หากจะให้กล่าวไปถึงบุตรอนุ..หึ
อนุสือซิงเซียน เป็นอนุคนแรกที่บิดาของนางรับเข้ามา ยามนั้นท่านแม่พึ่งคลอดนางออกมากำลังจะถึงขวบปี นางก็ทราบข่าวดีเรื่องที่อนุผู้นั้นกำลังจะมีน้องให้นาง ในวัยสองขวบปีนางก็ได้เจอน้องน้อยคนแรกที่มีชื่อว่า ‘ตู้ฟางอิน’ ท่านพ่อพร่ำสอนอยู่เสมอว่าให้รักใคร่ปรองดองกันเพราะเราเป็นพี่น้อง ไม่นานอนุสือ ก็ตั้งท้องอีกครั้งพอๆ กับที่บิดาพาอนุเข้ามาอีกหนึ่งคน
อนุเหยาเหมยลี่ อนุคนที่สองนั้นแม้จะผ่านไปเกือบปีจนอนุสือ(อนุคนแรก)คลอดน้องชายมาให้นางชื่อ ‘ตู้ชางไห่’ อนุเหยาก็ยังมิมีทีท่าว่าจะมีบุตร ยามนั้นฟางซินอายุได้ห้าหนาว มารดาและอนุอยู่ร่วมกันแบบช่วยเหลือพึ่งพามิคิดว่าบิดาจะหาใครมาเพิ่มอีก แต่เหตุการณ์กลับมิเป็นเช่นนั้นเมื่อมีสาวใช้วัยแรกแย้มสองนางมาสารภาพว่าบิดาได้ร่วมหลับนอนกับพวกนางมาเป็นเวลาร่วมเดือน ท่านแม่ของนางแทบจะเป็นลมหมดสติที่ได้รู้ว่า สามีเป็นคนเจ้าชู้มักมากในกาม
อนุว่านเล่อถง อดีตบ่าวก้นครัวถูกยกฐานะขึ้นมาให้เป็นนาย ทุกวันนางเพียงแค่ทำหน้าที่พะเน้าพะนอตู้ชงไห่เพราะหากนางมิทำให้สามีรักสามีหลง ในวันข้างหน้าเกิดสามีขัดใจเมื่อใดอาจจะไล่นางกลับไปเป็นบ่าวเช่นเดิม มินานนักก็มีน้องสาวตามกันมาอีกสองคน ‘ตู้ฟางหยา’ และ ‘ตู้ฟางหลิว’
อนุชิงจูอิน อดีตบ่าวเช็ดเรือนที่เลื่อนขั้นขึ้นมาพร้อมอนุว่าน มีบุตรชายอีกหนึ่งคน ‘ตู้คังไห่’ รวมกันทั้งหมดนางมีน้องทั้งหญิงและชาย 5 คน
1. ฟางอิน 11 ปี
2. ชางไห่ 9 ปี
3. ฟางหยา 4 ปี
4. ฟางหลิว 1 ปี
5. คังไห่ 5 ปี
แน่นอนว่าบิดาอยากจะสอนบุตรทุกคนให้เรียนรู้เท่าๆ กัน แต่มิมีบุตรคนใดจะหัวไวได้เท่าฟางซิน เรื่องหนักๆ ทั้งหลายจึงมากองอยู่เต็มหน้าตักของนางไปหมด ทุกวันยามตื่นนอนเสียงแรกที่นางได้ยินหาใช่เสียงของไก่ขันยามเช้าแต่เป็นเสียงของน้องสาวนาง ‘ตู้ฟางหลิว’ ที่ร้องไห้ปลุกทุกๆ คนในบ้าน
ยามสายก่อนเข้าเรียนคิดบัญชีร้านค้านางจะต้องได้ยินเสียงน้องๆ วิ่งไล่ตี วิ่งแข่ง และวิ่งเข้านอกออกในห้องทุกห้อง บางครั้งพื้นไม้กระดานถึงกับพังลงไปเลยก็มี นางเบื่อเหลือเกิน เบื่อมาก หากนางออกเรือนแล้วสามีของนางมีอนุมากมายนางคงทนไม่ไหวและขอหนังสือหย่าเป็นแน่
ตู้ฟางซินเดินไปถึงหน้าบ้านตนเองและผลักประตูเล็กด้านข้าง เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงเอะอะโวยวายของเด็กๆ เฉกเช่นทุกวัน จนเมื่อนางเดินเข้าไปถึงลานกว้างด้านใน
“พี่ใหญ่!!!” ชางไห่ตะโกนเรียกเสียงดังพร้อมวิ่งนำขบวนน้องๆ เข้ามาหานาง
“ค่อยๆ วิ่งก็ได้” ก้มมองน้องชาย “มีเรื่องใดรึ?”
“พี่รองแอบไปเอาชุดสวยของท่านออกมาใส่เดินลากพื้นดินไปมาจนเปรอะเปื้อนหมดเลย ข้ามิได้มาฟ้องท่านนะเพียงแค่มาบอกให้รับรู้ไว้เท่านั้น” ชางไห่พูดสีหน้าจริงจัง …น้องชายคนนี้ของนางเป็นคนขี้ฟ้องพูดมากเก็บความลับมิค่อยอยู่ดีหน่อยที่เขามิใช่คนชอบพูดโกหก
“แล้วผู้ใดเป็นคนเปิดประตูห้องข้าให้นางได้เข้าไปเล่า!!!!” ฟางซินโมโหรีบเดินกลับเรือนเล็กของนางอย่างรวดเร็ว ตู้ฟางอิน เป็นน้องสาวที่ชอบเลียนแบบ สิ่งใดที่ฟางซินมีฟางอินก็จะต้องมีให้เหมือนกัน ของของนางมักถูกฟางอินแย่งไปเสมอ หากเรื่องถึงหูท่านพ่อ เขาก็จะกล่าวว่า ‘มีสิ่งใดก็แบ่งปันให้น้องบ้างเจ้าเป็นพี่ใหญ่จะต้องมีความเสียสละ’ หึน่าขำสิ้นดี
“พี่ใหญ่ๆๆ ..มีอีก..มีอีก” ชางไห่ที่วิ่งตามหลังนางมาพูดไม่หยุด “พี่รองบอกว่านางจะมานอนข้างๆ ห้องของพี่ใหญ่..จะทำห้องแบบพี่ทุกอย่างเลยยามนี้กำลังบอกให้สาวใช้ขนของเข้าไปแล้ว..เข้าไปแล้ว!!” ชางไห่พูดจบก็วิ่งนำน้องๆ อีกสามคนเลี้ยวหันไปอีกทาง…ทางโรงครัวที่มีกลิ่นหอมของขนมหวาน
ตู้ฟางซินมองบรรดาน้องๆ ที่ตามกันเป็นพรวนหายไปพร้อมถอนหายใจแล้วเดินอย่างเร็วต่อไปจนถึงเรือนเล็กของตนเอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะฟางอิน!!!!” นางตะคอกเสียงดังใส่น้องสาวที่ใช่ชุดสีชมพูตัวโปรดของนางลากไปมาสั่งการสาวใช้ “พวกเจ้าออกไปจากเรือนเล็กของข้าให้หมด!!! ..อย่าให้ข้าต้องขายพวกเจ้าออกหากยังมิทำตามข้าสั่ง!!!” สาวใช้ตกใจที่คุณหนูใหญ่ทำหน้าตาโกรธเกรี้ยว ทุกคนต่างพากันหยุดมือถอยหลังหนีออกจากเรือนเล็กทั้งหมด
“พี่ใหญ่!!! ..ทำอันใดเจ้าคะ” ฟางอินส่งเสียงดังเอาแต่ใจ
“เจ้าน่ะสิ..จะทำอันใด!!! มาขนย้ายข้าวของของข้า..มาใส่ชุดตัวโปรดที่แม่สามเย็บให้ข้า!!! เจ้ากล้าทำได้อย่างไร!!” ก้มมองชุดที่ปลายกระโปรงขาดแหว่งไปหมดเพราะฟางอินตัวเตี้ยกว่านางเกือบสองคืบ ชุดกระโปรงกลายเป็นรุ่มร่ามน่าเกลียดมองแทบมิเห็นเท้า
“ข้าบอกท่านแม่แล้วว่าจะมาอยู่กับพี่!!”
