ช่วงเวลานี่นี้...ที่โศจิ

902 Words
ทุกวันเสาร์จะเป็นวันหยุดของฉัน ฉันมักจะใช้วันนั้นเป็นวันทำงานเสริม เพื่อหารายได้อีกช่องทาง วันไหนที่ร้านซักรีดมีผ้าเยอะป้าแกก็จะโทรหาฉันล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ส่วนนั้นเป็นงานเสริมรายวันที่ทำให้ฉันพอจะมีค่าน้ำมันและค่ากับข้าว ปริมาณรายได้ขึ้นอยู่ว่าจะไหวแค่ไหน เป็นงานทำได้หลังงานประจำ ส่วนวันหยุดแบบเต็มวันอย่างวันเสาร์ จะใช้มันเป็นวันพักผ่อนหย่อนใจ หรือไม่ก็กลับบ้านไปหาครอบครัว นอกจากว่าวันนั้นฉันจะเครียดมาก จนไม่อยากจะเจอหน้าใคร จึงจะอยู่แต่กับห้องไม่ออกไปไหน เว้นก็แต่ที่ที่ฉันจะไปดูน่าสนใจและคนที่ชวนนั้นสนิทจริงๆ “ช่วงนี้ดูเครียดๆนะ มีอะไรหรือเปล่า” “เรื่องเดิมๆแหละ ช่างมันเถอะ” มหัศจจรย์ตรงที่เพื่อนร่วมโต๊ะมักจะดูออก ทั้งที่บางที ฉันคิดว่าฉันทำดีที่สุดแล้ว อุตส่าห์ยิ้มมุมปาก ทำตาใสปิ๊งประหนึ่งคนมีความสุขที่สุดในโลก แต่แล้ว... “เออ อย่าเครียดมากเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เฮ้อ.. สงสัยคลื่นพลังงานของฉันติดลบซะจนส่งผลให้พลังบวกอย่างนางสัมผัสได้ “ขอบใจนะ เออนี่เบส มีงานให้ฉันทำไหม” “งาน? งานอะไรอีก นี่แกยังจะหางานอีกเหรอ ที่มีอยู่ยังไม่พอช้ะ? ฉันว่าแกหาเวลานอนก่อนไหม ดูขอบตาสิ กูนึกว่าหลุมดำ” “แหม~ ก็ยาวซะ” ฉันเบ้ปาก ไม่พูดถึงเรื่องตึงเครียดอีก เปลี่ยนเป็นบ่นเรื่องอื่นแทน กลัวจะเสียบรรยากาศ “เออ พายุจะแต่งงานแล้วนะ รู้ยัง?” “หึ รู้ได้ไง แกไปส่องมันอะดิ” “เปล่า นางบล็อคฉัน ก็ไม่เข้าใจว่าบล็อคทำไมเหมือนกัน ทั้งที่นางเป็นฝ่ายทิ้งฉันเอง เพื่อนที่ทำงานส่งลงในกลุ่มน่ะ แล้วก็แท็กฉัน รายนั้นยังติดตามกันอยู่” “แล้วไง? อย่าบอกนะว่า..” “เออ ก็นิดนึง..” ดวงตาในตอนนี้เริ่มเลิกลัก เบสเองเหมือนจะรู้ถึงได้เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ “นิดเดียว..จริง” “นิดเดียว? แต่เปลี่ยนผมจากสีดำเป็นสีแดงเนี่ยนะ” และทันทีที่ประโยคแทงใจดำนี้หลุด ฉันถึงกับสะอึก มองหน้านางอยู่อึดใจ ก่อนจะพากันหัวเราะออกมา เราพากันนั่งเอาบรรยากาศอยู่สักพัก จนกระทั่งเวลาจวนสามทุ่ม เพราะพรุ่งนี้ฉันมีงานเช้าถึงต้องชวนกันกลับก่อน “ไปเถอะ ฝนจะตกแล้ว” “เดี๋ยวฉันจ่ายไปก่อน ไว้แกค่อยโอนให้ฉันละกัน” “โอเค” เกลียดรองลงมาจากความเครียดตอนขาดสภาพคล่อง