วันนี้วายุเลิกเรียนเร็วจึงได้แวะเข้าไปใช้บริการที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย งานอดิเรกยามว่างของเขานั้นคือการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ผ่านตามานับเล่มไม่ถ้วน
ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้น พิงแผ่นหลังแนบชิดผนังสีขาว ใช้เวลาอยู่ในมุมเงียบเพื่อไล่สายตาอ่านทุกประโยคที่พิมพ์ลงบนกระดาษถนอมสายตา เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง โทรศัพท์ที่ตั้งเสียงสั่นเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงก็มีการแจ้งเตือนบางอย่าง
วายุเลื่อนมือลงไปหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู ชื่อที่ปรากฏให้เห็นก็คือเพื่อนสาวของเขาที่ส่งข้อความเข้ามา
Marine: กูเรียนเสร็จแล้ว มึงล่ะ
Wayu: เสร็จแล้วเหมือนกัน
Marine: รออยู่ที่ลานจอดรถใช่ปะ
Wayu: อยู่ห้องสมุด
Marine: เดี๋ยวกูไปหา
ทางด้านมารีน
เธอส่งข้อความนั้นออกไป ริมฝีปากสวยก็เผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนในสาขาทั้งสองคน
“กลับก่อนนะเว้ย พรุ่งนี้เจอกัน” เธอเอ่ยกับเพื่อนใหม่ที่มีชื่อว่าปอนด์และคูเปอร์
หลังจากผ่านช่วงกิจกรรมรับน้องและเข้าเรียนได้สองสัปดาห์ ก็ทำให้มารีนเริ่มสนิทกับเพื่อนที่เรียนสาขาเดียวกัน ซึ่งดวงของเธอก็ยังหนีไม่พ้นเพื่อนผู้ชาย ไม่ใช่ว่าเข้ากับเพื่อนผู้หญิงยาก เธอสามารถพูดคุยและทำงานกลุ่มได้กับทุกคน แต่เนื่องจากนิสัยห้าว แล้วยังชอบพูดจาห้วนคล้ายกับพี่ชายของแม่เธอ มันเหมาะจะอยู่กับกลุ่มแก๊งผู้ชายเสียมากกว่า และเมื่อสองหนุ่มที่อยู่ในชุดช็อปสีกรมท่าพยักหน้าให้ มารีนก็เดินออกจากตึกคณะเพื่อไปหาวายุที่หอสมุด
อีกด้านของเพื่อนชาย
วายุอ่านแชทของเพื่อนเสร็จ ก็เก็บโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงดังเดิม จากนั้นก็คว้ากระเป๋าเป้มาสะพายไว้บนบ่า เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อทำเรื่องยืมหนังสือเล่มที่ยังอ่านไม่จบ แล้วออกจากหอสมุดเพื่อไปรอมารีนด้านหน้าตึก ทว่าขณะที่กำลังเดินออกจากประตูเปิดปิดอัตโนมัติ ก็มีนักศึกษาสาวสองคนเดินเข้ามาพอดี และหญิงสาวคนหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าจ้องโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็เดินชนเขาอย่างจัง
“ว้าย” คนเดินชนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“เวลาเดินช่วยมองทางด้วย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ
“นายว่าใคร”
หญิงสาวในชุดนักศึกษารัดรูปได้เงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงขณะที่โพล่งคำถามออกไป แต่พอได้เห็นความหล่อเหลาของคนที่ต่อว่าเธออย่างเต็มตา ก็พลันปรับใบหน้าหงิกงอให้กลายเป็นคนอ่อนหวานอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะ คือฉันไม่ได้มองทางเอง นายเจ็บตรงไหนรึเปล่า อุ้ย เสื้อนายเปื้อนลิปสติกอะ เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะ”
เธอชื่อว่าโยเกิร์ต นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ คนในมหาวิทยาลัยต่างรู้จักกันในคราบแม่เสือสาว เพราะเธอมักจะหว่านเสน่ห์ไปทั่ว แม้ว่าจะมีนิสัยเกรี้ยวกราดแถมยังเป็นคุณหนูเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ เพราะที่บ้านเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แต่ทว่าพออยู่ต่อหน้าหนุ่มหล่อโดนใจ เธอก็จะกลายร่างเป็นนางฟ้าผู้แสนอ่อนโยนในทันที
“ไม่ต้อง”
วายุรีบปฏิเสธ ขณะที่โยเกิร์ตถือวิสาสะเลื่อนมือเข้าไปหาเสื้อเชิ้ตสีขาวบริเวณแผงอกของหนุ่มหล่อ ทำท่าจะเช็ดคราบสีแดงที่เกิดจากริมฝีปากของเธอ ทว่าชายหนุ่มกลับขยับตัวก้าวถอยหลัง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณหนูขี้วีนรู้สึกหัวเสียแต่อย่างใด
