“มาโน่นแล้วเว้ย” ฟลุ๊กโพล่งขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้ามาอยู่ในรัศมีของสายตา
หนุ่มหล่อทั้งสี่คนรอจนกระทั่งนทีหย่อนก้นลงม้านั่งตัวเดียวกันกับไอดิน ก็ยิงคำถามที่อยากรู้ทันที
“หายไปไหนมาวะ ทำไมไม่มานั่งกินข้าวกับพวกกู” อาทิตย์เอ่ยเข้าประเด็น ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วว่าเพื่อนหายไปไหนมา
ก่อนหน้านี้ที่โรงอาหารพวกเขาห้าคนคุยกันว่าแยกย้ายไปซื้อข้าวเสร็จก็มารวมตัวกันที่โต๊ะประจำ แต่นทีเดินถือจานอาหารตามสั่งมาได้เพียงครึ่งทางก็เดินเลี้ยวไปอีกทาง สร้างความงุนงงและความอยากรู้ของพวกเขาเป็นอย่างมาก
จากที่สี่หนุ่มมองตามหลังไปจนกระทั่งเพื่อนนั่งลง ก็พอมองออกว่าคนที่นทีนั่งด้วยเป็นผู้หญิง และตอนทั้งคู่หันมาคุยกัน ได้เห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของเธอ ดูจากที่ไกลแล้วตัวจริงคงจะน่ารักมากเลยทีเดียว
“เห็นแวบ ๆ ว่านั่งกับผู้หญิงใช่ไหมวะ” ไวน์เสริมขึ้น พร้อมกับยกคิ้วข้างหนึ่งอย่างสงสัย
นทียิ้มมุมปาก แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับทันที
“กูว่าใช่แน่ ๆ” อาทิตย์พูดพลางใช้ศอกกระแทกแขนของฟลุ๊กให้พูดเสริม
“เสือซุ่มนี่หว่า ไม่ปฏิเสธแบบนี้แสดงว่าใช่”
“เล่ามาให้หมด ไม่งั้นกูจะให้พี่ปลายฟ้ามาสอบปากคำ” ไอดินพูดติดตลก แต่ก็แฝงไปด้วยความอยากรู้ไม่ต่างจากสามคนนั้น
“ไอ้นี่เอาชื่อพี่กูมาขู่อีกละ” นทีรู้ว่าถ้าพี่สาวอยากรู้อะไร ก็จะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งให้รู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า “กูบอกก็ได้ นั่นน้องข้าวหอม อยู่ปีหนึ่ง”
“ชื่อข้าวหอม แล้วตัวหอมไหมวะ” ไวน์เอ่ย
“หอม” เขาตอบออกไปทันควัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตกหลุมพลางไอ้เพื่อนเวรนี่เข้าแล้ว “ไอ้สัส มึงพูดอะไรเนี่ย”
“ถามแค่นี้ทำหน้าแดงเป็นตูดลิงเลยนะ” ไวน์พูดหยอกอีกครั้ง และเพื่อนที่เหลือก็พากันส่งเสียงขำจ้องไปยังหน้าหล่อของนทีที่แดงก่ำ
“อะไรของมึง ใครหน้าแดง ได้เวลาเรียนแล้วลุกดิ ไม่เข้าเรียนกันหรือไง”
นทีว่าพลางลุกออกจากม้าหินอ่อนทันที เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างเสียอาการเมื่อถูกเพื่อนรุมจับผิด แต่กลิ่นกายของข้าวหอมนั้น หอมละมุนไม่ต่างจากใบหน้าของเธอเลย
แล้วพวกเพื่อนอีกสี่คนก็รีบลุกตามกันออกมา นทีจึงเลื่อนแขนขึ้นไปพาดต้นคอของไอดิน หันใบหน้าไปส่งสายตาร้องขอ และเพื่อนมันก็รู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“เออ ๆ กูไม่บอกพี่ปลายฟ้าหรอก”
“ขอบใจนะเพื่อน”