“แล้วแม่รองก็อนุญาตเช่นนั้นรึ!! ..กลับออกไปซะ…ข้าจะตามเจ้าไปคุยกับแม่รองเดี๋ยวนี้เลย!!!” แม่รองที่นางว่าก็คืออนุสือ ท่านแม่ของฟางอินและชางไห่
ในบ้านสกุลตู้เรียกขานอนุของท่านพ่อว่าแม่รอง แม่สาม แม่สี่ แม่ห้าตามลำดับมาก่อนมาหลัง ท่านแม่ของนางเป็นฮูหยินเอก น้องๆ ทุกคนจะเรียกว่าแม่ใหญ่ ท่านพ่อของนางทำการค้ากับคนในวังคือนำส่งผ้าไหมเข้าไปเพื่อตัดเย็บชุดเสื้อผ้าให้แก่ราชวงค์แคว้นเจ้า ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งท่านพ่อของนางเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งของแคว้น ท่านแม่เป็นฮูหยินเอกขั้นหนึ่ง อนุที่เหลือต้องถอยให้ท่านแม่ของนางกว่าสองก้าว
“อย่านะ!!! ..อย่านะ!!” ฟางอินเอ่ยห้ามเสียงหลงในความเป็นจริงแล้วนางแค่บอกกล่าวท่านแม่ของนางแต่ท่านแม่มิได้อนุญาต เพราะรู้ดีว่าตู้ฟางซินต้องการความเป็นส่วนตัวในเรื่องนี้
ในเรือนของตู้ฟางซินมีแต่บัญชีร้านค้า ตำราคำนวนตัวเลข และหลายสิ่งหลายอย่างที่บิดาเป็นผู้สั่งให้เก็บไว้ศึกษา แต่ฟางอินก็ยังอยากจะเลียนแบบทั้งๆ ที่นางฉลาดได้มิถึงครึ่งของ ฟางซิน ด้วยซ้ำ
“ข้าจะไปบอกแม่รอง!!! ..เจ้าเตรียมตัวไว้เลย!!” ฟางซินยังคงย้ำและก้าวเดินนำออกไป
“อย่านะ..อย่านะ” ฟางอินวิ่งตามพี่สาวอย่างทุลักทุเล
เรือนขนาดใหญ่ด้านหน้า แบ่งเป็นห้องนอนแยกตามจำนวนของคนอยู่อาศัยมีท่านพ่อ -ท่านแม่ทั้งหลาย และน้องๆ ของนางที่ยังเล็กมากก็นอนร่วมกับมารดา ส่วนฟางอินกับชางไห่นั้นแยกห้องไปนอนด้านข้างติดๆ กับห้องแม่รอง (อนุสือ) มีสาวใช้นอนเฝ้าร่วมห้องด้วยเพื่อสะดวกในการใช้สอย
ท่านพ่อของฟางซิน ‘ตู้ชงไห่’ ในหนึ่งสัปดาห์จะวนเวียนเข้าห้องของท่านแม่จนครบคืนละหนึ่งคนและเหลือวันว่างสองวันก็จะเป็นวันพักผ่อนในห้องส่วนตัว ฟางซินมิเคยจะชื่นชอบนิสัยของท่านพ่อของนางเท่าใดนัก เพราะนางรู้เห็นมาตลอดตั้งแต่เล็กว่าถึงแม้ในบ้านจะมีท่านแม่ตั้งห้าคน ท่านพ่อก็มิเคยจะหยุดมองรึหยุดหาสตรีนอกบ้านเลย บ่อยครั้งที่นางติดตามบิดาออกไปตรวจบัญชีร้านค้า ท่านพ่อมักจะปล่อยนางนั่งคิดตัวเลขซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นร่วมหนึ่งชั่วยาม ในขณะที่ตัวท่านพ่ออยู่ในหอนางโลม