“หวงตัวซะด้วย ฉันชื่อโยเกิร์ต อยู่ปีหนึ่ง สาขาศิลปะการแสดง แล้วนายล่ะชื่ออะไร เรามาทำความรู้จักกันหน่อยไหม”
ก่อนหน้านี้เธอเห็นเขามาแล้วหนหนึ่ง ในวันที่มหาวิทยาลัยได้มีการจัดกิจกรรมปรับพื้นฐานตอนเปิดภาคเรียนใหม่ ทว่าครั้งนั้นเธอได้เห็นเพียงแค่แวบเดียว กะจะเข้าไปทักทายทำความรู้จัก แต่เนื่องด้วยมีนักศึกษาหลายร้อยคนจึงทำให้ไม่มีโอกาสเข้าไปหาจนกระทั่งวันนี้
โยเกิร์ตรู้สึกถูกตาต้องใจหนุ่มหล่อตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก ผู้ชายคนอื่นที่เธออ่อยเหยื่อไปก็หล่อดี แต่ไม่ได้เรียกสายตาของเธอได้เท่าหนุ่มคนนี้ ที่เห็นกันแค่แวบเดียวก็ทำใจเธอละลาย เฝ้าคิดว่าเมื่อไรจะได้เจอกันอีก
“วายุ เรากลับห้องกันเถอะ”
ขณะที่วายุกำลังจะอ้าปากปฏิเสธว่าไม่ได้อยากรู้จัก แต่แล้วเพื่อนสาวของเขาที่กำลังเดินมาหา แต่ยังอยู่ห่างกันพอสมควร ก็ได้เปล่งเสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงสุภาพขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนเขาที่ไม่ได้ให้ความสนใจคนที่เดินชนอยู่แล้ว จึงรีบเดินหลีกออกไปหาเพื่อนสาวทันที
“นังนั่นมันเป็นใคร”
น้ำเสียงของโยเกิร์ตแข็งกระด้างขึ้นบ่งบอกได้ถึงความไม่พอใจ ที่จู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้เข้ามาขัดจังหวะ แถมผู้หญิงคนนั้นยังดูสนิทกับชายที่เธอกำลังหมายตา
“สนิทกันแบบนี้คงไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอ”
น้ำขิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ ทว่าพอเห็นใบหน้าถมึงทึงกับดวงตาที่แข็งกร้าวของเพื่อนก็ทำให้เธอหน้าจ๋อยลง ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรต่อ
โยเกิร์ตกัดกรามแน่น นอกจากเพื่อนจะพูดจาไม่เข้าหูแล้ว เธอก็เอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วเมื่อกี้เธอได้ยินอย่างชัดเจนว่าเขามีชื่อว่าวายุ เอาไว้ค่อยหาโอกาสตีสนิทกันอีกที
“เมื่อกี้มึงยืนคุยกับใคร”
เพื่อนชายเดินมาถึงตรงจุดที่เธอยืนรออยู่ มารีนก็รีบเอ่ยคำถามที่อยากรู้ออกไปทันที แต่แล้วก็เกิดรู้สึกหน่วงตรงกลางอกเมื่อเห็นรอยลิปสติกสีแดงติดอยู่บนเสื้อนักศึกษาของเขา จึงเงยหน้าจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมภายใต้กรอบของแว่นตา ลอบสังเกตว่าเพื่อนจะหลบสายตาหรือไม่ในขณะที่เอ่ยตอบ
“ไม่รู้จัก แค่บังเอิญเดินชนกัน”
“หึ คงชนแรงน่าดูเนาะ ถึงได้ฝากรอยลิปไว้บนเสื้อของมึงได้”
“รอกลับถึงเพนท์เฮาส์แล้วกูจะถอดซักทันที ว่าแต่เมื่อกี้น้ำเสียงตอนที่มึงตะโกนเรียก ดูแปลกไปนะ”
เขาหันไปถามเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ขณะทั้งสองคนก้าวไปตามทางเดินที่มีหลังคา มุ่งหน้าไปยังลานกว้างที่รถของวายุจอดอยู่
“ฮึ แปลกเหรอ ก็ไม่นี่ กูก็เรียกมึงปกติ หูฝาดไปเองรึเปล่า”
มารีนทำหน้าเฉไฉ ก่อนจะเบือนใบหน้าสวยหันมองไปทางอื่น แล้วหรี่ตาลงคล้ายกับเกือบจะโดนจับได้แล้วว่าเธอตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มขึ้น เพื่อให้ผู้หญิงที่อยู่กับเขาเข้าใจผิด
“เมษาล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“งานมันยังไม่เสร็จน่ะ เดี๋ยวก็คงจะให้เพื่อนไปส่ง หรือไม่ก็เรียกรถแท็กซีกลับเอง”
วายุพยักหน้าอย่างเข้าใจ พอเดินไปถึงรถทั้งสองก็เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่พร้อมกับคาดเข็มขัด ก่อนที่เขาจะขับรถไปส่งมารีนกลับคอนโด แล้วมุ่งหน้ากลับเพนท์เฮาส์ของตนเอง เพื่อที่จะรีบนำเสื้อนักศึกษาไปขจัดคราบที่ได้รับมาอย่างไม่เต็มใจ