บทที่ 1

3350 Words
1            “เฮ้ย! ทุกคนไอ้ดวงใจมันมาเข้าห้องน้ำว่ะ” เสียงตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มนักเรียนชายดังขึ้นทันที เมื่อผู้เป็นเจ้าของชื่ออย่างดวงใจกำลังจะเดินมาเข้าห้องน้ำชายเพื่อทำธุระส่วนตัว ซึ่งเสียงบทสนทนาดังกล่าวก็ทำเอาผู้เป็นเจ้าของชื่อถึงกับชะงักไปทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ดวงใจต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ แต่มันมักจะเป็นทุกครั้งที่ดวงใจเดินมาเข้าห้องน้ำ                มันเป็นความเคยชิน…ที่ดวงใจไม่เคยนึกอยากชินเลยด้วยซ้ำ                และถึงแม้ดวงใจจะรู้ดีว่าถ้าหากเขาเข้าไปแล้วอาจจะต้องเจอกับเสียงโห่แซวด้วยความคึกคะนองปากหรือการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่ารังเกียจเดียดฉันท์กัน แม้ดวงใจจะรู้เรื่องนั้นดี… แต่เพราะมันไม่มีทางเลือกขนาดนั้น นั่นจึงทำให้เขาต้องยอม                สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากโรงเรียนที่ดวงใจกำลังเรียนอยู่นั้นเป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก มีอาคารเรียนเพียงไม่กี่ตึกเท่านั้น นักเรียนมัธยมรวมทั้งหมดก็มีไม่ถึงสองร้อยคนด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้ห้องน้ำในโรงเรียนมีเพียงแค่สองที่เท่านั้น นั่นก็คือของผู้ชายกับของผู้หญิง แบ่งออกเป็นฝั่งละสิบห้อง                แล้วเพราะทั้งโรงเรียนมีห้องน้ำชายเพียงแค่ที่เดียวเท่านั้น ดวงใจจึงไม่เคยหลีกหนีสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ได้เลย…            “ไอ้เติ้ล เมียมึงมาแล้ว”            “หูย วันนี้ทาปากแดงซะด้วย”            “ไปกินลาบเลือดมาเหรอจ๊ะ? น้องสาวววว”            “ไอ้แหลม! มึงรีบขยับออกมาสิ เดี๋ยวก็โดนกะเทยเสียบตูดเสียหรอก ถ้ากูช่วยไม่ทันไม่รู้ด้วยนะ”            “เออว่ะ ๆ กลัว ๆ กลัวโดนกะเทยเสียบตูด!”                เพียงแค่ดวงใจก้าวเท้าเข้าไปในห้องน้ำไม่ถึงสิบก้าว เสียงของกลุ่มนักเรียนชายที่มักจะแอบคุณครูมานั่งสูบบุหรี่ก็ดังขึ้นทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้ดวงใจปรายตามองเล็กน้อยอย่างไม่เป็นมิตร แล้วรีบเดินผ่านเข้าไปห้องน้ำด้านในสุด เพื่อจะทำธุระส่วนตัวของตัวเองทันที                “ดูดิ มันไม่กล้าใช้โถแบบพวกเราเลยว่ะ ฮ่า ๆ”                “กลัวไรวะ น้องดวงใจเองก็มีงูเหมือนกันปะคับ!”                เพราะถ้ายิ่งตอบโต้หรือยิ่งแสดงออกว่ากำลังไม่พอใจก็จะยิ่งทำให้กลุ่มผู้ชายพวกนี้ได้ใจเข้าไปใหญ่ ไหนจะประสบการณ์ที่ดวงใจเคยพบเจอมา มันก็ล้วนสอนให้เขาต้องอดทนเท่านั้น จะโกรธหรือจะโมโหแค่ไหนก็ห้ามแสดงออกเด็ดขาด เพราะถ้าไม่อย่างนั้นสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันอาจจะแย่ลงก็ได้                ซึ่งด้วยเหตุผลนั้น ดวงใจจึงเลือกที่จะอดทนและไม่ตอบโต้กลับไปสักประโยค เพราะเขารู้ดีว่ามันอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีแน่ อีกทั้งเพื่อนของดวงใจเองก็เป็นเด็กผู้หญิงกันทั้งนั้น ฉะนั้นก็คงจะไม่มีทางที่จะสู้กลุ่มผู้ชายฝูงใหญ่นี้ได้แน่                โดยหลังจากที่ดวงใจได้ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เขาก็รีบล้างมือแล้วแสร้งทำเป็นหูทวนลมใส่กลุ่มนักเรียนชายพวกนั้นทันที แล้วรีบพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่เขาไม่ได้ตอบโต้กลับไปสักประโยค                “ใจ ขออุทัยทิพย์หน่อยจ้า”                “อ้าว…ของแกอยู่ไหน” ดวงใจถามเพื่อนทั้งคิ้วขมวด หลังเห็นมือเล็ก ๆ ของทิพย์เพื่อนสนิทยื่นมาตรงหน้า                “ก็หมดแล้วไงเล่า! ฉันยังไม่ได้เข้าเมืองไปซื้อเลย”                “โอ๊ย! เบื่ออออออ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องทาไหม” แม้ปากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ดวงใจก็ยังใจดีหยิบยื่นอุทัยทิพย์ขวดเล็กของตนเองที่มักจะพกมาโรงเรียนด้วยเสมอส่งไปให้เพื่อนอยู่ดี                ซึ่งอุทัยทิพย์ที่ว่าก็เป็นเครื่องประทินโฉมที่ฮิตในหมู่ของนักเรียนหญิงเป็นอย่างมาก เพราะมันมีราคาถูก มีสีแดงถูกใจ แถมยังสามารถใช้งานได้หลายประเภทอีก ไม่ว่าจะเป็นการทาปากทาแก้มก็ได้และถ้าอยากชื่นใจในช่วงบ่ายก็สามารถหยดอุทัยทิพย์ใส่น้ำเปล่าเพื่อดื่มได้                “ฉันขอยืมหวีด้วย” หลังทิพย์ใช้อุทัยทิพย์ของดวงใจเสร็จแล้ว อีกฝ่ายก็ยื่นมือเล็ก ๆ มาขอหวีจากดวงใจต่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาถึงกับมองค้อนเพื่อนสนิททันที                “โอ๊ย! เบื่อ!” พูดจบ ดวงใจก็หยิบหวีเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนส่งไปให้เพื่อน                กระเป๋าของดวงใจ…นอกจากจะมีหนังสือสมุดและเครื่องเขียนตามแบบฉบับของนักเรียนแล้ว ในกระเป๋าของเขาก็ยังมีเครื่องสำอาง เครื่องประทินโฉมเสริมความงามต่าง ๆ อีกด้วย แล้วเพราะกระเป๋านักเรียนของดวงใจมีทุกอย่างที่นักเรียนหญิงต่างต้องการ นั่นจึงทำให้เพื่อนในห้องต่างขนานนามกันว่ากระเป๋าของดวงใจ เป็นดั่งกระเป๋าโดราเอมอนก็ไม่ปาน                “เหลืออีกไม่กี่อาทิตย์เราก็จะจบม.หกแล้วนะ ใจหายว่ะ” หลังจากที่แต่งหน้าทำผมพร้อมที่จะเรียนในช่วงบ่ายแล้ว ทิพย์ก็ส่งของทุกอย่างคืนให้ดวงใจพร้อมกับเอ่ยขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย                “จะมาใจหายไร เราก็เป็นเพื่อนกันตลอดไปปะ ไม่ได้จะเลิกคบกันสักหน่อย…หรือว่าแกคิด?” ดวงใจถามเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ                “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ฉันหมายความว่า…เราจะไม่ได้เจอกันแบบนี้อีกแล้วนะ”                “….”                “เพราะแกก็จะไปเรียนต่อ ส่วนฉันเองก็คงจะไปมีครอบครัวแล้วเข้ากรุงเทพเพื่อไปเป็นสาวโรงงาน เราจะไม่ได้เจอกันแบบนี้อีกแล้ว…แกจะไม่ใจหายจริง ๆ เหรอดวงใจ” ทิพย์เอ่ยถามดวงใจด้วยน้ำเสียงจริงจัง                “…ก็นิดหนึ่ง” เมื่อได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้น ดวงใจก็ยอมรับกลับไปเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนที่เขาจะเริ่มคิดหนักเรื่องการเรียน หลังดวงใจเพิ่งนึกได้ว่าเขายังไม่เคยได้พูดเรื่องนี้กับผู้เป็นแม่เลย                “เออ พูดถึงเรื่องเรียนแล้วนี่แกจะเรียนต่อที่ไหนอะ? ไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังบ้างเลย” ทิพย์ถามต่อ เพราะเธอเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน                “ไม่รู้สิ ฉันยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับแม่เลย” ดวงใจตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจแค่เรื่องความสวยความงาม จนลืมเรื่องการเรียนไปเสียสนิทเลย                “เวรกรรม! ทำไมแกไม่รีบคุยวะ ระวังนะ…ถ้าช้ามาก ๆ เข้าแกจะไม่ได้เรียนต่อเหมือนอย่างที่หวัง” ทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งคำพูดของเธอก็ยิ่งเพิ่มความไม่สบายใจให้กับคนฟังเข้าไปใหญ่                                “แม่…อีกสองอาทิตย์หน้า ใจก็จะจบม.หกจริง ๆ แล้วนะ” ระหว่างที่กำลังช่วยแม่พับผ้าอยู่นั้น ดวงใจก็ทำทีเปรยเรื่องการเรียนขึ้นมา พลางสังเกตท่าทีของผู้เป็นแม่ไปด้วย หลังเขาเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอเลย ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ใกล้จะเข้ามหา’ลัยเต็มทีแล้ว                “ถ้าใกล้เรียนจบแล้วก็ดีสิ จะได้มาช่วยกันทำงานที่ไร่กาแฟ” เธอตอบกลับเสียงนิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะพูดเรื่องการศึกษาต่อของดวงใจด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงใจจะหยุดพับผ้าแล้วเงยหน้าขึ้น เพื่อพูดกับแม่อย่างจริงจัง                “แม่หมายความว่าใจจะไม่ได้เรียนต่อแล้วเหรอ?” ดวงใจถามแม่เสียงแผ่ว พร้อมภาวนาขอให้ตัวเองเข้าใจผิด                “เฮ้อ แม่ก็นึกว่าแกจะเข้าใจอะไร ๆ แล้วเสียอีก”                “….”                “ฟังนะดวงใจ… พ่อกับแม่ไม่ได้มีตังมากมายนะลูก ใจเองก็น่าจะรู้นี่ว่าเข้ามหา’ลัยมันต้องใช้เงินเยอะแค่ไหน” แม่ของดวงใจว่า                “แต่มันมีการกู้ยืมเพื่อการศึกษาไม่ใช่เหรอแม่ เขาเรียกว่าอะไรนะ กยศ. กรอ.? เออ...นั่นแหละ ถ้าเราไม่มีเงินจริง ๆ เราก็ไปขอกู้ก่อนก็ได้นี่แม่ พอใจเรียนจบแล้วก็ค่อยทยอยใช้คืน” ดวงใจพูดประโยคยาวเหยียด หลังเขาพยายามจะบอกกับแม่ว่ามันมีช่องทางที่ช่วยเหลือเรื่องนี้ได้หลายทางอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องหาเงินไปจ่ายค่าเทอมเองอย่างที่เธอเข้าใจด้วยซ้ำ เรียนจบเมื่อไรก็ค่อยทยอยใช้หนี้คืนก็ได้                “แม่รู้ว่ามันกู้ได้ แต่แกเห็นไหมล่ะ? ตัวอย่างมันก็มีให้เห็นอยู่”                “….”                “ไอ้เบิ้มลูกน้าต้อยไปเรียนมหา’ลัยได้ไม่ถึงปีก็ได้เมียท้องโย้กลับมาฝากพ่อแม่แล้ว เรียนก็ยังไม่ทันจบแถมยังเป็นหนี้หัวบานอีก”                “แล้วมันเกี่ยวกับใจตรงไหน? แม่ก็รู้นี่ว่าใจเป็นยังไง ไม่มีทางเอาเมียกลับมาฝากพ่อแม่แน่” ดวงใจแย้งกลับทันควัน แล้วถามแม่ของตัวเองต่อด้วยความไม่เข้าใจ “นี่แม่ไม่เชื่อใจเหรอ?”                “เปล่าสักหน่อย….” แม่รีบปฏิเสธกลับมาเสียงแผ่ว แต่ทว่าดวงตาของเธอกลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่เชื่อใจกัน                “….”                “ถ้างั้นเอาแบบนี้นะดวงใจ ถ้าใจอยากเรียนต่อจริง ๆ แม่ก็จะไม่ขัดขวาง…” คราวนี้คำพูดของแม่ทำเอาดวงใจถึงกับยิ้มได้ในที่สุด                …แต่ก็ได้แค่ครู่หนึ่งเท่านั้น                “พ่อกับแม่จะให้เงินไปก้อนหนึ่ง แล้วถ้าใจอยากเรียนต่อจริง ๆ ก็ต้องไปหาเงินเพิ่มเอง ส่วนจะไปทำงานในเมืองหรือจะทำงานที่ไร่เหมือนอย่างพ่อแม่ก็ได้ แต่ว่าพ่อแม่จะไม่มายุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้ว ตกลงไหม?”                “….”                “ว่ายังไงล่ะ?” แม่ถามต่อ เมื่อเห็นว่าดวงใจนิ่งไป                “ก็ได้…ใจตกลง”                ตอนแรก…ดวงใจก็คิดว่าตนเองคงจะได้เรียนต่อเหมือนอย่างที่ฝันเอาไว้นั่นแหละ ใช้ช่วงเวลาปิดเทอมเก็บหอมรอมริบแป๊บเดียวก็คงจะทัน แต่ทว่าเด็กที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีหมาด ๆ จะหาเงินหลายหมื่นบาทมาจากไหนกันล่ะ?            สุดท้ายเทียนแห่งความหวังที่หวังว่าตัวเองจะได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรีก็โชติช่วงอยู่แค่ครู่หนึ่งเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงหนึ่งเดือนดีด้วยซ้ำ เทียนเล่มนั้นก็ต้องดับวูบไปกลางอากาศ หลังดวงใจไม่สามารถหักห้ามใจของตัวเองได้อีกต่อไป                พ่อแม่ให้เงินดวงใจมาจำนวนห้าพันบาทที่เหลือก็ให้เขาไปหาต่อเอาเอง ซึ่งเงินนั้นก็จะเป็นของดวงใจโดยไร้พันธะ นั่นหมายความว่าเขาสามารถเอาเงินก้อนนี้ไปทำอะไรก็ได้ที่ใจปรารถนา สุดแล้วแต่ความต้องการของเขา ซึ่งถ้าหากดวงใจอยากจะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ ไปซื้อเครื่องสำอางแพง ๆ สักชิ้นหรือจะเอาไว้เป็นทุนการศึกษาต่อก็ได้ พ่อแม่ก็จะไม่บ่นสักคำ เนื่องจากมันเป็นของเขาแล้ว                แต่ก็นั่นแหละ…ดวงใจไม่สามารถห้ามความปรารถนาของตัวเองได้                ตอนแรกดวงใจก็วาดฝันการใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัยไว้เสียดิบดี แต่พอเอาเข้าจริงเขาไม่สามารถรักษาเงินก้อนนี้ไว้ได้เลย ไหนจะการหาเงินหมื่นที่เป็นเรื่องที่ยากสำหรับดวงใจนั่นอีก นั่นจึงทำให้สุดท้ายดวงใจก็ไม่ได้เรียนต่อจริง ๆ                แล้วถ้าหากจะมีใครสักคนที่เป็นคนผิดในเรื่องนี้ ดวงใจก็อาจต้องโทษตัวเองนี่แหละที่ไม่มีความสามารถพอในการเก็บเงิน เขาผิดเองที่ไม่รู้จักการอดทนและเก็บออมอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งปลอบใจตัวเองว่าเรียนจบแค่ชั้นม.หกก็พอแล้ว มันไม่เป็นไรหรอก เพราะลูกคนงานในไร่เขาก็จบแค่เท่านี้เหมือนกัน เพื่อนที่ร่ำเรียนมาด้วยกันก็จบเท่านี้เหมือนกัน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย                ดวงใจพยายามคิดเช่นนั้น เพื่อความสบายใจของตนเอง แม้มันจะน่าเจ็บปวดอยู่ไม่น้อยก็ตาม...                  “ทำไมวันนี้อากาศมันร้อนจังวะ!” เสียงบ่นกระปอดกระแปดของดวงใจดังขึ้นเบา ๆ เมื่อช่วงพักเที่ยงของวันเขากำลังเดินเข้าร่มเพื่อหลบเลี่ยงจากแสงแดด หลังเก็บเมล็ดกาแฟไปได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น                “ดวงใจ…พี่กำลังหาตัวแกอยู่พอดีเลย”                “มีอะไรเหรอพี่แพร?”                “เดี๋ยววันแต่งงานของพี่ แกช่วยมาเป็นช่างแต่งหน้าให้พี่หน่อยได้ไหม?” หลังเดินเข้ามาในร่มแล้ว ขณะที่ดวงใจกำลังนั่งจิบน้ำเย็น ๆ เพื่อแก้กระหายอยู่นั้น พี่แพรคนงานที่อยู่ในไร่เดียวกันก็เดินมาหาเขาเหมือนจะมีเรื่องคุยด้วย ก่อนที่เธอจะเอ่ยขออะไรบางอย่างจากเขา                “อ้าว ทำไมพี่แพรไม่จ้างช่างแต่งหน้าเสียเลยล่ะ?” ดวงใจถามกลับอย่างไม่เข้าใจ                “ที่พี่ไม่อยากจ้างช่างแต่งหน้าก็เพราะพี่อยากประหยัดไง แล้วอีกอย่าง…ใจเองก็มีฝีมือแถมยังแต่งหน้าสวยอีกด้วย ตอนนั้นงานกีฬาสีที่โรงเรียนแกก็เป็นคนแต่งหน้าให้น้อง ๆ ไม่ใช่เหรอ?” พี่แพรว่า                “อ๋อ ถ้าพี่แพรอยากประหยัดก็ได้นะ เดี๋ยวใจแต่งหน้าให้ก็ได้ แต่ว่าพี่แพรต้องไปหาซื้อรองพื้นมาเองนะ เพราะดวงใจไม่เคยใช้ แล้วที่สำคัญ….ห้ามโวยวายทีหลังด้วยเพราะว่าใจไม่ใช่ช่างแต่งหน้ามืออาชีพ” ดวงใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง                เพราะตอนช่วงม.หกเวลาที่ไปโรงเรียน ดวงใจก็มักจะทาแค่แป้งกับอุทัยทิพย์ที่ปากเท่านั้น ส่วนคิ้วหรือรองพื้นเขาไม่เคยได้ใช้เลย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ดวงใจไม่ได้ใช้รองพื้นนั้น นั่นก็เป็นเพราะเขาเกรงใจผู้เป็นพ่อและคิ้วที่ไม่เคยเขียนก็เพราะดวงใจเป็นคนมีขนคิ้วอยู่แล้ว อย่างมากสุด…เขาก็ใช้แค่ใบมีดกันคิ้วให้เป็นทรงพอสวยงามเท่านั้น                “โอเค เดี๋ยวพวกรองพื้นหรืออุปกรณ์อะไรที่ใจไม่มี พี่จะเป็นคนไปหาซื้อมาเอง” พี่แพรรับปาก                “งั้นก็ตามนั้น เดี๋ยวใจจะไปเช็กของที่บ้านให้แล้วกัน แล้วจะมาบอกพี่แพรอีกทีว่าขาดเหลืออะไรบ้าง” ดวงใจว่าแล้วถามต่อ “แล้วนี่ใครจะมาเป็นประธานพิธีให้เหรอ?”                สาเหตุที่ดวงใจถามเช่นนั้นก็เพราะเขาจำได้ว่าพี่แพรไม่มีญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้า นั่นจึงทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้                “จริง ๆ พี่ว่าจะให้ผู้จัดการไร่มาเป็นประธานในพิธีให้ แต่ว่าวันนั้นคุณพร้อมจะแวะเข้ามาไร่พอดี พี่ก็เลยลองขอให้คุณพร้อมมาเป็นประธานในพิธีให้ดู ซึ่งคุณพร้อมก็ตอบรับนะ แถมยังจะช่วยออกค่าแต่งให้ด้วย…. ออกให้พี่เป็นหมื่น ๆ เชียวล่ะ”                “โห… ออกช่วยเป็นหมื่นเลยเหรอ เขาใจดีจัง” เพียงแค่ได้ยินเช่นนั้น ดวงใจก็พึมพำออกมาแล้วทำตาโตทันที  เพราะขนาดตัวเขาเองยังไม่เคยเก็บเงินได้ถึงหมื่นเลย เพราะสำหรับดวงใจน่ะ…เงินแต่ละหมื่นมันเยอะมากสำหรับเขา เก็บเท่าไรก็ไม่เคยถึงสักทีอย่างมากสุดก็ได้แค่แปดพันเท่านั้น                “ว่าแต่ว่า…คุณพร้อมนี่ เขาหน้าตาเป็นยังไงนะ? ทำไมใจไม่เคยเจอหน้าเขาเลย” ดวงใจถามพี่แพรต่ออย่างนึกสงสัย                “หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เขาน่าจะแก่กว่าพี่ประมาณสิบปีเห็นจะได้”                “แก่กว่าพี่แพรประมาณสิบปี ตอนนี้พี่แพรยี่สิบห้า…งั้นก็แสดงว่าคุณเขาอายุสามสิบห้าแล้วสิ!”                “ใช่ ๆ ประมาณนั้นแหละ”                “แล้วทำไมใจไม่เคยเจอหน้าเขาเลย” ดวงใจวกกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง                “แล้วแกจะไปเจอเขาได้ยังไงเล่า เพราะในแต่ละปีคุณพร้อมเขาแวะมาดูไร่แค่ครั้งสองครั้งเอง แล้วเวลาที่เขามา แกก็ไปโรงเรียน แล้วจะไปเจอหน้าเขาได้ยังไงล่ะ” ว่าจบ พี่แพรก็กลั้วหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับคำถามของดวงใจเป็นเรื่องน่าขัน                “….”                “แกจะทำคิ้วขมวดไปทำไมล่ะดวงใจ เดี๋ยววันแต่งงานของพี่ แกก็จะได้เจอแล้วนะ...