รึไม่ก็มีสตรีม่าย สตรีสาวแต่ยากจนมาขอเงินพร้อมใช้ร่างกายเข้าแลก เสียงร่วมรักกันในห้องด้านข้างที่นางทำบัญชีร้านก็ดังเข้าหูอยู่บ่อยครั้งแต่มิเคยมีสักครั้งที่นางจะเอาเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ไปบอกกล่าวแก่ท่านแม่ บุรุษที่นิสัยแย่เช่นท่านพ่อของนาง…มิว่าเกิดชาติภพใดก็ขออย่าให้ได้พบได้เจอเถิด
ตู้ฟางซินเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็วพบท่านแม่ของนาง แม่รอง (อนุสือซิงเซียน-แม่ของฟางอินและชางไห่) แม่สาม (อนุเหยาเหมยลี่..มิมีบุตรสักคน) และท่านพ่อ กำลังนั่งจิบชาพูดคุยกัน แม่สี่ (อนุว่านเล่อถง-แม่ของฟางหยาและฟางหลิว) ยืนนวดไหล่ให้ท่านพ่อ
“พี่ใหญ่..อย่านะ!!” เสียงฟางอินดังเข้ามาก่อนตัวโดยที่ไม่รู้สักนิดว่าในห้องโถงมีผู้ใดอยู่บ้าง
“เอะอะเสียงดังอันใดกันฮึ..พวกเจ้าเป็นสตรีเหตุใดมิรักษากิริยา” ท่านพ่อพูดเสียงดังทำให้ฟางอินยืนหลบอยู่หลังประตูอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ลูกกำลังจะเดินเข้ามาหาแม่รองเจ้าค่ะท่านพ่อ” ฟางซินปรับสีหน้าให้เรียบเฉย
“มีเรื่องใดกันเล่า” ท่านพ่อยังคงสอบถาม และมองหาฟางอินที่เขาได้ยินเสียงนางเมื่อครู่
“น้องรองพาสาวใช้ขนข้าวของเข้าไปอยู่ในเรือนเล็กของข้า..นางบอกว่าได้ขออนุญาตจากแม่รองแล้ว อีกทั้งยังรื้อห้องตำรา ทำบัญชีของข้ากระจุยกระจายเต็มพื้นไปหมด ข้าอยากจะมาสอบถามว่าเหตุใดแม่รองถึงกล้าอนุญาต” ฟางซินหันมองแม่รอง “แม่รองกล่าวเช่นนั้นหรือเจ้าคะมิใช่ว่าท่านพ่อได้เอ่ยห้ามแล้วว่ามิให้ผู้ใดมาวุ่นวายกับเรือนนอนและห้องตำราของข้าในนั้นมีใบรายการสำคัญอยู่มากมาย..แต่ยามนี้น้องรองทำเสียหายจนหมด”
“ใครใช้ให้เจ้าอนุญาตเช่นนั้นซิงเซียน!!!” ท่านพ่อตวาดลั่นจนสือซิงเซียนตกใจ
“มิใช่นะเจ้าคะท่านพี่ ข้าบอกแก่ฟางอินแล้วว่ามิอนุญาต เรื่องนี้ข้าว่ากล่าวนางไปเมื่อยามเฉินว่าห้ามไปยุ่งกับเรือนของพี่ใหญ่ แล้วยามนี้นางอยู่ที่ใดกันเล่า” ซิงเซียนหันมองไปจนทั่วสายตาหวาดหวั่น นางรู้นิสัยของบุตรสาวดีว่าอยากเลียนแบบฟางอินมากเพียงใด แต่มิคิดว่านางจะกล้ามิฟังคำสั่ง
“อยู่หน้าประตูเจ้าค่ะ น้องรองวิ่งตามข้ามา” ฟางซินบอกทุกคนและหันมองไปทางประตู