“ชอบคนนี้จริงเหรอวะ” ไอดินเอ่ยถาม และเพื่อนที่เหลือต่างก็หูผึ่งรอฟังคำตอบ
“อือ” นทีขานรับในลำคอ มุมปากคลี่ยิ้มขึ้น
ที่จริงเขาไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนมาก่อน กลัวว่าถ้าผิดหวังขึ้นมาแล้วจะถูกเพื่อนล้อ เลยไม่อยากบอกตอนนี้ แต่ในเมื่อพวกมันดูเหมือนจะมองออกกันอยู่แล้ว จึงยอมรับออกไปแต่โดยดี
“ชอบก็จีบเลยดิวะ” อาทิตย์โพล่งขึ้น
ตามด้วยเสียงของไวน์ “นั่นดิ มึงอย่าถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม เพราะเดี๋ยวนี้ยิ่งช้า หมาก็ยิ่งคาบไปแดก”
“พวกกูสนับสนุน จีบเลยเพื่อน จีบไม่ติดก็จับกดไปเลย” ฟลุ๊กเอ่ยปิดท้ายด้วยสีหน้าทะเล้น
“จับกดบ้านมึงดิ น้องมันเพิ่งปีหนึ่ง ถ้ากูจะทำจริง ๆ ต้องสมยอมเท่านั้นเว้ย”
น้ำเสียงจริงจังของนทีพลันทำให้บรรดาเพื่อนทั้งสี่ต่างพากันสงสัยว่าน้องข้าวหอมมีดีอะไร ถึงทำให้ไอ้คนหัวใจด้านชาแบบนทีเปิดใจอยากจีบเด็กปีหนึ่งคนนี้ขึ้นมา แถมยังไม่พาขึ้นเตียงแต่จะรอให้เด็กยินยอมพร้อมใจ
*****
ทางด้านข้าวหอม
“วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็ว พวกเราไปดูหนังกันไหม”
อบเชยเอ่ยชวนเพื่อนขณะกำลังเดินออกจากห้องเรียน ตามจริงทั้งสองต้องเข้าเรียนอีกหนึ่งวิชาจนถึงห้าโมงเย็น แต่เนื่องจากวันนี้อาจารย์มีธุระด่วนเลยยกคลาสไปเรียนเสริมวันเสาร์แทน อบเชยเห็นว่าเวลาเพิ่งจะบ่ายสามเลยอยากชวนข้าวหอมออกไปผ่อนคลายก่อนกลับเข้าบ้าน
“อื้ม ก็ดีเหมือนกัน กลับห้องไปก็ไม่มีอะไรทำ” เสียงหวานของข้าวหอมเอ่ยตอบ
ทว่าสองสาวยังไม่ทันได้เดินออกจากตึกคณะ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของข้าวหอมก็ส่งเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เจ้าของมือถือหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วกดรับสาย
“ค่ะพี่จันจิ”
(แกว่างรึเปล่า ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ)
“เอ่อ พอดีฉันนัดเพื่อนไว้”
(เพื่อนแกสำคัญกว่าฉันหรือไง ถ้าไม่ช่วยฉันจะบอกให้คุณแม่งดส่งเงินให้แกใช้)
จันจิมักจะใช้ผู้เป็นแม่มาเป็นข้ออ้างในการบีบบังคับให้น้องสาวต่างมารดายอมทำตามคำสั่ง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ถ้าเธอต้องการ ใครก็ห้ามปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นก็จะเหวี่ยงวีนเพราะถูกเลี้ยงดูตามใจมาตั้งแต่เด็ก
ข้าวหอมถอนหายใจอย่างหนักอก ทุกวันนี้เงินทุกบาททุกสตางค์พ่อของเธอไม่ได้เป็นคนจัดการ แต่เป็นแม่ใหญ่ที่เป็นฝ่ายโอนเงินมาให้ใช้ แล้วถ้าพี่สาวไปฟ้องขึ้นมา เธอก็คงจะเดือดร้อนแน่
“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไร”
(มาหาฉันที่ตึกบริหารฯ …)
จันจิเอ่ยออกคำสั่งจบก็วางสายไป
“ฉันคงไปไม่ได้แล้วล่ะ” ข้าวหอมหันใบหน้าที่ทำให้เพื่อนผิดหวังมองไปยังอบเชย
“มีอะไรเหรอ”
“พี่จันจิเรียกไปหาน่ะ เอาไว้วันหลังเราค่อยนัดกันใหม่นะ ฉันไปก่อน”
อบเชยพยักหน้าเข้าใจ ถึงแม้เพื่อนไม่บอกว่าพี่สาวต่างแม่เรียกหาทำไม ทว่าดูจากสีหน้าของข้าวหอมก็คงเป็นเรื่องลำบากใจ จึงไม่ได้ซักไซ้อะไร
หลังจากแยกกันข้าวหอมก็ไปหาจันจิที่ตึกคณะบริหารธุรกิจ เมื่อเห็นสาวหุ่นดีอยู่ในชุดนักศึกษารัดรูป นั่งไขว้ห้างกอดอกอยู่ตรงม้าหินอ่อน หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ทำไมมาช้า ฉันนั่งรอจนร้อนไปหมดแล้วเนี่ย อะนี่ เนื้อหาที่ฉันจดเอาไว้ แกเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วส่งมาให้ฉันภายในคืนนี้”
จันจิว่าพลางฉีกกระดาษโน้ตในสมุดยื่นให้กับข้าวหอมด้วยสีหน้าออกคำสั่ง
“คืนนี้”
ข้าวหอมเปล่งเสียงดังขึ้นเนื่องจากเวลากระชั้นชิด พลางนึกในใจว่างานของตัวเองแต่กลับมาใช้ให้คนอื่นทำแทน ที่จริงแค่รบกวนเวลาพักของเธอก็มากพอแล้ว นี่ยังหลอกให้มารับเพียงกระดาษใบเดียวแทนที่จะถ่ายรูปเนื้อหาส่งมาให้ทางแชทก็ได้ ไม่เห็นต้องให้ถ่อสังขารมาถึงที่นี่เลย แล้วก็เป็นงานเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จ แต่เธอก็ทำได้แค่บ่นในใจก่อนจะถามออกไป
“มีแค่นี้ใช่ไหม”
“อือ ฉันไปล่ะ อย่าลืมส่งงานที่แปลเสร็จแล้วมาให้ทางอีเมล พรุ่งนี้เช้าฉันไม่มีเรียนจะได้เอาตรวจซ้ำเพราะต้องส่งตอนบ่าย”
“ค่ะ”
ข้าวหอมขานรับเสียงต่ำด้วยใบหน้าง้ำงอ มองตามแผ่นหลังของพี่สาวต่างแม่เดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย รู้ว่ามีงานด่วนก็ยังจะไปเที่ยว แทนที่จะเอาเวลาว่างมาทำงานที่อาจารย์สั่ง
หญิงสาวนึกบ่นในใจขณะเดินไปยังร้านคาเฟเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากโรงอาหารของคณะที่เธอเรียน สั่งน้ำปั่นและขนมเค้กมานั่งกินไปพลางอ่านข้อความที่ได้รับจากจันจิแล้วนั่งแปลลงในโทรศัพท์มือถือ คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานอย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็คงเสร็จ
เรื่องแปลน่ะไม่ยากสำหรับคนที่สอบได้เกรดสี่วิชาภาษาอังกฤษอย่างเธอ แต่ก็มีบางคำที่ติดขัดไปบ้าง เพราะต้องใช้คำศัพท์เฉพาะทาง ก็ให้เจ้าของงานไปปรับแก้เอาเอง เธอช่วยแค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว
นั่งอยู่ในคาเฟไม่นานโทรศัพท์ของเธอที่กำลังพิมพ์เนื้อหาอยู่ก็มีข้อความเด้งขึ้นมา หญิงสาวเผยรอยยิ้มหวานเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อของคนส่ง ก่อนจะกดเข้าอ่านแชทที่ได้รับ