ใจเย็นหน่อยสิวัยรุ่น” พี่แพรเอ่ยอย่างขำ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อไปทำงานต่อ เพราะหมดเวลาพักของเราแล้ว                เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เคยเจอหน้าคุณพร้อมผู้เป็นเจ้าของไร่เหมือนอย่างคนอื่นเลย นั่นจึงทำให้หลังจากที่ดวงใจเลิกงานแล้ว เขาก็เดินกลับบ้านพักของคนงานที่ตั้งอยู่ท้ายไร่ทั้งคิ้วขมวด                “เป็นอะไร ทำไมเดินกลับบ้านทั้งคิ้วขมวดแบบนั้น นี่แกทะเลาะกับลูกคนงานอีกแล้วหรือ?” แม่ที่เห็นเช่นนั้นรีบเอ่ยท้วงและตั้งข้อสันนิษฐานให้ดวงใจทันที เพราะเขาชอบทะเลาะกับลูกคนงานที่อยู่ในไร่เดียวกันเป็นประจำ เหตุเพราะคนพวกนั้นชอบแซวเวลาที่ดวงใจทากันแดดก่อนจะเดินเข้าไร่กาแฟเสมอ ทั้งที่สิ่งที่ดวงใจทำมันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เนื่องจากแดดก็แรง นอกจากจะทำให้ผิวคล้ำ เกิดฝ้ากระแล้วก็ยังเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งอีกด้วย                “แม่ แม่เคยเห็นหน้าคุณพร้อมไหม?” ดวงใจเอ่ยถามแม่อย่างข้องใจ                “ถามแปลก… ก็ต้องเคยสิ คุณพร้อมเขาเป็นเจ้าของไร่นะดวงใจ”                “แล้วพ่อล่ะ? เคยเจอหน้าเขาไหม” ดวงใจหันไปถามพ่อต่อ หลังเขาเหลือบไปเห็นพ่อที่กำลังเดินเข้าบ้านมาเช่นกัน                “คนนี้เขาแทบจะเป็นคนสนิทเลยล่ะ เพราะเวลาที่คุณพร้อมแวะมาดูไร่ทีไรก็เห็นแต่เรียกพ่อแกเข้าไปคุยเรื่องงานตลอด” แม่เป็นคนตอบแทนพ่อ                “งั้นแสดงว่ามีแค่ใจคนเดียวเหรอที่ยังไม่เคยเจอหน้าคุณพร้อมน่ะ” พอรู้ว่าทั้งพ่อทั้งแม่ต่างก็เคยเจอคุณพร้อมมาแล้วทั้งนั้น นั่นก็ยิ่งทำให้ดวงใจออกอาการหน้ามุ้ยคิ้วขมวด เพราะเหมือนทุกคนในไร่จะต่างได้เจอคุณพร้อมมาแล้วทั้งนั้น ยกเว้นดวงใจคนนี้คนเดียว                “เอ็งได้เจอหน้าเขาก่อนใครด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกว่าไม่เคยเจอหน้าได้ไง” พ่อเอ่ยขึ้น                “อ้าว หมายความว่ายังไงเหรอพ่อ” ดวงใจถามกลับอย่างไม่เข้าใจ                “ก็ตอนที่เอ็งเกิด ก็ได้คุณพร้อมนี่แหละที่เป็นคนตั้งชื่อให้”                  “จริงเหรอ! คุณพร้อมเองเหรอที่ตั้งชื่อให้ดวงใจ” ดวงใจถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะที่ผ่านมาดวงใจเข้าใจมาโดยตลอดว่าผู้เป็นพ่อต่างหากที่เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้กับเขา                ซึ่งดวงใจก็ชอบชื่อของตัวเองมากเสียด้วย… ดวงใจที่แปลว่าลูกที่รักหรือเป็นคำเรียกบุคคลที่หวงแหนน่ะ                “พอได้ยินพ่อพูดแบบนี้แล้ว ใจก็ยิ่งอยากเห็นหน้าคุณพร้อมเลย เผื่อว่าใจจะคุ้นหน้าเขาบ้าง” ดวงใจว่าต่อ                “ถ้าเอ็งอยากเจอ เอ็งก็รอเจอตอนวันงานแต่งของไอ้แพรมันสิ เดี๋ยวเอ็งจะได้เจอแน่ ๆ” ผู้เป็นพ่อตอบกลับมา ซึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไปอาบน้ำ พ่อก็หันมาพูดกับดวงใจอีกครั้ง            “เอ็งได้เจอกับคุณพร้อมก็ดีแล้ว พ่อจะได้พาไปฝากเนื้อฝากตัวกับเขาด้วย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD