“ทำไมทิวเงียบจังคะ อยู่ในงานก็เอาแต่เหม่อๆ วีวี่พูดอะไรก็ไม่สนใจเลย นี่วีวี่ชักจะงอนแล้วนะ อุตส่าห์จัดงานต้อนรับการกลับมาของทิวทั้งที แต่ทิวเหมือนไม่ใส่ใจเลย”
สาวสวยหน้างอ แต่เป็นกิริยาที่ดูมีจริตและเย้ายวนใจมากกว่าน่ารังเกียจ
คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของความคิด ทั้งที่มีเรือนร่างเร้าใจเบียดกระแซะอยู่ในอ้อมอกบนโซฟาตัวใหญ่รู้สึกตัว นึกแปลกใจตัวเองไม่น้อยที่เขาคิดถึงเพื่อนมากเกินไปจนลืมเธอ มือที่โอบเอวคอดอยู่ลูบขึ้นลงอย่างเอาใจ
ทั้งสองมาอยู่ด้วยกันตามลำพังที่คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองของภรวี หลังเพื่อนๆ ต่างก็แยกย้ายจากงานเลี้ยงที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งภรวีเหมาทั้งร้านเพื่อต้อนรับการกลับมาหลังจากไปเรียนอเมริกาถึงห้าปีของตติยะจบลง พร้อมกับปริญญาโทสองใบ หนึ่งใบเป็นมาสเตอร์ดีกรีทางด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์ที่เขาเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี ส่วนอีกใบเป็นสายบริหาร ซึ่งชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้ในการบริหารงานของครอบครัวที่มีธุรกิจหลายพันล้าน
“อย่างอนผมเลยนะครับ”
เสียงทุ้มนุ่มที่สาวๆ หลายคนหลงใหลเอ่ยอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะแสร้งทำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
“ก็ผมน้อยใจวีวี่นี่นา เพิ่งกลับมาถึงไม่กี่วัน แทนที่จะได้อยู่กับวีวี่สองต่อสองให้สมกับความคิดถึง กลับมีใครก็ไม่รู้ตั้งเยอะตั้งแยะมาแย่งเวลาส่วนตัวของเราไป”
ภรวีได้ยินก็แย้มยิ้มอย่างเขินอาย ชายตามองเขาพร้อมส่งค้อนเล็กๆ ให้
“ทิวพูดอะไรไม่เห็นน่ารักเลย นั่นเพื่อนๆ วีวี่ทั้งนั้นนะคะ พวกเขาอยากเจอทิว เพราะไม่คิดว่าทิวจะกลับมาอยู่ที่นี่ แม้แต่วีวี่เองยังคิดว่าทิวจะกลับไปช่วยมิสเตอร์เวลเล่ดูแลธุรกิจภาคพื้นยุโรปด้วยซ้ำ”
“ใครจะทำอย่างนั้นล่ะครับ ถ้าจะให้อยู่ที่โน่น ผมต้องขาดใจตายเพราะคิดถึงวีวี่แน่นอนเลย”
“ปากหวาน”
“วีวี่ก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ครับ”
คนพูดยื่นหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้พร้อมกับส่งสายตาเสน่หาแล้วกระซิบเสียงพร่า
“อยากชิมอีกไหม”
“ทิวน่ะ”
เสียงเอ็ดไม่จริงจังตามด้วยมือบางทุบอกเขาเบาๆ
พริบตาเดียวมือใหญ่ที่เคยถือแก้วไวน์ก็เลื่อนมารวบร่างอวบอัดเข้าหาตัว หญิงสาวไม่ปัดป้องแถมยังเบียดอกกว้างแข็งแกร่งอย่างจงใจ ลำแขนกลมสวยโอบขึ้นรอบคอเขา ในขณะที่ริมฝีปากบางสวยราวอิสตรีของชายหนุ่มประกบกับ
ริมฝีปากแดงอย่างดูดดื่ม
ตติยะลืมเรื่องที่คิดอยู่ในหัวเมื่อครู่ไปในทันใด ด้วยดีกรีความร้อนแรงของเพลิงอารมณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะหยุดลงได้ และไม่มีใครอยากจะหยุดมันในตอนนี้
เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงสากลเร้าใจดังขึ้น มือหนาควานหาในที่ที่คิดว่ามันน่าจะอยู่แต่เมื่อไม่มีร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นนั่งหันมองไปรอบๆ จึงนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา และสาเหตุของการมาถึงเตียงนอนเมื่อคืนก็ทำให้โทรศัพท์มือถือของเขาไม่อยู่ที่หัวเตียงเช่นทุกครั้ง หากมันยังอยู่ในกางเกงซึ่งกองอยู่ข้างเตียง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง ตติยะจึงเอื้อมไปหยิบกางเกงแล้วล้วงเข้าไปหยิบมือถือรุ่นบางเฉียบทันสมัยออกมารับหลังจากเหล่มองเบอร์เล็กน้อย
“มีธุระอะไรคุณวิชัย ถึงได้โทรมาแต่เช้าแบบนี้”
แม้ประโยคที่พูดไปจะห้วนและบอกถึงความหงุดหงิด แต่เสียงทุ้มไม่ดังหรือโวยวายใดๆ ติดจะรำคาญซะด้วยซ้ำ
“ไม่เช้าแล้วครับคุณตติยะ สิบเอ็ดโมงกว่าแล้วครับ”
เสียงตอบกลับมาใจเย็น แต่ทำเอาคนฟังหงุดหงิดสุดๆ
กวนใจจริง...ประชดเก่งอีกต่างหาก พ่อตั้งใจเลือกเลขาคนนี้มาให้เขาเพราะพี่แกเก่งเรื่องพูดประชดได้หน้าตายแน่นอนเลย
“วันนี้ผมไม่เข้า...”
ยังพูดไม่ทันจบก็โดนสวนขึ้น
“ไม่เข้าไม่ได้ครับ วันนี้มีเรื่องใหญ่...”
“ใหญ่เท่าสงครามโลกไหม ถ้าไม่ คุณก็จัดการไปเองได้เลย”
ชายหนุ่มบอกอย่างไม่แยแส ในเมื่อวิชัยพูดแทรกได้ ทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้
“คงไม่ถึงขั้นสงครามโลก แต่...”
“จะอะไรก็ช่าง ผมไม่สน ผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ถ้าจะเข้าผมก็จะเข้าไปเอง ไม่ใช่ให้คนมาออกคำสั่ง”
ตติยะบอกอย่างเย็นชาแล้วตัดสายทิ้งทันที ไม่เกรงใจเลขาผู้มีอายุมากกว่าเขา ไม่ใช่ไม่เคารพผู้อาวุโส ทว่าชายหนุ่มเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ตั้งแต่เกิดผู้เป็นแม่ก็ประคบประหงมจึงเอาแต่ใจตัวเองเสมอ เพราะแม่กลัวว่าเขาที่อายุห่างจากน้องชายถึงห้าปี กับน้องสาวคนเล็กที่ห่างกันถึงเก้าปีจะน้อยใจว่าพ่อกับแม่รักน้องมากกว่า ฉะนั้นคนอย่างตติยะอยากได้อะไรก็ต้องได้ หากว่าไม่อยากได้อะไร สิ่งนั้นก็ต้องไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตา ส่วนพ่อนั้นไม่ต้องสงสัย แม่บอกอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น นอกเสียจากว่าจะแอบจัดการลับหลังอย่างเช่น เรื่องเลือกเลขาอย่างวิชัย
ชายหนุ่มคิดอย่างเซ็งๆ ที่ไม่ว่ายังไงเขาก็หนีออกจากใต้ปีกพ่อไม่พ้น และเวลานี้เขายังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นเพราะง่วงงุนเกินกว่าจะใส่ใจ แต่ยังไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนต่อก็มีเสียงเรียกเข้าอีกครั้ง จนต้องสบถอย่างหงุดหงิดกับตัวเอง ก่อนจะรีบรับเพราะไม่อยากให้มันดังรบกวนคนข้างๆ
“อะไรเรฟ”
คราวนี้เขาเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษหลังจากมองเบอร์ที่โชว์หราขึ้นมา
“คุณทิวช่วยเปิดทีวีดูช่อง...หน่อยได้ไหมครับ”
เสียงภาษาอังกฤษที่แปร่งสำเนียงเยอรมนีดังมาตามสาย
นี่ก็อีกคน อุตส่าห์คิดว่ากลับมาเมืองไทยแล้วจะไม่โดนตามเป็นพรวน แต่ที่ไหนได้ กลับถูกส่งมาประกบแบบตัวต่อตัวซะอีก
“อะไรกันอีกล่ะ”
ใบหน้าคมสันของหนุ่มลูกเสี้ยวไทยงอหงิก ทั้งเลขาทั้งเรฟลูกผู้พี่ ช่างน่ารำคาญอย่างบอกไม่ถูก แถมเวลานี้ดูเหมือนภรวีจะตื่นแล้ว เพราะเธอคว้าเอวเขาพร้อมกับเบียดหน้าอกอวบเข้ามาเสียดสี จนเขาแทบอยากโยนโทรศัพท์ทิ้งไปทำอย่างอื่นแทน
“เปิดดูก่อนเถอะครับคุณทิว”
แม้จะหงุดหงิดใจเพียงใดแต่ก็หยิบรีโมตที่โต๊ะตั้งโคมไฟใกล้ๆ มากดชี้ไปยังโทรทัศน์เพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ตั้งใจว่าจะหันไปมอร์นิ่งคิสกับสาวสวยที่กำลังลูบไล้แผงอกเขาอยู่ เพราะหวังว่าเรฟจะได้ยินเสียงแล้ววางสายไปเองหากไม่หน้าทนจนเกินไปนัก แต่เสียงผู้ประกาศข่าวที่แว่วเข้าหูก่อนริมฝีปากบางสวยเกินหญิงจะแตะลงบนริมฝีปากอวบอิ่มทำให้เขาเด้งตัวขึ้นหันมองทันควัน
“เกิดอะไรขึ้นคะทิว”
ภรวีผวาลุกตามขึ้นมาโอบคอเขาแบบเนื้อแนบเนื้อ แต่ขณะนี้อารมณ์ของตติยะไม่อยู่ในโหมดวาบหวามอีกแล้ว ด้วยมีปัญหาที่ใหญ่มาก ซึ่งกำลังปรากฏอยู่ในภาพและเสียงของข่าว แม้ไม่ใหญ่เท่าสงครามโลกอย่างที่เขาประชดวิชัย แต่มันก็เรียกว่าเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะจะทำให้เขาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเยอรมนี และแน่นอน...ตติยะยังไม่อยากคุยกับพ่อในเร็วๆ นี้เลย
ให้ตาย มันเรื่องบ้าอะไรกัน เขาเพิ่งมาถึงเมืองไทยได้อาทิตย์เดียวก็เกิดเรื่องให้ปวดหัวแล้วเหรอเนี่ย
เสียงสบถเป็นภาษาอังกฤษดังลอดออกมาจากริมฝีปากสวยของ
ชายหนุ่มอย่างอดไม่อยู่ เพราะปกติตติยะไม่นิยมแสดงอาการไม่สุภาพต่อหน้าหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยกับคนที่ยังถือสายรอการตัดสินใจของเขาอยู่
“โอเคเรฟ โทรบอกคุณวิชัยด้วยว่าอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึง เตรียมเรียกคนที่เกี่ยวข้องทุกคนเข้าประชุมด่วน”
พูดจบก็วางสายแบบไม่รอเสียงตอบรับ แล้วหันมาหาร่างอวบอัดที่เบียดอยู่ด้านหลังของเขา
“ผมต้องรีบไปจัดการปัญหาก่อน วีวี่นอนต่อเถอะนะ”
จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นอวดหุ่นเปล่าเปลือยที่มีมัดกล้ามสมชายชาตรี คว้าเสื้อผ้าแต่ละชิ้นของตัวเองที่อยู่คนละทิศละทางเดินเร็วๆ ไปยังห้องน้ำ สักพักก็ออกมาและจากไปโดยไม่หันมาสนใจคนที่เขากกกอดอยู่บนเตียงทั้งคืนอีกเลย
เสียงทุบโต๊ะดังชนิดที่หากโต๊ะกระจกอย่างหนานี้ไม่เจ็บ คนทุบเองนั่นแหละที่จะเจ็บ ทว่าสีหน้าและอากัปกิริยาของชายหนุ่มลูกผสมซึ่งนั่งอยู่กลางโต๊ะไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นอกเหนือจากคำว่า โมโหสุดขีด
คิ้วเข้มสีน้ำตาลขมวดมุ่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบทองฉายแววถมึงทึง ริมฝีปากแดงสีสดเม้มจนบางเฉียบ ใบหน้าขาวเนียนราวผิวเด็กเริ่มแดงเพราะความฉุนเฉียว ทำให้ร่างสูงใหญ่หัวโต๊ะดูแทบจะข่มทุกคนให้ตัวเล็กลงไปในพริบตา
หลังจากได้รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีลูกค้าของโชว์รูมรถแห่งหนึ่ง มีปัญหาเรื่องรถไม่ได้มาตรฐานจนถึงขั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แถมยังออกทีวีทุกช่องเป็นข่าวใหญ่โตและกำลังจะทำเรื่องฟ้องร้องอีกด้วย ตติยะก็เข้าสู่โหมดนี้ทันที
“หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าอะไหล่ของเรามีปัญหาน่ะ หา!”
“เราตรวจสอบพร้อมๆ กับช่างที่ทางทนายของเขาพามาแล้วครับ ผลก็คือ อะไหล่ของเราไม่ได้มาตรฐานจริงๆ”
“รถใหม่ป้ายแดงเนี่ยนะ”
ตติยะเค้นเสียงถามวิชัยอย่างพยายามสะกดอารมณ์
“ครับ”
เพียงเท่านั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของตติยะก็เบนไปทางผู้จัดการฝ่ายนำเข้าและเจ้าของโชว์รูมรถที่มีปัญหาทันที
“ผมขอคำอธิบาย”
“รถคันนั้นไม่ใช่รถนำเข้าครับคุณตติยะ แต่เป็นรถที่เรานำมาประกอบในไทย เอ่อ...คิดว่าช่วงที่ประกอบคงเกิดความผิดพลาด...”
ผู้จัดการฝ่ายนำเข้าบอกแล้วหลุบตาหลบดวงตาสีอ่อนวาววับที่จ้องราวกับกำลังจะแผดเผา ส่วนเจ้าของโชว์รูมได้แต่หน้าซีดพูดอะไรไม่ออก ตติยะจึงเมินหน้าจากคนทั้งสองมาทางเลขา
“อาเมฆรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“คุณเมฆาทราบเรื่องแล้วครับ แต่ตอนนี้คุณเมฆาไปงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของเราที่ฮ่องกงครับ และคุณเมฆาบอกว่าให้คุณตัดสินใจได้เลยครับ”
ชายหนุ่มฟังแล้วอยากกลอกตา แต่ก็ไม่อยากให้หมดความน่าเชื่อถือ เมื่อเขากำลังอยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา รู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกลอยแพ เพราะเมฆาผู้ที่เคยอยู่ในฐานะของประธานกรรมการในภูมิภาคนี้มาก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาเนื่องจากเขามาทำหน้าที่นี้แล้ว ไม่อยู่ให้คำปรึกษาตามตำแหน่งใหม่ แต่อย่าคิดว่าคนอย่างตติยะจะหมดทางออก
“ผมไม่สนว่าทำไมมันถึงเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ แต่ผมจะถือว่าทุกคนและทุกฝ่ายมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วยกัน หวังว่าพวกคุณคงเข้าใจ”
เขาพูดแล้วมองไปรอบโต๊ะก่อนจะหันกลับมาที่วิชัย
“เดี๋ยวคุณวิชัยจะคุยเรื่องที่เกิดความผิดพลาดกับพวกคุณอีกครั้ง หลังจากเราแก้ปัญหาเรื่องที่กำลังจะโดนฟ้องศาลเสร็จ”
ทุกคนในนั้นหน้าเสียไปตามๆ กัน เพราะไม่รู้ว่าจะโดนมาตรการลงโทษแบบใดจากเจ้านายคนใหม่ ซึ่งตติยะเพิ่งเข้ามาดูแลบริหารงานในส่วนของภาคพื้นทวีปเอเชียกับออสเตรเลียได้ยังไม่เต็มอาทิตย์ดี ด้วยชายหนุ่มอยู่ในฐานะทายาทเจ้าของ ‘เวลเลโอ’ แบรนด์รถสัญชาติเยอรมันประสิทธิภาพสูงที่มีใช้กันเป็นที่แพร่หลายทั่วโลก
เวลเลโอผลิตจำหน่ายทั้งรถขับขี่บนท้องถนนและรถแข่งในสนาม มูลค่านั้นไม่ต้องพูดถึง หากไม่มีเงินล้านขึ้นไปอยู่ในกระเป๋าไม่มีทางซื้อได้อย่างแน่นอน โดยเจ้าของเป็นชาวเยอรมนีตระกูลเวลเล่ที่มีเชื้อสายอิตาเลียนนั่นคือ เจอเซ่ โรมิโอ เวลเล่ ซึ่งเป็นคุณปู่ของตติยะ
ชายหนุ่มเป็นหลานชายคนโตและคนโปรดของปู่ มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ฐิติกร หรือ ทิม และมีน้องคนสุดท้องเป็นหญิงสาวคือ รติยา หรือที่คนในครอบครัวมักจะเรียกกันว่า แยม ทั้งสองยังเรียนอยู่ โดยฐิติกรนั้นเรียนปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อังกฤษ ส่วนรติยายังอยู่ไฮสคูลปีสุดท้ายที่อิตาลี
ด้วยความที่เป็นทายาทคนโต มิสเตอร์ เจอเซ่ จูเนียร์ เวลเล่ พ่อของตติยะจึงค่อนข้างเคี่ยวเข็นและเข้มงวดกับเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจบังคับให้เขาไปอยู่ที่ต่างประเทศได้ นอกจากตอนไปเรียนต่อปริญญาโทเท่านั้น ทว่าชายหนุ่มกลับไปเรียนที่อเมริกา ไม่ได้ไปอังกฤษบ้านของคุณตาซึ่งย้ายไปอยู่ที่นั่นเมื่อคุณยายเอมอรเสียชีวิตลงในเมืองไทย หรือเยอรมนีที่มีพ่อและแม่ของตนอยู่ หรือกระทั่งที่อิตาลีบ้านพักของปู่กับย่าก็ตาม
ตติยะชอบเมืองไทยซึ่งเป็นบ้านแท้ๆ ของยายตั้งแต่เกิด สมัยเด็กเขาเคยไปเรียนเมืองนอกเพราะทุกคนในบ้านย้ายไปอยู่ที่โน่นหมดเมื่อปู่เริ่มอายุมากขึ้น และพ่อของเขาต้องไปดูแลทุกอย่างเต็มตัวที่สาขาใหญ่พร้อมๆ กับที่คุณยายเสียชีวิตลง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ชอบจึงกลับมาเรียนที่เมืองไทยตอนเข้าม.ปลาย
นั่นทำให้หนุ่มลูกผสม อิตาลี เยอรมนี อังกฤษ และไทย กลายเป็นคนเดียวในตระกูลเวลเล่ที่ติดประเทศไทยมากที่สุด และยังเป็นหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆ ทั่วโลกที่ให้โอกาสสาวๆ ในไทยได้ใกล้ชิดมากที่สุดอีกด้วย
“เรานัดคุยกับทนายฝ่ายโน้นหรือยัง”
ตติยะถามวิชัยต่อ
“เรียบร้อยแล้วครับ พรุ่งนี้เราจะลองตกลงกับเขาก่อน ถ้าตกลงกันได้ อะไรหลายๆ อย่างก็คงจะง่ายขึ้น”
“พรุ่งนี้กี่โมง”
“แปดโมงเช้าครับ คุณตติยะจะเข้าด้วยหรือเปล่าครับ”
“อาจจะ”
ริมฝีปากบางตอบแล้วแย้มยิ้มนิดๆ ให้ทั้งโต๊ะรู้สึกหลอนไปตามๆ กัน การพูดเป็นนัยบอกให้รู้ว่า เขาสนใจที่จะเข้าร่วมฟังการตกลงอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ยอมบอกว่าจะมาหรือไม่นั้น ก็เท่ากับว่าเขาอาจโผล่มาอย่างไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา ฉะนั้นทุกคนจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้คู่กรณีพอใจให้ได้ ก่อนที่เรื่องจะถึงศาล หากใครพลาดให้รู้หรือเห็นล่ะก็...เสร็จแน่
“เอาล่ะ...ไม่มีอะไรแล้ว เอาเป็นว่าผมขอข้อเสนอดีๆ ที่จะคุยกับคู่กรณีจากทุกฝ่าย ส่งให้คุณวิชัยเย็นนี้ แล้วก็ขอให้อย่ามีครั้งหน้า ถ้ามี จะไม่มีการแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น”
ทิ้งระเบิดไว้เรียบร้อย จากนั้นตติยะก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่มองหน้าใคร เรฟที่นั่งเงียบตลอดการประชุมลุกตาม ขณะที่วิชัยเลขาวัยสามสิบห้าค่อยๆ เก็บแฟ้มแต่ละแฟ้มอย่างใจเย็น ส่วนคนอื่นๆ นั้นต่างก็รีบแยกย้ายกันไปทำงานของตนอย่างรวดเร็ว
======