวเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียง หันมาจ้องใบหน้าจิ้มลิ้ม พลางเลื่อนมือขยับแว่นตาขึ้นบนสันจมูก
“แล้วตรงนี้มีใครใส่แว่นอีกล่ะถ้าไม่ใช่นาย คิดจะเข้ามาขโมยของใช่ไหม พ่อคะ มีไอ้เด็กที่ไหนไม่รู้มาขโมยของที่บ้านเราค่ะ”
มารีนตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังคุยธุระอยู่ในห้องทำงานเสียงดังลั่น ทำเอาผู้ใหญ่ด้านในทั้งสองคนต่างตกใจ รีบลุกออกจากเก้าอี้ เดินออกมาหาอย่างเร็วพลัน
“ไหนขโมย” ทะเล พ่อของมารีนและเป็นเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้เอ่ยถามลูกสาว
“นี่ไงคะ” เธอชี้ไปที่เด็กชายตรงหน้าอย่างมั่นใจ
“หนูคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ นี่คือลูกชายของลุงเอง” ไต้ฝุ่น หนุ่มนักธุรกิจวัยกลางคน ผู้มีฉายานามว่าเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ที่วันนี้มีธุระสำคัญจะคุยกับพ่อของเด็กสาวเอ่ยอธิบาย
วายุ คือลูกชายของไต้ฝุ่นและนับดาว ปีนี้อายุเจ็ดขวบ ได้ติดตามผู้เป็นพ่อมาคุยธุระเรื่องการร่วมหุ้นสร้างบ้านพักตากอากาศบนเกาะริมทะเล ทว่าตอนคุยงานพ่อได้ให้เขานั่งรออยู่ในห้องรับรองซึ่งอยู่ถัดไปอีกห้อง นั่งกินขนมและดูการ์ตูนจนเวลาหมุนไปกว่าหนึ่งชั่วโมงจึงเกิดอาการเบื่อหน่ายตามประสาเด็ก เลยมาชะเง้อคอแอบมองผ่านกระจกกั้นห้องทำงาน และถูกลูกสาวเจ้าของรีสอร์ตเข้าใจผิด
มารีนยู่ปากออกมาเล็กน้อยจ้องมองวายุราวกับผิดหวังปนกับความรู้สึกผิด เธอคิดเป็นตุเป็นตะว่าเด็กชายคนนี้คือหัวขโมยที่แอบลักลอบเข้ามา พ่อของเธอจึงย่อตัวลงแล้วโอบเอาลูกสาวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงละมุน เพื่อให้เธอเปิดใจรับเพื่อนใหม่
“หนุ่มน้อยคนนี้ชื่อวายุ อายุเท่ากันกับลูก ต่อไปทั้งสองคงได้เจอกันบ่อย ๆ หนูพาเพื่อนลงไปเล่นที่ชายหาดรอพ่อคุยงานได้ไหมคะ แต่ห้ามพากันไปเล่นน้ำเด็ดขาด”
“ก็ได้ค่ะคุณพ่อ”
มารีนขานรับเสียงแผ่ว พร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างน่ารักให้กับผู้เป็นพ่อ ก่อนจะช้อนดวงตากลมโตดุจตุ๊กตาขึ้นมองเด็กชายหน้านิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า หลังจากผละออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่น เด็กสาวก็เดินเข้าไปจับมือของวายุ แล้วพากันลงไปเล่นที่ชายหาด โดยที่มีพี่เลี้ยงของเธอคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ไม่ห่าง
“คุณหนูเล่นอยู่ตรงนี้ห้ามไปไหนนะคะ พี่อบเชยขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงค่ะ”
เสียงของพี่เลี้ยงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่ทว่าลูกของเจ้านายนั้นเป็นคนรู้ความ ถ้ารับปากแล้วก็จะไม่หนีหายไปไหนอย่างแน่นอน
“ค่ะพี่อบเชย”
เด็กทั้งสองนั่งเล่นของเล่นและก่อกองทรายอยู่ด้านหน้ารีสอร์ต ซึ่งอยู่ห่างจากแนวคลื่นซัดสาดพอสมควร
“ฮือ… ฮึก ฮึก”
“วายุ นายเป็นอะไร”
มารีนรีบวิ่งเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนผืนทราย วายุบีบฝ่ามือจับที่เท้าของตนเอาไว้แน่น ซึ่งมีรอยบาดและเลือดออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้วายุได้เดินไปเก็บเปลือกหอยแล้วถูกบาด เนื่องด้วยเขาเป็นคนกลัวเลือด จึงทำให้เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างคนใจเสาะ
“เจ็บแค่นี้ร้องไห้จะเป็นจะตาย ผู้ชายภาษาอะไร มานี่ ฉันช่วยพยุง”
มารีนขมวดคิ้วเป็นปมพลางส่ายหน้าลอบถอนหายใจ แต่ด้วยความมีน้ำใจที่บิดามารดาเฝ้าสอนมาตั้งแต่จำความได้ จึงเลื่อนมือทั้งสองข้างสอดเข้าไปใต้รักแร้ของเด็กหนุ่ม ออกแรงประคองเขาลุกขึ้นยืน พาคนเดินขากะเผลกเข้าไปหย่อนก้นลงม้านั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่พวกเขาเล่นกัน จากนั้นก็ใช้น้ำดื่มสะอาดที่พี่เลี้ยงนำมาด้วยล้างเท้าให้ แล้วเลื่อนมือไปหยิบปลาสเตอร์ปิดแผลที่อยู่ในกระเป๋าสะพายใบเล็กลายการ์ตูนออกมาปิดทับบาดแผลให้คนที่ส่งเสียงสูดน้ำมูก
“เรียบร้อย เลิกร้องไห้ได้แล้ว เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งสิ” เด็กสาวเอ่ยพลางตบไหล่วายุเบา ๆ เพื่อปลอบใจ
“อื้ม ขอบใจนะ”
วายุใช้หลังมือปาดคราบน้ำตา เผยรอยยิ้มให้คนตรงหน้าราวกับได้รับความเข้มแข็งที่อีกคนส่งมอบให้ จากนั้นทั้งสองก็นั่งเล่นกองทรายด้วยกันต่ออย่างสนุกสนาน ในสายตาของพี่เลี้ยงที่ไปเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งเฝ้าจนกระทั่งผู้ใหญ่คุยเรื่องงานกันเสร็จ ไต้ฝุ่นก็ลงมาเรียกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพื่อเดินทางกลับคฤหาสน์หรู
“เรากลับก่อนนะ”
เด็กชายเอ่ยล่ำลาเพื่อนใหม่ที่มีโอกาสเล่นด้วยกันได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
“แล้วนายจะมาที่นี่อีกไหม”
วายุไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร จึงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ แล้วท่านก็เอ่ยตอบแทน
“ลุงจะพาวายุมาที่นี่อีกครั้งในช่วงปิดเทอม”
“ไว้มาเล่นด้วยกันอีกนะวายุ”
เด็กชายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“อะ ฉันให้”
มารีนเปิดกระเป๋าสะพายใบเดิม แล้วหยิบปลาสเตอร์ปิดแผลลายการ์ตูนยื่นออกไปตรงหน้า วายุก็เลื่อนมือออกมารับของชิ้นแรกที่ได้รับจากเพื่อนใหม่ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพ่อของเขาก็จูงมือเดินออกไป
ขณะที่บิดาของเด็กทั้งสองคนตกลงทำธุรกิจร่วมกัน ไต้ฝุ่นก็ได้พาลูกชายและภรรยามาพักผ่อนในช่วงปิดภาคเรียนที่บ้านพักตากอากาศ เด็กทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และเป็นเพื่อนเล่นกันนับตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งถึงวัยใกล้จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
“ไอ้วา มึงสมัครเรียนที่ไหน ส่งใบสมัครมาให้หน่อยสิ กูจะไปเรียนด้วย”
ในช่วงนี้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้ประกาศรับสมัครนักศึกษาใหม่ แต่ทว่าเธออยากเรียนที่เดียวกันกับเพื่อนชาย จึงได้เอ่ยถามผ่านการโทรคุยกัน เนื่องจากวายุเรียนชั้นมัธยมอยู่ที่กรุงเทพฯ และด้วยความสนิทและนิสัยสุดห้าวที่ผิดแปลกไปจากบิดาและดูจะแสบกว่ามารดาตอนยังเป็นวัยรุ่น เวลาพูดคุยกับเพื่อนจึงใช้ภาษาแบบเป็นกันเองเพราะมันดูสนิทกันดี แต่ถ้าคนไม่คุ้นเคยมักจะเรียกแทนว่าเธอหรือนาย
(อืม เดี๋ยวส่งไปให้)
วายุตอบพลางลากเมาส์กดเข้าอีเมล แล้วส่งใบสมัครที่เขาดาวน์โหลดผ่านทางออนไลน์ไปให้มารีนอย่างรวดเร็วทันใจ
แม้จะเรียนคนละจังหวัดและเจอกันแค่ตอนปิดเทอม ทว่าพอโตขึ้นจนมีโทรศัพท์เป็นของตนเอง ทั้งสองก็มักจะโทรหากันเป็นประจำ ทำให้สนิทกันราวกับเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
ไม่รู้ว่าความสนิทนี้เป็นเธอที่คิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า แต่หนึ่งในเหตุผลที่เลือกไปเรียนที่นั่นก็เป็นเพราะวายุ
“ได้ละ ขอบใจ”
หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะกดวางสายในทันทีโดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับ จากนั้นก็พิมพ์ข้อความไปหาเพื่อนสนิทอีกคนที่เรียนโรงเรียนเดียวกับเธอตั้งแต่ชั้นอนุบาล เพื่อชวนสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน ในใจก็แอบหวังว่าผู้เป็นพ่อและแม่จะไม่คัดค้าน เนื่องจากเธอยังไม่ได้บอกว่าจะไปเรียนไกลถึงกรุงเทพฯ