ผมกลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะมัวแต่นั่งเหม่อบนรถเมล์จนเลยป้ายที่ต้องลง เลยเสียเวลานั่งย้อนกลับมากว่าจะถึงบ้านก็เกือบสามทุ่มแล้ว พอเปิดประตูเข้าบ้านไป พี่ไม้ที่เหมือนรอผมมาทั้งวันก็เด้งตัวจากโซฟาตรงมาหาผมทันที
“ชา ไปไหนมา พี่โทรหาตั้งหลายรอบทำไมไม่รับ แล้วทำไมเปียกฝนแบบนี้ล่ะ” พี่ถามเสียงดุ ผมเงยหน้ามองพี่ไม้เงียบๆหลายนาทีกว่าจะรู้สึกตัวว่าควรพูดอะไร
“...ขอโทษครับ ชาลืมเปิดเสียงโทรศัพท์” ผมบอกเบาๆแล้วเดินหลบพี่ไม้เพื่อเข้าบ้าน แต่พี่ไม้คว้าแขนผมไว้แล้วออกแรงดึงเบาๆ
“เป็นอะไร”
“…”
“ชา พี่ถามว่าเป็นอะไร”
“…” ผมก้มหน้าไม่ยอมสบตากับพี่ไม้และไม่ยอมปริปากพูดว่าเป็นอะไร จะให้บอกว่าอกหักจากเพื่อนสนิทพี่รอบที่ 4 คงไม่เหมาะเท่าไหร่ในตอนนี้
“จิ๋ว มองหน้าพี่ครับ” พี่ไม้ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแล้วประคองใบหน้าผมให้เงยขึ้นช้าๆ เพราะพี่ไม้เห็นผมตั้งแต่เกิดและเราสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไรตามประสาพี่น้อง ทำให้พี่ไม้มองออกทุกครั้งที่ผมมีปัญหาหรือเรื่องไม่สบายใจและรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ผมพูดออกมา พอได้สัมผัสอบอุ่นจากพี่ชายตัวเองทำให้ความรู้สึกแย่ๆที่พยายามสลัดทิ้งไปกลับมาจู่โจมอีกครั้ง ผมรู้สึกร้อนที่ขอบตาทันทีที่เห็นสายตาห่วงใยของพี่ไม้ ใจผมอยากจะพูดทุกอย่างที่รู้สึกออกมาให้พี่ไม้ฟังจนหมด แต่ริมฝีปากกลับไม่ขยับ สมองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อตัดสินใจว่าผมควรทำอย่างไรในสถานการณ์นี้
“ไม่ต้องร้อง เป็นอะไรครับ ไหนบอกพี่ซิ ใครทำอะไรจิ๋วน้องพี่ครับ”
“...ฮึก....” ผมเริ่มสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่ ไม่รู้เลยว่าควรพูดหรือทำอะไรในตอนนี้
“อย่าร้องไห้สิ ทำไม ไอ้เธนส์มันแกล้งอะไรจิ๋วหรือเปล่า”
“..ฮือออออออ...ฮึก...ฮือออ” พอได้ยินชื่อพี่เธนส์ก็เหมือนความเข้มแข็งทั้งหมดที่ผมพยายามสร้างพังครืนลงมาในพริบตา ผมปล่อยโฮร้องไห้อย่างหนักจนพี่ไม้ต้องกอดผมหลวมๆแล้วกดศีรษะผมให้ซบกับอกแกร่งของเขา
“โอ๋ๆ จิ๋วอย่าร้องไห้เลยนะ พี่ยักษ์อยู่กับจิ๋วตรงนี้แล้วไง” พี่ไม้ลูบผมเบาๆพลางโยกตัวไปมา มันเป็นวิธีที่พี่ไม้ใช้ปลอบผมตั้งแต่ตอนเด็กๆ เวลาที่ผมร้องไห้โยเยจะเอานั่นเอานี่ เวลาที่เสียใจหรือผิดหวัง พี่ไม้อยู่กับผมเสมอไม่ว่าเวลาไหน
“ฮือออ...” ผมร้องไห้จนรู้สึกเหนื่อย รู้ตัวอีกทีเสื้อของพี่ไม้ก็เปียกทั้งน้ำตาและน้ำมูกของผมเต็มไปหมด ผมสูดจมูกแรงๆแล้วยกหลังมือเช็ดน้ำตา รู้สึกเหมือนตาบวมจนจะปิดเพราะร้องไห้ติดๆกันถึง 2 รอบ
“...ชาแค่เหนื่อย ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมโกหกเพราะยังไม่พร้อมอธิบายอะไรกับพี่ไม้หรือคนอื่นๆในตอนนี้ อยากจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าควรพูดความลับนี้หรือไม่
“อยากเล่าอะไรให้พี่ฟังมั้ย”
“....”
“จิ๋ว...”
“…ไม่ครับ” ผมส่ายหน้าช้าๆ พี่ไม้จึงแค่ถอนใจเบาๆ
“ไปอาบน้ำแล้วนอนได้แล้ว อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่นก็ได้ ถ้าเหนื่อยก็พักเถอะ”
“ครับ...” ผมพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินหลบขึ้นไปชั้นสอง เพราะเอาแต่ก้มหน้าเลยไม่ทันได้เห็นสายตาห่วงใยของพี่ไม้ที่มองมา
เช้า
เพราะเมื่อวานตากฝนตอนเดินเข้าซอยเพื่อกลับบ้าน บวกกับอาการนอนไม่หลับที่เป็นทุกครั้งที่มีเรื่องไม่สบายใจ ทำให้เช้านี้ผมตื่นมาด้วยอาการของพิษไข้แบบเต็มสูบ ทั้งเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก ขอบตาร้อนเพราะพิษไข้แถมยังปวดหัวตุบๆเหมือนมีคนเอาค้อนทุบตลอดเวลา ผมค่อยๆยันตัวลุกออกจากที่นอนแล้วเดินโซเซลงมาที่ชั้นล่าง เดินเลี้ยวเข้าครัวเพื่อหาน้ำอุ่นกินเพราะรู้สึกเจ็บคอมาก พอเข้ามาในครัวก็เห็นพี่ไม้ยืนคนหม้อข้าวต้มอยู่หน้าเตาแถมใส่ผ้ากันเปื้อนที่ดูไม่เข้ากับร่างกายใหญ่โตนั่นเลยสักนิด กลิ่นข้าวต้มทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้
“พี่ไม้” ผมเรียกชื่อพี่ไม้ด้วยเสียงแหบแห้ง นั่นทำให้ผมเริ่มตระหนักได้ว่าตอนนี้ผมป่วยหนักแค่ไหน
“อ้าวชา ตื่นแล้วเหรอ หน้าแดงเชียว ไข้ล่ะสิเรา” พี่ไม้วางทัพพีแล้วเดินเข้ามาหา ผมเบือนหน้าหหนีเพราะกลิ่นข้าวต้มที่ติดมากับเสื้อพี่ไม้ทำให้ผมคลื่นไส้มากกว่าเดิม
“ชาเหม็นข้าวต้ม...” ผมบอกเบาๆพร้อมยกมือปิดจมูก พี่ไม้จึงเดินกลับไปปิดฝาหม้อข้าวต้ม ถอดเสื้อกันเปื้อนออกแล้วพาผมไปนั่งที่โซฟา พอผมนั่งลงพี่ไม้ก็นั่งลงข้างๆผมแล้วยกมือมาแตะหน้าผากเบาๆ
“พี่ว่าแล้วเชียวว่าชาต้องป่วย ชาโดนฝนได้ที่ไหน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก” ผมจ้องหน้าพี่ไม้เงียบๆ รู้สึกขอบคุณที่ฟ้าส่งผมมาเกิดเป็นน้องพี่ไม้ และรู้สึกขอบคุณที่พี่ไม้อยู่บ้านในวันนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องลากสังขารไปหาหมอด้วยตัวเอง
“ชาเจ็บคอ” ผมพูดแล้วซุกหน้าลงกับอกกว้างของพี่ไม้
“เดี๋ยวพี่ไปตักข้าวต้มให้กิน จะได้กินยา”
“ไม่เอา ชาเหม็น” ผมส่ายหัวดุกดิกทั้งๆที่ยังซุกหน้ากับอกพี่ไม้อยู่
“แล้วจะกินอะไร เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อให้”
“ชาไม่หิว”
“ชา ถ้าไม่กินจะไม่หายนะ เราเรียนสายสุขภาพนะ อย่ามัวแต่ดูแลคนอื่นสิ ดูแลตัวเองหน่อย ป่วยก็ต้องกินข้าวกินยา เข้าใจมั้ย” พี่ไม้บ่นยาวแล้วพยายามแงะหน้าผมออกจากอกตัวเอง ผมมองหน้าพี่ไม้แล้วถอนใจเบาๆ
“ชาอยากกินน้ำขิงร้อนๆ”
“โอเค รอแป๊บเดียว เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้” พี่ไม้พูดแล้วผละออกไปหยิบกุญแจรถ ผมขดตัวนอนที่โซฟาเพื่อรอพี่ไม้ พออยู่คนเดียวแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงพี่เธนส์ขึ้นมา ยิ่งนึกถึงสายตาอ่อนโยนของพี่เธนส์เมื่อวานยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
“อกหักอีกแล้วไอ้ชาเอ๊ย คนเดิมทุกครั้งด้วย” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะหลับตาลงช้าๆและหลับไปอีกครั้ง มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงประตูบ้านเปิดเข้ามา ผมผงกหัวขึ้นดูและเห็นพี่ไม้เดินถือถุงน้ำขิงเข้ามา ตามมาด้วยพี่เธนส์และพี่เนเน่ที่ผมเพิ่งเจอเมื่อวาน
“ชา เป็นไงบ้าง” พี่เธนส์เดินตรงเข้ามาหาผมและยกมือแตะหน้าผากผมเบาๆ ผมสะบัดหน้าหนีด้วยความตกใจ ทำให้พี่เธนส์ชะงักไป
“พี่เธนส์อย่าเข้ามาใกล้ชาเลยครับ เดี๋ยวจะติดหวัด” ผมพูดเบาๆโดยไม่สบตาพี่เธนส์และพี่เนเน่ เพราะไม่อยากเผลอร้องไห้ต่อหน้าทั้งสองคน ถึงผมจะรักพี่เธนส์แต่ก็ไม่ควรเอาความรู้สึกเสียใจของตัวเองไปบั่นทอนความสัมพันธ์ของใคร ที่สำคัญผมไม่รู้จะโกหกพี่เธนส์ยังไงถ้าเผลอร้องไห้ออกมาจริงๆ
“พี่ไม่ติดง่ายๆหรอก เรานั่นแหละ ไปทำยังไงถึงป่วยแบบนี้ หน้าแดงหมดแล้ว”
“ก็ดันตากฝนเข้าบ้านมาน่ะสิ ชาไม่ถูกกับฝนมาตั้งแต่เด็กแล้ว” พี่ไม้โผล่มาพร้อมวางแก้วน้ำขิงและโจ๊กร้อนให้
“ไม่เจอกันนานเลยนะเน่ เป็นไงบ้าง” พี่ไม้ทักพี่เนเน่อย่างสนิทสนมทำให้ผมเงยหน้ามองทุกคนด้วยความสงสัย
“สบายดี ไม้ล่ะ ไม่เจอแค่ปีเดียวดูล่ำขึ้นนะ” พี่เนเน่ตอบกลับยิ้มๆ แล้วหันมาสนใจผม
“ชาเป็นไงบ้างจ๊ะ อยากได้อะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ... ไม่ครับ แต่...พี่ไม้กับพี่เนเน่รู้จักกันเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ พี่รู้จักไม้ตอนปี 4 เพราะอยู่ชมรมเดียวกัน ไม้เป็นคนแนะนำให้เธนส์มาช่วยวาดรูปให้พี่ตอนพี่ทำโปรเจคจบน่ะจ้ะ” เธอตอบยิ้มๆแล้วแตะแก้มผมเบาๆ
“ไข้จนหน้าแดงไปหมดแล้วนะชา แต่ชาน่ารักมากเลย แก้มนุ่มกว่าผู้หญิงอีกรู้ตัวมั้ยเนี่ย” ผมมองหน้าพี่เนเน่ตรงๆ และเริ่มไม่แปลกใจที่พี่เธนส์ดูจะรักเธอขนาดนี้ เธอสดใสและน่ารักจนผมรู้สึกแพ้อย่างหมดรูปอีกครั้ง
“…ครับ...” ผมตอบเบาๆแล้วลุกจากโซฟาแต่เหมือนจะขยับตัวเร็วไปทำให้ผมหน้ามืดแล้วเซถลาไปข้างหน้า โชคดีที่พี่เธนส์รับไว้ทัน ไม่งั้นคงได้เอาหน้าฟาดโต๊ะแน่ๆ
“ไม้ พาน้องไปหาหมอเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ กินยานนอนพักวันเดียวก็หายแล้ว ชาแค่ขยับตัวเร็วไปหน่อย” ผมค่อยๆถอยหลังเพื่อหลบการประคองของพี่เธนส์ เพราะไม่อยากรู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่านี้แล้ว ยิ่งเห็นสายตาเป็นห่วงของพี่เนเน่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าควรถอยไปอยู่ในที่ของตัวเองสักที
“พี่ไม้ ชาอยากขึ้นห้อง” ผมหันไปบอกพี่ไม้ที่จับไหล่ผมสองข้างเพื่อประคอง พี่ไม้พยักหน้าแล้วพาผมขึ้นชั้นบน
“เธนส์ ฝากยกโจ๊กกับน้ำขิงมาให้ที” พี่ไม้หันไปสั่งพี่เธนส์ก่อนที่พี่เธนส์จะถือชามโจ๊กและน้ำขิงเดินตามขึ้นมา พอถึงห้องพี่ไม้ก็จับผมนั่งกับเตียงแล้วติดแผ่นเจลลดไข้ให้ที่หน้าผาก
“กินข้าวนะชา เดี๋ยวพี่เธนส์ลงไปเอายามหาให้ ถ้าตอนบ่ายยังไม่ดีขึ้นพี่จะพาไปหาหมอ”
“ครับ” ผมพยักหน้าแล้วอ้าปากเพื่อกินข้าวที่พี่ไม้ป้อน ผมลอบมองพี่เธนส์ที่เดินไปที่ประตูห้อง แผ่นหลังกว้างและแข็งแกร่งของพี่เธนส์เหมือนจะห่างไกลกว่าทุกทีที่ผมเคยรู้สึก