ก็คงเป็นการขาดออกซิเจนในสมองเพราะนอนไม่พอนี่แหละ เสมือนประโยคที่ว่ากลางคืนอย่างห้าว กลางวันอย่างหาว แต่ต่อให้อนามัยแค่ไหน กว่าจะถึงแมนชั่น อาบน้ำอาบท่า ก็ปาเข้าไปเกือบจะห้าทุ่มอยู่ดี พักหลังๆฉันจึงไม่ค่อยออกไปไหน และเลือกที่ปฏิเสธแทน เพราะนอกจากเงินในกระเป๋าจะเจือจางแล้ว การออกกำลังกายก็ขาดหายตามด้วย อ่านมาถึงตรงนี้เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมฉันเป็นคนยังไง ใช่! ฉันเป็นคนประเภท Introvert จะร่าเริงและแสดงตัวตนที่แท้จริงก็ต่อเมื่ออยู่กับคนสนิทเท่านั้น ทำนอง คนนอกคิดว่าใบ้ คนใกล้คิดว่าบ้า พ่อกับแม่ก็จัดเป็นบุคคลไม่ค่อยสนิท เพราะท่านทั้งสองไม่ได้เลี้ยงฉันมา ปู่ย่าต่างหากรับช่วงต่อหลังจากฉันอายุได้ 5 เดือน แต่ฉันก็ไม่ได้ต่อต้าน หรือยกความผิดพลาดของพวกเขาที่ปล่อยให้ฉันเกิดมาบนความไม่พร้อมแล้วผลักภาระให้พ่อแม่ของพวกท่านเป็นข้ออ้างที่จะไม่เลี้ยงดูหรือทดแทนคุณหรอกนะ จะอย่างไรฉันก็โตมาจากเลือดเนื้อพวกท่าน และคนเลี้ยงฉันมาก็สอนฉันมาอย่างดี เพียงแต่ว่าช่วงนี้ คงจะเป็นช่วงราหูทับลัคนาละมั้ง ทุกอย่างรอบตัวจึงดูแย่ไปหมด ฉันขาดสภาพคล่องนับตั้งแต่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโคโรนา ความเครียดในการหาเงินให้พอในละวัน ที่ไม่ใช่แค่การเป็นอยู่ของฉันคนเดียว แต่ของคนทั้งบ้าน สิ่งนั้นสะสมนมนานจนทำให้ฉันเป็นซึมเศร้า หนักถึงขนาดไม่อยากไปทำงาน วันไหนฝนกระหน่ำลงมาระหว่างเดินทาง จะต้องจอดกลางคันเพื่อสวมเสื้อกันฝนถึงกับร้องไห้ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางครั้งฉันแอบน้ำตาในห้องน้ำระหว่างพักกลางวัน เพียงแค่นั่งชักโครกแล้วเผลอไปนึกถึงเรื่องเก่าๆ หนักสุดถึงขั้นหายาแก้แพ้กินในบางคืน เพื่อบังคับตัวเองนอนหลับและหนีจากความโกรธยามคู่รักในตึกทะเลาะกันเสียงดัง ซึ่งผลของมันทำให้ฉันตื่นสายไปทำงานสายตั้งหลายครั้ง หากแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการร้องไห้ อาการเหล่านี้มักจะถูกยับยั้งด้วยการฟูมฟายอยู่เสมอ ถึงขั้นคุดคู้อยู่บนที่นอน ดิ้นรนทุรายตามลำพังอยู่บนเตียง จากนั้นก็ผล็อยหลับ ตื่นขึ้นมาแล้วไปทำงาน ชีวิตเดินเป็นวงกลมอยู่แบบนี้มานานเป็นปีแล้ว จนกระทั่ง.. ....
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD